หลี่เวยเอนกายพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงเรียกของใครบางคนดังแว่วมาตามสายลม
"หลี่เวย"
หลี่เวยหันไปตามทิศทางของเสียงก็เห็นเกวียนคันหนึ่งกำลังพุ่งตรงมาทางนี้
"ท่านอาจาง"
"รอนานหรือไม่"
เกวียนวัวค่อยๆ ชะลอตัวลงขนาบข้าง หลี่เวยส่ายศีรษะไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
"ไม่นานขอรับ ข้าก็พึ่งจะมาถึงเมื่อครู่นี้เอง" อีกฝ่ายกระโดดลงจากตำแหน่งคนขับแล้วถือวิสาสะอุ้มชายหนุ่มขึ้นไปนั่งบนหลังเกวียน ก่อนจะยกรถเข็นไม้ตามขึ้นมาติดๆ
"เช่นนั้นเราก็กลับหมู่บ้านเถอะ" อีกฝ่ายกล่าวขึ้นก่อนจะกระตุกเชือกสั่งให้วัวทั้งสองตัวเริ่มออกเดิน
เกวียนวัวเดินพ้นประตูเมืองออกไปแล้ว หลี่เวยไม่รู้เลยว่าคล้อยหลังการจากไปของเขากลับมีใครบางคนมองตามจนสุดสายตาด้วยสีหน้าอ่านยาก
การเดินทางมายังเมืองครั้งนี้ไม่นับทุนว่าขาดทุนเมื่อเทียบกับการที่เขาสามารถหาลู่ทางทำกินได้ในระยะสั้นๆ ชายหนุ่มใช้ฝ่ามือลูบกระดาษที่วางอยู่บนตักพลางครุ่นคิด
ตอนนี้เขามีเพียงแค่กระดาษปึกนึง ครั้นจะซื้อหมึกกับพู่กันมาด้วยเงินที่มีก็ไม่พอ แต่หลี่เวยก็ไม่ได้ร้อนใจอันใดเพราะเขามีแผนสำรองอยู่ก่อนหน้าแล้ว
หลี่เวยเป็นบัณฑิต ที่บ้านย่อมไม่ขาดอุปกรณ์ซึ่งจำเป็นต่อการเรียน ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมีใครนำหมึกและพู่กันไปแน่
เมื่อกลับไปถึงหมู่บ้านเห็นทีคงต้องเร่งหาตัวคนที่ผู้นั้นโดยเร็ว
สองชั่วยามผ่านไปไวดั่งโกหก หลี่เวยพึ่งจะลงจากเกวียนแล้วก็เอ่ยขอบคุณจางหั่วปิน เงินสิบอีแปะถูกมอบให้อีกฝ่ายแต่จนแล้วจนรอดเงินสิบอีแปะนี้ก็ไม่ได้ออกไปจากมือของเขาแม้แต่วิเดียว
"เรื่องเงินเจ้าเก็บไว้เถอะ ตอนนี้บ้านข้าไม่ได้เดือดร้อนอะไร ไว้เข้าเมืองอีกเมื่อไหร่ข้าจะมาบอกเจ้าก่อน"
"ขอบคุณท่านอาขอรับ" หลี่เวยยิ้มตอบ
นี่แหละหนออานิสงส์จากเรื่องราววุ่นวายคราวันนั้น นอกจากจะได้เงินมาสามตำลึงแล้วสายตาที่ผู้คนใช้มองมายังหลี่เวยก็เริ่มเปลี่ยนไป
ชายหนุ่มเผยยิ้มเบาบาง วันนี้เขาเหนื่อยมาทั้งวันแล้วอยากจะกลับไปนอนพักให้เต็มอิ่ม ทว่ายังไม่ทันได้หมุนรถกลับก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กน้อยดังแว่วเข้ามา
ดวงตาคมกริบเบนมองตามทิศทางของเสียงก็เห็นเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังขีดเขียนอะไรบางอย่างลงบนต้นไม้ใหญ่
หลี่เวยทำตาโตเป็นไข่ห่าน รีบเข็นรถไปหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
"สุดยอดเลยเอ้อโก่ว เจ้าไปได้หมึกกับพู่กันนี้มาจากไหนกัน" เด็กน้อยคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าใคร่รู้
"ข้าเห็นมันให้ห้องของท่านพ่อก็เลยหยิบติดมือมา" เด็กที่ชื่อเอ้อโก่วตอบอย่างภาคภูมิใจ
ขณะที่เด็กๆ กำลังเล่นสนุก เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นขัดจังหวะทำให้เด็กน้อยหลายคนหันมองเป็นตาเดียว
"เจ้าบอกว่าได้มันมาจากท่านพ่อของเจ้าหรือ ท่านพ่อของเจ้าชื่ออะไร"
"พะ พี่หลี่เวย" เอ้อโก่วผงะงันก่อนเอ่ยด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญคือใคร
"ตอบมา! "
"ทะ ท่านพ่อของข้าก็คือลุงสามของท่าน ท่านจำไม่ได้หรือ?" เด็กน้อยหดหัวด้วยความหวาดกลัวแต่แววตาก็ยังแฝงไปด้วยความแปลกใจ
หลี่เวยไม่สนใจสายตาของเด็กน้อย ชายหนุ่มแสยะยิ้มด้วยไม่คิดเลยว่าสวรรค์จะเข้าข้างกันเช่นนี้ พึ่งคิดหาแผนการจับโจรชั่วยึกหมึกกับพู่กันกลับคืน เขาพึ่งจะถึงบ้านไม่ทันไรก็เสาะพบหนทางเสียแล้ว
ลุงสามหรือ?
เท่าที่หลี่เวยพอจะจำได้ ลุงสามของคือจางเค่อ เป็นชายผิวดำคล้ำที่บนผิวกายมักจะเต็มไปด้วยเหงื่อไคล นิสัยเกียจคร้านเป็นที่หนึ่ง ความขี้ขลาดก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อย
คนเช่นนี้หากจะบอกว่าทำงานเก็บเงินเพื่อซื้อพู่กัน ต่อให้ตีหลี่เวยจนตายยังไงเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด จางเค่อไม่รู้หนังสือ ครอบครัวของเขาไม่มีใครได้ร่ำเรียน อีกทั้งราคาของพู่กันและหมึกก็แพงมาก
หลี่เวยมั่นใจว่าคนอย่างจางเค่อคงไม่มีปัญญาหาซื้อได้แน่นอน
"ดี เจ้าชื่อเอ้อโก่วใช่หรือไม่ เจ้ามากับข้า" หลี่เวยจับแขนเด็กน้อยก่อนจะใช้มือข้างที่เหลือเข็นรถด้วยความเร่งรีบ
เอ้อโก่วตกใจมาก เด็กน้อยพยายามดีดดิ้นหมายให้หลุดจากการจับกุมทว่าดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุดเสียที
"พี่หลี่เวย ท่านปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ นะ!" เด็กน้อยเสียงสั่นคล้ายจะร้องไห้ นี่มันเรื่องอะไรกัน ข้าแค่เอาหมึกกับพู่กันของบิดามาเล่นเฉยๆ แล้วทำไมพี่หลี่เวยจึงมีท่าทางเช่นนี้เล่า!
"เจ้าไม่ต้องร้อง ข้าไม่ได้จะตีเจ้า"
"ท่านจะไม่ตีข้าหรือ?" เด็กน้อยมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางระแวดระวัง
"พูดอย่างกับว่าข้าเคยตีเจ้างั้นแหละ" หลี่เวยกลอกตา แม้เจ้าของร่างเดิมจะโหดร้ายทว่าก็ไม่เคยลงมือตบตีเด็กหรือสตรี
"เช่นนั้นท่านจะพาข้าไปไหน" เอ้อโก่วปาดน้ำตาบนใบหน้าเอ่ยถามเสียงขลาดเขลา
"ไปหาผู้ใหญ่บ้าน" หลี่เวยตอบเสียงเรียบ
"ทำไมต้องไปหาผู้ใหญ่บ้าน"
"เพราะข้ามีอะไรจะพูดกับเขา และเจ้าต้องไปกับข้า ไม่ต้องห่วงไว้เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วข้าจะให้เงินเจ้าไปซื้อของอร่อย"
ได้ยินคำว่าของอร่อยดวงตาของเอ้อโก่วพลันเปล่งประกายวิบวับ ไม่เพียงเท่านั้นกลุ่มเด็กน้อยอีกหลายคนก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
"ถ้าข้าไปด้วยพี่หลี่เวยจะให้เงินข้าหรือไม่"
หลี่เวยมองเหล่าเด็กน้อยด้วยความฉงนสนเท่ห์ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเอ่ยตอบยิ้มๆ
"แน่นอน"
และวันนั้นผู้คนก็จะเห็นภาพที่น่าอัศจรรย์ใจ ภาพที่ใครๆ ก็คาดไม่ถึง
กลุ่มเด็กน้อยหกถึงเจ็ดคนกำลังเฮโลยกพวกเดินตามหลี่เวยต้อยๆ เหมือนลูกเป็ดที่เดิมตามแม่เป็ด
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เห็นบ้านของผู้ใหญ่จางอยู่รำไร หน้าประตูบ้านตอนนี้ชายชรากำลังยืนพูดคุยกับเงาร่างคุ้นตาสายหนึ่ง
"ผู้ใหญ่บ้านจาง ท่านอาหม่า"
สองคนละสายตาหันไปมองที่เต้นเสียงก็เห็นหลี่เวยบนรถเข็นมาพร้อมกับเด็กน้อยอีกหลายคน
"หลี่เวย มีอะไรหรือ" ผู้ใหญ่บ้านจางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
"ผู้ใหญ่บ้าน ข้ามีเรื่องให้ท่านช่วยเหลือขอรับ" หลี่เวยเอ่ยสีหน้าลำบากใจ
ผู้ใหญ่บ้านจางมองหน้าอีกฝ่ายก่อนหันไปสบตากับหม่าเซี่ย ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
"เรื่องอะไร?"
.
.
.
"จางเค่อ เจ้าอยู่หรือไม่"
หน้าบ้านไม้หลังเก่า ผู้ใหญ่บ้านจางและคนอีกกลุ่มหนึ่งตะโกนเรียกคนที่อยู่ด้านในเสียงดัง
"มีอะไรกัน"
ประตูไม้เปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงวัยกลางคนร่างกายกำยำคนหนึ่งเดินออกมา
"ผู้ใหญ่บ้าน พาคนมาที่นี่มีอะไรกันหรือ" อีกฝายเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าตรงนี้มีผู้คนค่อนข้างมาก
"ถงซื่อ เจ้าอยู่ด้วยก็ดีแล้ว จางเค่ออยู่หรือไม่ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับเขา" ชายชราเอ่ยถาม
หลี่เวยด้านหลังแอบลอบสังเกตลักษณะภายนอกของถงซื่อคนนี้ หญิงวัยกลางคนไม่สูงและไม่เตี้ย รูปร่างค่อนข้างกำยำดูคล้ายทำงานใช้แรงงานเป็นประจำ ใบหน้าเคร่งขรึมริมฝีปากบางเฉียบหัวคิ้วขมวดมุ่น
โดยรวมไม่นับถงซื่อผู้นี้ภายนอกดูเป็นสตรีใจคอคับแคบ แต่กิริยาที่นางแสดงออกทำให้หลี่เวยรู้ว่าลักษณะนิสัยของนางอาจสวนทางกับหน้าตาโดยสิ้นเชิง
"อยู่ ประเดี๋ยวข้าจะเข้าไปเรียกเขาให้" ถงซื่อบอกก่อนจะหมุนกายเดินกลับเข้าบ้านไปอีกหน
หม่าเซี่ยคล้ายจะเข้าใจความคิดของหลี่เวยจึงเอ่ยบอก
"ถงซื่อผู้นี้แม้จะชอบทำหน้าไม่รับแขก แต่ใจจริงของนางเป็นคนอ่อนโยน หากจางเค่อทำอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ เกรงว่าถงซื่อคงตบตีเจ้านั่นจนต้องนอนซมไปอีกนานพอดู"
หลี่เวยหันไปส่งยิ้มให้อีกฝ่ายเป็นเชิงว่าตัวเขารับรู้แล้