สัมผัสร้าย 4 เทียนสิ้นแสง (1)

2321 คำ
​ ​ พอกลับมาถึงห้องก็นึกได้ทั้งเรื่องโทรศัพท์ กระเป๋า และพี่แสง... ฉันเงยหน้าขึ้นมองตึกสูง หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ ได้แต่ภาวนาขอให้พี่แสงไม่อยู่ ถ้าต้องเผชิญหน้ากันตอนนี้ฉันกลัวว่าจะเก็บอาการไม่มิด ระหว่างทางขึ้นห้องฉันเปิดโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องไว้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ กะว่าจะเช็กความเคลื่อนไหวของพี่แสงสักนิด แต่เครื่องกลับอืดกว่าจะโหลดเสร็จประตูลิฟต์ก็เปิดออกหน้าชั้นที่อยู่แล้ว เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าห้อง มือไม้แลดูสั่นไปหมด เอาเข้าจริงก็เช็กอะไรจากโทรศัพท์ไม่ได้ แถมพอเปิดเครื่องข้อความแจ้งเตือนจากแอพฯ ต่างๆ ดันเด้งขึ้นไม่หยุด ฉันยืนลนลานอยู่สักพักก็ต้องหักใจเก็บมือถือเข้ากระเป๋า มองบานประตูตรงหน้าด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ใจหวิววาบ ลังเลชั่วขณะก่อนกลั้นใจเปิดเข้าไป ในห้องมืดสนิท ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ค่อยยังชั่วหน่อย ระหว่างที่คิดว่ารอดแล้วฉันเอื้อมไปเปิดไฟ ภายในห้องสว่างวาบเผยให้เห็นร่างสูงของใครบางคนนั่งหลังตรงอยู่บนโซฟา ฉันสะดุ้งเฮือก “พี่แสง” หัวใจฉันร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม “พี่แสง... พี่แสงนั่งทำอะไรน่ะ ทำไมไม่เปิดไฟ” “ไปไหนมา” บรรยากาศรอบตัวพี่แสงอบอวลไปด้วยแรงบีบคั้น ใบหน้าเรียบตึงผิดสังเกตทำเอาหัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ ละล่ำละลักตอบเสียงเบาโหวง “เทียน... เทียนไปกินข้าวกับเพื่อนค่ะ” “เพื่อนคนไหน” “ก็เพื่อนๆ ในกลุ่มน่ะ พี่แสงล่ะคะกลับมาเมื่อไหร่” ฉันหาเรื่องเปลี่ยนประเด็น เผื่อพี่แสงจะนึกได้ว่าตัวเองก็ออกไปข้างนอกทั้งคืนแล้วไม่บอกฉันเหมือนกัน แต่แผนเบี่ยงเบนความสนใจของฉันกลับใช้ไม่ได้ผล “แล้วนั่นเท้าเป็นอะไร” สายตาคมกริบตวัดมองข้อเท้าที่ตอนนี้มีแค่กอเอี๊ยะแปะทับ ฉันเม้มปากแน่น อารมณ์คล้ายโดนสอบสวนยังไงยังงั้น ฉันเดาใจพี่แสงไม่ออก ได้แต่ข่มอารมณ์ร้อนรนเอาไว้และไม่แสดงอาการร้อนตัวให้เขาเห็น “สะดุดน่ะ ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่พี่แสงกินอะไรหรือยัง เทียนทำแซนวิสไว้ให้เมื่อเช้าเห็นหรือเปล่า” ฉันทำเนียน วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะตั้งใจว่าจะเข้าครัวแต่สายตาเหลือบเห็นกระดาษบนโต๊ะเข้าโดยบังเอิญ หัวใจฉันกระตุกวูบ! “นี่มัน...” รูปฉันกับเรซในร้านกาแฟของมหาลัย มีแทบทุกอิริยาบถ ตั้งแต่ตอนคุยกันที่โต๊ะจนถึงโอบเอวกันเดินออกจากร้าน มองจากภาพเหมือนกำลังสวีทกันแต่อารมณ์ที่แท้จริงมันไม่ใช่แบบนี้เลย “พี่แสง” ฉันช้อนสายตาสั่นระริกขึ้นมองพี่แสง ผิวแก้มร้อนวูบวาบ รู้สึกเหมือนโดนกระชากหน้ากากออกจนหมด แต่... ภาพนี้มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ฉันไม่อยากให้พี่แสงเข้าใจผิด กำลังจะอ้าปากพูดเสียงยะเยือกแกมผิดหวังเข้าขั้นร้ายแรงก็ดังขึ้น “เทียนทำแบบนี้ได้ไง” “เทียน... เปล่านะคะ” เสียงฉันเบาหวิว แทบไร้น้ำหนัก “ไปกับมันมาใช่มั้ย” พี่แสงยังคงสงบนิ่ง ฉันส่ายหน้าไหว ปากแข็งปฏิเสธน้ำตาคลอเบ้า “ไม่...” “เสื้อผ้ายับ แถมยังมีกลิ่นสบู่ติดตัว คิดว่าพี่ดูไม่ออกเหรอ” “พี่แสง เทียนไม่...” ฉันตัวแข็งทื่อ พี่แสงลุกขึ้นมาดึงแขนฉันเข้าไปดมใกล้ๆ เสียงจมูกฟุดฟิดเหมือนยาพิษที่แทรกซึมไปทั้งตัวทำให้ขยับร่างกายไม่ออก “นี่รอยอะไร” พี่แสงจ้องที่หลังคอฉัน แววตาคมกริบลุกวาว ฉันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขารวบเส้นผมออกไปตอนไหน พอโดนจี้ก็สะดุ้ง หันขวับไปมองอีกฝ่ายอย่างลนลาน ในหัวพลันนึกไปถึงตอนที่ทำกับเรซ โมโหตัวเองที่สะเพร่าไม่กำชับหมอนั่นก่อนว่าอย่าทิ้งรอยเดี๋ยวจะมีปัญหาตามมาแบบนี้ บ้าจริง ทั้งรูปถ่าย ทั้งรอยบนตัว ไหนจะคดีเก่าอีก หลักฐานแน่นขนาดนี้พูดไปพี่แสงยังจะเชื่อฉันอยู่หรือเปล่า “มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด เทียน... เทียนไม่รู้จริงๆ ว่ารอยอะไร อาจจะเป็นมด หรือตัวอะไรกัดก็ได้” ฉันก้มหน้างุด เอามือปิดหลังคอแล้วลูบไปมา ไม่กล้าสู้หน้าพี่แสง “เอาความจริงเทียน” “พี่แสง...” หัวใจฉันกระตุกไหว มองสบสายตาเย็นยะเยือกของคนตรงหน้าน้ำตาคลอเพราะรู้ว่าแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้น เลยใช้ไม้ตายด้วยการบีบน้ำตาแล้วโผเข้ากอดร่างสูงเอาไว้แน่น “เทียน!” “ฮือๆ พี่แสงอย่าเข้าใจเทียนผิดนะคะ มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด” “พอแล้วเทียน” เขาพยายามแกะมือฉันออกแต่ไม่สำเร็จ หนักเข้าก็ใช้กำลังบังคับแล้วผลักฉันแทบกระเด็น “อึก” ฉันรู้สึกเจ็บและก็ตกใจพอๆ กัน มองสบสายตาลุกวาวของพี่แสงอย่างอึ้งๆ เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงท่าทีรังเกียจใส่ฉัน “อย่าทำให้พี่รู้สึกสมเพชตัวเองไปมากกว่านี้เลย พี่ควรจะตาสว่างตั้งแต่วันที่รู้ว่าเทียนโกหก แต่พี่ก็โง่เป็นควายยอมให้เทียนหลอก จิตใจเทียนทำด้วยอะไรพี่ดีกับเทียนขนาดนี้เทียนยังนอกใจพี่!” น้ำเสียงเคียดแค้นเจ็บปวดพรั่งพรูออกจากปากพี่แสงกระแทกหัวใจคนฟังอย่างฉันเต็มแรง มองตอบแววตาคมกริบรู้สึกหายใจไม่ออก “พี่แสง...” พี่แสงขบกรามแน่น นัยน์ตาคมสะท้อนแววผิดหวังรุนแรงมองฉันด้วยสีหน้าที่บอกว่าพอแล้วก่อนจะสาวเท้ายาวๆ ไปที่ประตู ฉันใจหายวาบ สัญชาตญาณบอกฉันว่าถ้าเขาพ้นประตูนี้ไปฉันก็จะเสียเขาไปตลอดกาล ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการถูกทิ้งอีกแล้ว ชั่วเสี้ยวเวลานั้นฉันไม่มองความผิดของตัวเองเอาแต่คิดที่จะหยุดพี่แสงไม่ให้ไป พุ่งเข้ากอดเอวพี่แสงจากด้านหลัง ซุกหน้าร้องไห้ฟูมฟายกับแผ่นหลังของเขา “ไม่นะพี่แสง พี่แสงต้องฟังเทียนนะ เทียนอธิบายได้ เทียน...” “ปล่อยพี่” “ไม่!” ฉันส่ายหน้าไหว กระชับมือแน่นแต่พี่แสงใช้แรงที่มากกว่างัดนิ้วฉันจนรู้สึกเจ็บ ยังไม่ทันตั้งตัว พี่แสงก็ก้าวออกประตูไปแล้ว “พี่แสงฟังเทียนก่อน ฮือ... พี่แสง!” ฉันรีบร้อนตามไป ร่างสูงจ้ำอ้าวไปตามทางเดินสลัวราง มีหลอดไฟสีเหลืองนวลบนผนังด้านละหนึ่งดวงสะท้อนเงาคนห่างออกไปเรื่อยๆ สายตาฉันจับจ้องที่แผ่นหลังของเขาไม่กะพริบ ร้องเรียกไม่หยุด เสียงสั่นเครือรวดร้าวตะโกนก้องทางเดิน พี่แสงใจแข็งกว่าที่คิด เขาไม่เหลียวกลับมามองฉันแม้แต่เสี้ยวเดียว “พี่แสง!” ฉันสะดุดข้อเท้าตัวเองหลายรอบ วิ่งทุลักทุเลตามมาถึงลิฟต์ มองไฟบนปุ่มลิฟต์เลื่อนลงไปทีละชั้นน้ำตาซึม ตั้งแต่วันนั้นมาพี่แสงก็ไม่เคยกลับมาที่ห้องอีกเลย สิ่งที่ฉันกลัวมันกำลังเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ฉันไล่ตามพี่แสงมาตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาไม่กลับห้อง ไม่ติดต่อ ส่งอะไรไปหาก็ไม่เคยเปิดอ่าน โทรศัพท์เปลี่ยนเบอร์หรือจงใจบล็อกสายฉันก็ไม่รู้ โทรหาไม่เคยติด ไปดักรอที่คณะก็ไม่เจอ ราวกับไม่เคยมีตัวตน ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าจงใจหลบหน้า ฉันเลื่อนหน้าจอ ไล่ดูเฟซบุ๊กของพี่แสงอย่างเลื่อนลอย ไม่มีอะไรอัปเดตเลยตั้งแต่วันที่เขาไปเลี้ยงวันเกิดรุ่นน้องที่ลานเบียร์ แม้แต่เฟซบุ๊กพะแพงน้องพี่แสงฉันก็เข้าไปส่องแต่ไม่เจอเบาะแสอะไรเลย มีอยู่โพสต์หนึ่งที่เขียนว่า ‘มีความสุขชะมัด’ ที่ทำฉันตงิดๆ แถมยังโพสต์หลังวันที่ฉันกับพี่แสงมีปากเสียงกันแค่วันเดียว นอกนั้นบนหน้าวอล์ของพะแพงก็มีแค่รูปเซลฟี่อวดหรูตามประสาลูกคนรวย ปลุกปั่นให้คนอิจฉาเล่น ฉันกดออกจากเฟซบุ๊กยัยนั่นทั้งเสียใจทั้งเบาใจ เสียใจที่ไร้วี่แววพี่แสง เบาใจที่ไม่ถูกพาดพิงหรือโจมตี เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นก็เดาได้เลยว่าอนาคตฉันกับพี่แสงดับแล้วแน่ๆ อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ยังพอมีความหวังคืนดีอยู่บ้าง ระหว่างนี้เรซก็หายตัวไปอีกคน แต่เอาเข้าจริงหมอนั่นก็ไม่เคยโผล่หน้ามาหาฉันก่อน ทุกครั้งที่เราทั้งคู่เจอกันล้วนมาจากสถานการณ์บังคับทั้งสิ้น ฉันเคยคิดจะไปขอร้องเรซให้ช่วยพูดกับแสง แต่ก็นึกได้ในแทบจะทันทีว่ามันเป็นความคิดที่งี่เง่ามาก ไม่ใช่แค่ไม่รู้จะให้เรซไปพูดอะไรกับพี่แสง แต่แค่คิดว่าจะพูดยังไงให้เรซยอมช่วยก็ท้อแท้แล้ว ดีไม่ดีจะถูกหัวเราะเยาะเอาอีก ทางที่ดีเลิกคิดไปเลยดีกว่า ระหว่างที่กำลังคิดว่าวันนี้จะไปดักรอพี่แสงที่ไหน เสียงเตือนข้างๆ ก็ดังขึ้น “เฮ้ยเทียนกินข้าว” “อ้าว เลิกแล้วเหรอ” ฉันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ เห็นคนอื่นทยอยออกจากห้อง ถึงรู้สึกตัวว่าใจลอยจนไม่ได้ยินแม้กระทั่งอาจารย์สั่งเลิกคลาส “ใช่ดิ ไหวหรือเปล่าเนี่ย” นิกตบไหล่ฉันเบาๆ กึ่งเล่นกึ่งจริง ฉันสูดหายใจเข้าลึก ตอบ ‘อือ’ คำเดียว สะพายกระเป๋าลุกขึ้นเดินตามคนอื่นๆ ออกจากห้อง ตอนนี้ข้อเท้าฉันหายสนิทแล้วต่อให้เจอพี่แสงแม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหนฉันก็มั่นใจว่าสามารถวิ่งตามแผ่นหลังของเขาทัน “เหมยไปเมืองนอกแล้ว สงสารหนูมีน” “อืม ไอ้หมอนั่นรับไปเลี้ยง ฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่” คะนิ้งกับเลโอกำลังคุยเรื่องอะไรสักอย่างระหว่างเดินเข้ามาในโรงอาหาร ฉันไม่ได้สนใจฟัง ในหัวหมกมุ่นอยู่แต่กลับเรื่องตัวเอง “เทียน” เสียงเรียกคุ้นหูดังอยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล ฉันเงยหน้าขึ้น ตกตะลึงชั่วขณะ “พี่แสง” บรรยากาศรอบด้านเงียบลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ฉันมองใบหน้าด้านชาแต่กลับแฝงแววอาลัยอาวรณ์อ่อนๆ อยู่ในดวงตาของพี่แสง หัวใจบีบรัดแน่น พร้อมที่จะโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาโดยไม่อายใครทั้งนั้นแต่น้ำเสียงพี่แสงกลับแห้งแล้งเสียจนฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิด “ขอคุยด้วยหน่อย” “....” ฉันเดินตามพี่แสงออกมา ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนๆ จนเกือบจะถึงลานจอดรถของอีกตึก ที่นี่มีเก้าอี้หินสองตัวติดกับซุ้มดอกไม้ พี่แสงทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ในขณะที่ฉันยืนเก้ๆ กังๆ มองเขาด้วยสายตาสับสน “พี่จะย้ายออก” ฉันยังไม่ทันปริปากเขาก็โพล่งสิ่งที่ต้องการออกมา หัวใจฉันกระตุกวูบ “พี่แสงหมายความว่ายังไง” “เราเลิกกันเถอะ” ฉันมองสบตาคนตรงหน้าอย่างตกตะลึง ...ง่ายๆ อย่างนี้เลยเหรอ ฉันมองพี่แสงแววตาแข็งค้าง วิญญาณราวกับร่วงหลุดจากร่าง “พี่แสงเทียนยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยนะ” “อธิบายอะไรอีก ไม่จำเป็นหรอก พี่เข้าใจหมดทุกอย่าง” “พี่เข้าใจอะไร พี่รู้มั้ยว่า” “พอเถอะเทียน พี่ไม่ได้โง่” พี่แสงตัดบท ไม่เปิดโอกาสให้ฉันพูดอะไรอีก สายตาคมกริบดุดันระอุไปด้วยความรู้สึกแค้นเคืองเจือเจ็บปวด ฉันรู้ว่าเขาเสียใจและก็ผิดหวังในตัวฉัน และต่อให้ฉันพูดความจริงพี่แสงก็คงรับไม่ได้อยู่ดี “ไอ้หมอนั่นมันคงให้มากสินะ เทียนถึงได้ไปกับมัน” “พี่แสง เดี๋ยว... นี่พี่หมายความว่ายังไง” ฉันมองสบสายตาดูแคลนของคนตรงหน้าแววตาสั่น ใบหน้าชาวูบวาบ “คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอ ที่เทียนคบพี่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเงิน” “พี่แสง” “พี่ไม่พูดไม่ใช่ว่าพี่ดูไม่ออก แต่เงินมันไม่สำคัญสำหรับพี่ ถ้าเงินพี่ทำให้คนที่พี่คบมีความสุขพี่ก็พอใจ แต่พี่คิดผิด” “แต่เทียนไม่ได้คบกับพี่เพราะเงิน” ฉันโพล่งสวนออกไป แต่ยังพูดไม่ทันจบดีเสียงเคร่งขรึมก็แทรกขึ้นกลางปล้อง “อย่าโกหก!” “อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้เรื่องที่เทียนเอากระเป๋าที่พี่ซื้อให้ไปแอบขายในไอจีเพื่อน” “…!!!” ช็อก ฉันมองสบดวงตาคมกริบอย่างลืมหายใจ ริมฝีปากแห้งผาก พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ “พี่ว่าพี่เข้าใจเทียนนะ แต่ที่พี่รับไม่ได้คือเทียนนอกใจพี่ เทียนคบกับพี่แล้วยังมีหน้าไปนอนกับคนอื่น ไม่ละอายใจบ้างหรือไง” พี่แสงหยุดพูดแล้วปรายตามองฉันราวกับกำลังประเมินสิ่งของชิ้นหนึ่ง เป็นสิ่งของที่เขาเคยใช้แล้วกำลังจะปล่อยมือจากมันเพราะไม่ชอบใจที่โดนคนอื่นแตะต้อง “ในเมื่อเทียนไม่ซื่อสัตย์กับพี่ พี่ก็ไม่รู้จะเลี้ยงเอาไว้ให้มีเขางอกอยู่บนหัวทำไม เราจบกันแค่นี้แหละเทียน โชคดีนะ” “.....” ฉันเหมือนโดนตบหน้าชายืนนิ่งไม่ไหวติง ในอกเจ็บหนึบ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้วิ่งตามเขาไปอย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้ ทุกอย่างชัดเจนอยู่ในแววตาคู่นั้นแล้ว.... เรื่องของเราจบลงแล้วจริงๆ ต่อให้ฉันวิ่งตามไปก็มีแต่จะถูกสายตาของเขาประณามเท่านั้น ​
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม