เป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง ทั่วทั้งห้องบังเกิดเสียงหอบหายใจหนักหน่วง เรซนอนคว่ำหน้าอยู่บนอกนุ่มนิ่มอย่างหมดแรง ลมร้อนพรั่งพรูออกมาระลอกแล้วระลอกเล่าก่อนกลับเป็นปกติ
เขาพลิกตัวลงนอนข้างๆ ความเงียบสงัดหลังพายุอารมณ์ผ่านพ้นกลับอบอวลไปความหดหู่ ฉันจ้องเพดานห้องนอนด้วยความกระอักกระอ่วนเมื่อนึกถึงความแรดร่านของตัวเอง
เริ่มที่โซฟาจบลงที่เตียง งามหน้าอีกแล้วมั้ยล่ะ เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแย่ต่อพี่แสง ฉันนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ
ฉันตำหนิตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า จ้องไหล่ขาวผ่องที่มีรอยกัดเป็นดวงๆ ของเรซด้วยความรู้สึกคลุมเครือ ต่อให้อยากด่าแต่พอคิดว่าไม่ได้ขัดขืนเต็มกำลังก็เหมือนท่วมปาก พูดอะไรไม่ออก มานึกย้อนกลับไปถ้าฉันจะต่อต้านจริงๆ ทำไมจะทำไม่ได้
“....” เรซช้อนสายตาขึ้นมองเมื่อรู้ตัวว่าโดนจ้อง ราวกับไม่มีความผูกพันใดๆ “เธออาบน้ำก่อน”
พูดเสร็จก็เขยิบตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง เอี้ยวตัวไปดึงลิ้นชักเปิด หยิบบุหรี่กับไฟแช็กออกมา
ฉันมองตามตาไม่กะพริบ อย่าบอกนะว่าจะสูบในนี้น่ะ
“....”
เรซตวัดสายตามามองฉันที่ยังไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหน แววตาเขาออกจะเบื่อหน่ายเล็กน้อย
“ไปสิ”
แม้แต่เสียงที่พูดออกมายังติดรำคาญ ฉันเม้มปากแน่น รู้สึกไร้ค่ายังไงชอบกล พอเสร็จสมเรซก็หมดความสนใจในตัวฉันทันที ภายในอกฉันพลันเจ็บหนึบ มองจ้องดวงตาเย็นชาที่ราวกับจะบาดลึกลงในหัวใจ
“นายไม่คิดจะพูดอย่างอื่นกับฉันบ้างเลยเหรอ”
เรซหยุดสายตาไว้ที่ฉันไม่นานก็เลื่อนไปมองบุหรี่ที่ยังไม่จุดในมือ แววตาคมกริบสะท้อนความรู้สึกรำคาญออกมาชัดเจน
“อย่าเรื่องเยอะไปหน่อยน่า ของเคยๆ กันอยู่”
“ไอ้!” หน้าฉันร้อนวาบ จับหมอนขึ้นมาฟาดหน้าหมอนั่นอย่างฉุนกึก โมโหจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ครั้นจะเรียกร้องก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกร้องเอาอะไร เงิน... สิ่งของ... หรือความเอาใจใส่... แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว ที่สำคัญยังมีแฟนอยู่แล้วทั้งคน ที่ร่ายมาทั้งหมดนั่นแทบไม่มีความจำเป็นเลย จะว่าไปแล้วผู้หญิงขายตัวยังดีกว่าฉันอีก เพราะได้ค่าตอบแทนแต่ฉันไม่ได้อะไรเลย
แต่อย่างน้อยฉันก็หวังว่าเรซจะมีมนุษยสัมพันธ์กว่านี้ ไม่ใช่เร่าร้อนแค่บนเตียงแต่ตายด้านยามใส่เสื้อผ้าอะไรแบบนั้น
หลังจากฟาดหมอนใส่ไอ้คนเย็นชาไร้ความรับผิดชอบไปสามสี่ทีหมอนก็ถูกแย่งออกจากมือ พร้อมกับสายตาเขียวขึ้งที่จ้องตอบ
“ทำตัวให้มันน่ารักเหมือนตอนเอาหน่อยสิ ไปอาบน้ำ!”
“จำเอาไว้เลยนะ นายจะไม่มีวันได้แตะต้องฉันอีก”
ฉันจ้องตอบสายตาเรซอย่างร้อนแรง แต่นอกจากโกรธอยู่ในใจแล้วก็ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้ กระฟัดกระเฟียดลุกออกจากเตียง เดินตุปัดตุเป๋ไปที่ประตูห้องน้ำในขณะที่เรซอยู่บนเตียงไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรทั้งนั้น
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง
ฉันเดินสวมผ้าคลุมออกจากห้องน้ำ มองไปทางเรซอย่างเก้อเขิน หมอนั่นนั่งพิงหัวเตียงท่อนล่างเปลือยเปล่าซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม ในมือถือโทรศัพท์เหมือนกำลังดูอะไรสักอย่าง
“ฉันไม่มีซับใน”
…เผื่อเขาจะลืมไปแล้วว่าทำขาด เรซตวัดสายตาขึ้นมองทันที ใบหน้าเรียบนิ่งเดาไม่ถูกว่าคิดอะไรอยู่ เหมือนนึกอะไรออก ร่างสูงลุกขึ้น เดินโทงๆ ออกจากห้อง ฉันอึ้งไปชั่วขณะ พอได้สติก็รีบตามออกไปอย่างสงสัย
เรซเปิดประตูห้องฝั่งตรงข้าม เดินล่วงไปหยุดหน้าตู้เสื้อผ้าหลังเล็กก่อนดึงลิ้นชักเปิด มีซับในสามสี่ชุดพับเรียงเป็นระเบียบอยู่ข้างใน
“เลือกเอา” เรซส่งสายตามาให้ฉัน
“ของใครน่ะ”
“ของคะนิ้ง จะใส่มั้ย”
อึ้ง! ทำไมชุดชั้นในคะนิ้งถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ฉันมองมันอย่างตะขิดตะขวงใจ
“ไม่มีของใหม่เหรอ”
“มีแค่ที่เห็น”
สายตาเรซกำลังบอกว่าอย่าเรื่องมาก ฉันเบือนหน้าหนี มันทำใจไม่ลงจริงๆ ถึงจะเป็นเพื่อนกันก็เถอะ
“งั้นก็ไม่ต้องใส่”
เฮ้ย! ฉันอ้าปากเหวอ มองเรซดันลิ้นชักปิดแล้วเขาก็ออกจากห้องไปแบบไม่คิดจะช่วยแก้ปัญหาหรือรับผิดชอบอะไรเลย
“เรซนายจะบ้าเหรอ!”
ฉันตะโกนไล่หลังเรซอย่างเหลืออด หันกลับมามองลิ้นชักตรงหน้าด้วยความอึดอัด นี่ฉันต้องใส่ของร่วมกับคะนิ้งจริงเหรอ มันไม่เข้าท่าเลยสักนิด
คือไม่ใช่รังเกียจคะนิ้งนะ มันแค่รู้สึกไม่ดียังไงไม่รู้ ถ้าคะนิ้งรู้เข้าจะทำหน้ายังไง แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้วเนี่ย
“ทำอะไร”
เรซเดินเช็ดผมออกจากห้องน้ำ หยุดมองฉันแวบหนึ่ง ก่อนเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า สวมเสื้อแล้วก็ยังไม่วายหันกลับมาอีก
ไม่เคยเห็นคนเย็บผ้าหรือไง ฉันเหลือบมองใบหน้าคมคายที่มีหยดน้ำเกาะตรงจอนผมแวบหนึ่งก่อนจะดึงสายตากลับมาที่กางเกงในกับเข็มด้ายในมือ แค่รู้สึกว่าหมอนั่นเซ็กซี่แวบเดียว เลือดลมในร่างกายก็ชักปั่นป่วน ฉันรีบไล่อารมณ์วูบไหวทิ้งแล้วจดจ่อกับกางซ่อมกางเกงใน
ถึงจะเลอะแต่แค่ใส่กลับแป๊บเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ดีกว่าไปเอาของคะนิ้งมาใช้
“ไปเอามาจากไหน”
เรซทำหน้าสงสัยระหว่างดึงเสื้อในตู้ออกมาสวม เขาคงหมายถึงเข็มกับด้าย แต่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อแบบนั้นให้ฉันเห็น ทำเอาฉันบันเทิงใจไปชั่วขณะ
“อยู่ในลิ้นชักอีกอัน” ฉันบอกอย่างไม่ใส่ใจ ไม่ได้ตั้งใจจะค้นแค่ตอนนั้นคิดว่าไม่อยากใส่ของคะนิ้ง เลยลองดูว่ามีของใหม่ที่ยังไม่ใช้เก็บไว้หรือเปล่า ถ้ามีจะได้จิ๊กมาใส่ก่อนแล้ววันหลังค่อยซื้อมาคืน แต่ดันเห็นอุปกรณ์เย็บผ้านี่ซะก่อน เป็นตลับเล็กๆ แบบพกพาวางอยู่ในลิ้นชัก ก็เลยเกิดความคิดซ่อมกางเกงในใส่เนี่ยแหละ เฮ้อ จริงสิ ฉันมองหน้าเรซอย่างเพิ่งนึกได้
“ทำไมของคะนิ้งถึงมาอยู่นี่ อย่าบอกนะว่านาย...”
ฉันรู้สึกเหมือนลมหายใจถูกขโมยไปเมื่อยังพูดไม่จบก็ถูกสายตาดุดันจ้องอย่างกับจะฝังทั้งเป็น เป็นเหตุให้ฉันจำต้องกลืนคำพูดไม่ดีลงคอ ก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเรซกับคะนิ้งคงไม่มีทางเป็นแบบนั้น ฉันแค่จะหยอกเล่น แต่ยังไงก็แอบสงสัยอยู่ดี
“อย่าคิดว่าคนอื่นจะเหมือนเธอสิ”
“หมายความว่าไง”
“หึ”
“เรซ!”
ฉันมองสบสายตาคมกริบอย่างฉุนเฉียว เขายิ้มเยาะแล้วออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น ไม่รู้ในหัวเรซคิดอะไร แต่ฉันรู้สึกคันยิบๆ ที่ใจเหมือนโดนหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้
หลังจัดการกับกางเกงในเสร็จ ฉันก็จัดการแต่งเนื้อแต่งตัวใหม่ทันที ใส่เครื่องในชุดเดิมกับที่ใส่มา ชุดนักศึกษายับเล็กน้อยถึงปานกลางแต่ก็พออะลุ่มอล่วยได้
ฉันเดินลงบันไดอย่างลำบาก ข้อเท้าเจ็บแบบนี้นึกไม่ออกเลยว่าทำลงไปได้ยังไง ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายใจ แก้มร้อนวูบวาบไปหมด
ยังไม่ลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้กลิ่นหอมของบะหมี่ถ้วยโชยมาแตะจมูก แล้วก็ทำให้นึกได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง กระเพาะบีบตัวอย่างรู้สึกหิว ยิ่งเพิ่งทำเรื่องแบบนั้นมายิ่งรู้สึกหิวเป็นพิเศษ
ฉันเดินตามกลิ่นเข้ามาในห้องครัวเหมือนแมลงตามกลิ่นดอกไม้ เห็นเรซกำลังซดบะหมี่อย่างเมามันก็แอบกลืนน้ำลายตาม ท่าดูดเส้นบะหมี่ของเรซทำเอาท้องไส้ฉันปั่นป่วนเข้าขั้นรุนแรง ไม่รู้เพราะว่าหิวข้าวหรือหิวผู้ชาย
เห็นบะหมี่อีกถ้วยอยู่บนโต๊ะ หัวใจฉันพองโตขึ้นมาทันทีโพล่งถามเสียงใส
“ของฉันเหรอ”
“อือ ไม่มีเวลามาก เอาไปกินบนรถ เดี๋ยวไปส่ง”
กำลังจะหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ ก็ต้องหยุดกึกกลางอากาศ มองหน้าเรซสลับกับถ้วยบะหมี่ด้วยแววตาสับสน แต่หมอนั่นไม่ชอบพูดซ้ำ โยนถ้วยบะหมี่ที่ซัดจนเกลี้ยงลงถังขยะแล้วหยิบขวดน้ำติดมือออกไปทันที
“เฮ้ย! ... เดี๋ยวสิ”
ฉันอ้าปากพะงาบๆ มองตามแผ่นหลังที่แวบหายออกประตูไปด้วยสายตาเจ็บปวด อย่างน้อยก็รอให้ฉันกินเสร็จก่อนไม่ได้เหรอ
โธ่เอ๊ย
ฉันคว้าถ้วยบะหมี่แล้วตามเรซออกไปอย่างไม่มีทางเลือก มาถึงก็เห็นเขายืนกอดรออยู่ข้างรถ สีหน้าไม่สบอารมณ์
“ชักช้า”
“เอ้า! ก็ขาเจ็บ จะให้เดินตัวปลิวเลยหรือไง”
เรซทำหน้าเอือมก่อนเปิดประตูขึ้นรถโดยไม่พูดอะไรอีก ฉันได้แต่ตอบสนองท่าทีเย็นชาของเขาด้วยการพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ เดินอ้อมมาเปิดประตูขึ้นรถอีกฝั่ง นั่งซดบะหมี่อุ่นในรถไม่พูดไม่จา ก่อนจะสำลักเส้น หันรีหันขวางหาน้ำหน้าดำหน้าแดง แล้วก็นึกได้ว่าไม่ได้หยิบน้ำติดมือมาด้วย ระหว่างที่ฉันกำลังทุบหน้าอกช่วยตัวเองอย่างสิ้นหวังอยู่นั้น คนข้างๆ ก็ยื่นขวดน้ำมาให้
ฉันตอบรับความหวังดีของเรซทันที เขาจะเจตนาหรือไม่เจตนาช่วยก็แล้วแต่ ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานใครจะไปมีเวลาคิดมาก จวบจนอาการดีขึ้น ฉันมองขวดน้ำอย่างลังเล หันไปพูดตะกุกตะกักกับเจ้าของขวดน้ำที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
“...ขอบใจ”
“....”
ความเงียบครอบคลุมทั้งคันรถ เรซไม่ตอบอะไรทั้งนั้น ฉันบีบขวดน้ำในมือแรงขึ้นเล็กน้อย
“ก้อนน้ำแข็งเดินได้ชัดๆ”
“....”
เรซยังคงเงียบ รถชะลอตรงไฟแดงเกือบห้านาที แต่กลับรู้สึกว่าช่วงเวลานั้นยาวนานเป็นพิเศษ ยิ่งคนข้างๆ ไม่มีอารมณ์ตอบสนองยิ่งสัมผัสได้ถึงความห่างเหินจนรู้สึกหนาวเหน็บ
“ถามหน่อย ทำแบบนี้นายต้องการอะไร” ฉันพึมพำเบาๆ หลังจากรถหลุดจากไฟแดง และกำลังพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น
“ไม่มี” เรซตอบเสียงเรียบเฉย
ทีแบบนี้ล่ะยอมพูด แถมยังเป็นคำพูดที่คล้ายจะทำร้ายจิตใจคนฟังอยู่นิดๆ ด้วย
“หมายความว่าไงที่ว่าไม่มี”
“หมายความตามนั้น”
“....”