บีเอ็มสีเหลืองมุ่งหน้าออกสู่ถนนที่ไม่คุ้นเคย ฉันมองไปรอบๆ อย่างแตกตื่น ยังจำความหวาดหวั่นเมื่อครั้งที่ถูกพาไปภูเก็ตได้ หันไปมองใบหน้าด้านข้างของเรซ เริ่มนั่งไม่ติดเบาะ
“นี่นายจะพาฉันไปไหน”
หมอนั่นไม่ตอบ ฉันกำลังจะถามซ้ำโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อพี่แสงแสดงบนจอ ฉันมองอย่างร้อนใจ จะรับก็ไม่กล้ารับ รอจนสายหลุดไปเอง
พี่แสงโทรเข้ามาอีกสองรอบ ฉันมองหน้าจออย่างอึดอัดก่อนกลั้นใจปิดเครื่องให้รู้แล้วรู้รอด
แกล้งทำเป็นแบตหมดซะเลย
เรซชำเลืองมองเงียบๆ ฉันรู้สึกได้ แต่พอฉันหันไปหมอนั่นก็เอาแต่จ้องถนนเบื้องหน้าเหมือนไม่ได้สนใจอะไร
ความว้าวุ่นใจทำให้ฉันลืมเรื่องเส้นทางข้างหน้าชั่วขณะ กระทั่งรถหักเลี้ยวเข้าถนนเส้นเล็กๆ สองข้างทางปกคลุมด้วยพงหญ้าสูงมีดอกขนสีน้ำตาลปนชมพูอ่อนขึ้นแซมประปรายพลิ้วเอนไปตามกระแสลมที่พัดผ่าน ท่ามกลางแดดยามบ่ายร้อนระอุ มองผ่านกระจกรถตัดทุ่งหญ้าออกไปจะเห็นบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ไกลๆ ฉันดึงสายตากลับมามองเรซอย่างสงสัย
“นายจะพาฉันไปไหนเรซ”
“เซฟเฮาส์”
เขาตอบสั้นๆ หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาที รถที่วิ่งด้วยความเร็วสูงฝุ่นคลุ้งตลบอยู่ด้านหลังก็แล่นเข้ามาจอดหน้ารั้วบ้านหลังเดียวกับที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้
เรซลงจากรถไปเปิดประตู รั้วตาข่ายเหล็กสีน้ำตาลคร่ำครึแต่ท่าทางยังใช้งานได้ดีถูกเข็นออกจนได้ระยะที่รถสามารถแล่นผ่าน จากนั้นเขาก็กลับมาเลื่อนรถเข้าไปด้านใน
“ที่นี่คือ?”
หลังลงจากรถ ฉันหันไปมองรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เบื้องหน้าคือตึกสองชั้นสไตล์โมเดิร์น ฝั่งซ้ายติดลานกว้างที่ปูด้วยพื้นคอนกรีต กลางลานกว้างมีตู้จ่ายน้ำมันสองเครื่อง ถัดออกไปมีแท่นยกสูงเหมือนที่ใช้ล้างรถแบบในคาร์แคร์กับพวกอุปกรณ์อัดฉีดจัดวางอย่างเป็นระเบียบ
ฉันดึงสายตากลับมาจ้องหน้าเรซอย่างรอฟังคำตอบ แต่เรซกลับมองฉันนิ่งๆ แล้วเดินไปเปิดประตูเข้าบ้านโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ฉันถอนหายใจหนักๆ เดินเท้ากะเผลกตามเข้าไปข้างใน
เข้ามาก็เจอโซฟารับแขกกินพื้นที่กว้างหันหน้าเข้าหาทีวีติดผนัง ใต้ทีวีเป็นชั้นวางของ อัดแน่นไปด้วยแฟ้มเอกสารและสันปกนิตยสารซ้อนเรียงรายเป็นแถวกินพื้นที่สองในสามส่วน ที่เหลือเป็นของกระจุกกระจิก รูปปั้นหิน โมเดลรถ กระทั่งตุ๊กตาก็มี
“ห้องน้ำอยู่ด้านใน”
เรซบอก เขาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนออกอย่างอึดอัด เผยให้เห็นเนื้อขาวนวลลึกลงไปตามรอยแยกของเสื้อ
เสียงแอร์คอนดิชั่นกำลังทำงาน แต่เดิมทีอากาศในนี้ก็ไม่ถือว่าร้อนเท่าไหร่ ฉันดึงสายตากลับมาอย่างไม่ใส่ใจ หย่อนก้นลงบนโซฟาตัวเดียวกับเรซ เว้นระยะห่างเอาไว้พอประมาณและก็ไม่มีความคิดที่อยากจะเข้าห้องน้ำด้วย
“บ้านนายเหรอ”
“เปล่า”
“อ้าวถ้าไม่ใช่แล้วบ้านใคร”
“เซฟเฮาส์” เรซพูดตัดรำคาญ สายตาของเขาเลื่อนมองเสื้อนักศึกษารัดตึงของฉันเป็นประกายวาววับ ชวนหวั่นไหวประหลาด แก้มฉันร้อนวูบ รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต รีบชักสีหน้าขึงขังกลบเกลื่อนความรู้สึกประหม่าจากการถูกจ้องมองปานจะกลืนกิน
“เข้าเรื่องเลยนะ ฉันไม่ยากเสียเวลาเพราะต้องรีบกลับ”
เรซฉวยรีโมตขึ้นมาเปิดทีวีอย่างใจเย็นจนแทบจะเรียกได้ว่าอืดอาดยืดยาด พาดท่อนแขนบนพนักพิง โน้มตัวเข้าใกล้ฉันบรรยากาศคุกคามแปลกๆ
“แล้วอยากคุยอะไร”
“นี่!” ฉันไหวตัวออกห่าง จ้องเขม็งกลับไปอย่างไม่พอใจ “เมื่อคืนนายขับรถเหยียบกระเป๋าฉัน ใบละแปดหมื่น!”
“เธอทะเล่อทะล่าเข้ามาเอง รถฉันก็เป็นรอย ถือว่าเจ๊ากันก็แล้วกัน”
“นี่จะบ้าเหรอ!”
“ที่เธอให้คะนิ้งกลับไปแล้วมาหาฉันเนี่ยอยากคุยแค่เรื่องกระเป๋าจริงเหรอ” เรซจับปอยผมที่ข้างแก้มฉันออกทัดหู
หัวใจฉันกระตุกไหว ไม่รู้สักนิดว่ามือหนามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันเกร็งไปทั้งตัวแต่ก็ไม่ได้ผลักเขาออก
“หมายความว่ายังไง”
“เธอก็รู้ดีนี่ ต้องให้พูดทำไม”
รอยยิ้มนุ่มลึกปรากฏขึ้นที่มุมปากเรซ สายตาร้อนแรงราวกับจะแผดเผากวาดมองใบหน้าฉันเร็วๆ รอบหนึ่ง ระยะห่างถูกฉีกออกช้าๆ ริมฝีปากบางเฉียบทำท่าจะกดลงมา ฉันได้สติรีบเอียงหน้าหลบทันควัน ยกมือขึ้นดันแผงอกกว้างเอาไว้
“จะทำอะไร... อย่าสิ”
ฉันร้องห้ามเสียงเบาหวิว ลำคอแห้งผาก ฝ่ามือเรซลูบไล้ขาอ่อนฉันอย่างเปิดเผย ความรู้สึกที่ไวต่อสัมผัสทำให้มวลกายปั่นป่วน หัวใจสั่นระรัว
“นายรู้ตัวมั้ยว่ากำลังอะไร”
“กลิ่นตัวเธอใช้ได้เลยล่ะ”
ปลายจมูกคมยื่นเข้ามากระซิบข้างใบหูเหมือนไม่ได้ฟัง ท่าทางลุ่มหลงของเรซทำฉันนึกอะไรไม่ออก ก่อนจะสะดุ้งวาบเมื่อถูกขบกัดติ่งหู ร่างกายหดเกร็งตอบสนองตามธรรมชาติ รีบผลักเขาออกไป แต่เรซกลับโถมกายลงมาอย่างมีชั้นเชิง อาศัยเรี่ยวแรงที่เหนือกว่ากดฉันนอนราบลงกับโซฟา
ฉันเบิกตากว้างใต้ร่างหนา กำลังจะเปล่งเสียงร้องริมฝีปากก็ถูกประกบปิด บดเบียดอย่างดื้อดึง ความรู้สึกร้อนลวกแผ่ซ่านยามเรียวปากสัมผัสกัน เรี่ยวแรงเหมือนถูกละลายหายไปกว่าครึ่ง มือกำคอเสื้อเขาค้างไว้อย่างไม่รู้จะผลักไสหรือดึงรั้งเข้ามาแทน
ฉันถูกทำให้ชะงักงันด้วยจูบที่พร้อมจะครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง
“อือ...”
เสียงครางดังลอดริมฝีปากที่เผยอขึ้น เรซลากริมฝีปากลงไปซุกไซ้ซอกคอ จูบเม้มจนฉันอ่อนระทวย แบมือที่กำแน่นออก สอดผ่านคอเสื้อเข้าไปทาบติดแผงอกแน่นตึงสนองต่อไฟตัณหาที่โหมหนัก ความคิดในหัวยุ่งเหยิงยากจะแยกแยะได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด
“ระเรซ... ไม่”
ฝ่ามือหนารวบเข้าใต้วงแขนพร้อมกับปลายจมูกคมๆ เลื่อนลงไปซุกหน้าอก ความเสียวซ่านแล่นปราดไปทั้งร่าง เรซใช้ริมฝีปากขบกัดรังดุมจนมันหลุด ฉันร้องห้ามแต่เสียงที่ดังออกมากลับสั่นพร่าไม่เป็นท่า ยิ่งกระตุ้นให้เขารุกหนักขึ้น ปลายลิ้นตวัดไล้ไปทั่วเนินอก แฉลบผ่านสาบเสื้อเข้าไปหยอกเย้าเนื้อขาวนุ่ม
ลมหายใจของเรซหนักหน่วงขึ้นทุกขณะ เขาซุกไซ้เรือนร่างที่หุ้มห่อด้วยเสื้อผ้าอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นทุกที เรซผละขึ้นนั่ง สลัดเสื้อเชิ้ตทิ้งอย่างรวดเร็ว ผิวเนื้อท่อนบนเปลือยเปล่าเคลือบทาด้วยชั้นเหงื่อบางๆ เขาปลดเข็มขัดรูดซิปลงครึ่งทาง เผยให้เห็นสิ่งที่พองโตใต้เนื้อผ้า
หัวใจฉันเต้นไม่เป็นส่ำ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีตื้นขึ้นจุกอก ฉันนึกอะไรไม่ออก ยกเท้าขึ้นยันแผงอกเปลือยเปล่าเรซที่โถมกายลงมาอย่างกะทันหัน ห้วงเวลาที่เร่าร้อนถูกหยุดเอาไว้ชั่วขณะ เรซพลันขมวดคิ้ว ดวงตาคมกริบหลุบมองฝ่าเท้าฉันอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ได้! ฉันไม่ได้มาเพื่อทำแบบนี้”
เรซชักสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจว่าฉันกำลังพูดเรื่องอะไร เขาจับข้อเท้าฉัน ก้มลงจูบตั้งแต่ปลายขาไล่ขึ้นมาถึงขาอ่อน
“ระเรซ”
ฉันสะท้านเฮือก พยายามสะบัดเท้าออกจากมือหนาแต่ไม่สำเร็จ ใบหน้าเรซเลื่อนลงมาถึงปลายกระโปรง จูบเม้มโคนขาด้านในอย่างดูดดื่มจนเกิดเสียงดังจ๊วบ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทิ้งร่องรอย ฉันทั้งสยิวทั้งโกรธ ตะโกนสั่งให้เขาหยุด แต่เรซฟังที่ไหน ซุกใบหน้าเข้ามาลึกขึ้น ลมหายใจร้อนระอุเป่ารดผิวอ่อน ก่อความกระสันซ่านแผดซึมสู่จุดซ่อนเร้น ราวกับหุ่นกระบอกที่ถูกชักใย ร่างกายไหวหวิวแอ่นพลิ้วไปตามจังหวะเร่งเร้าของคนตรงหน้า
“อื้อ! ~”
เรียวนิ้วแข็งล้วงเข้ามาใต้กระโปรง คว้าหมับเข้าเต็มร่องบีบขยำผ่านซับในลูกไม้เนื้อบาง ฉันสะดุ้งเฮือก แรงกดที่เดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาปลุกปั่นเส้นประสาทให้พลุ่งพล่านไปหมด
“เรซ... หยุดเถอะ”
ฉันขอร้องเสียงสั่นระริก ต่อให้เสียวซ่านจนอ่อนพับไปทั้งตัวแต่ยังคงมีความคิดต่อต้าน จับข้อมือเรซบีบแน่นแต่กลับกลายเป็นว่ามือฉันก็ขยับไปตามจังหวะของเรซก่อเกิดอารมณ์เร้าใจไปอีก
แรงที่จับมือเรซคลายออกหลวมๆ ถูกสัมผัสวาบหวามตรงส่วนนั้นดึงความสนใจไปจนหมด ไม่นานกางเกงซับในก็เปียกชุ่ม เรซลูบคลึงอีกสักพักก็แหวกกลุ่มผ้าปิดทางออก แทรกนิ้วเข้ามาไกล่เกลี่ยต่อรองกับช่องทางรักที่แทบหลอมละลายไปกับนิ้วไม่กี่นิ้ว
“ระเรซ... อื้อ”
ฉันส่งสายตาห้ามปรามแต่ทันใดนั้นนิ้วเรียวยาวก็แทรกเข้ามาแถมยังสอดทีเดียวสุดโคนนิ้ว เสียงห้ามกลายเป็นเสียงครางกระเส่า ลมหายใจฉันติดขัด เหม่อมองใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยอารมณ์หื่นกระหายของเรซอย่างรู้สึกสับสน
เขาไม่รีบร้อนขยับแต่แช่นิ้วเอาไว้อย่างนั้น ฉันรู้สึกร้อนจนแทบคลั่ง ด้านในบีบรัดตุบๆ ราวกับจะกัดกลืนนิ้วเขาให้ไม่เหลือแม้แต่กระดูก ทว่ามันก็ไม่ทำให้อิ่ม ตรงข้ามฉันกลับกระหายยิ่งขึ้น
...อยากได้มากกว่านี้
ความต้องการที่ถูกกระตุ้นกลางจุดอ่อนไหวไม่ต่างจากเอาไฟมาสุมร่าง ฉันอ้าปากพะงาบ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาวอนขอ
เรียวปากร้ายกาจยกยิ้ม แววตาคมกริบจ้องมองมาอย่างคนที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือ
“อยากให้ทำอะไร บอกสิ”
ฉันกัดริมฝีปากแน่น ความต้องการตีตื้นขึ้นจุกอก ขอบตาแผดร้อนไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอับอายหรือกำลังตื่นเต้นเร้าใจอยู่กันแน่
ต่อให้รู้ว่าโดนแกล้งก็ไม่อาจดับความกระหายในใจได้ ฉันสบตาเรซด้วยแววตาที่สั่นระริก ลำคอแห้งผาก “เอา... เอาฉัน”
“หืม?”
พอสำนึกได้ว่าตอนแรกพูดอะไรออกไปก็ละอายจนอยากกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ทว่าเรซแววตาลึกซึ้งของเรซกลับดูชอบใจแต่ก็มิวายปั่นหัวฉันด้วยการแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ฉันรีบกลับคำพูดทันควัน
“ฉัน... ฉันไม่ชอบนิ้ว”
“อ้อ”
เขาอมยิ้มถามกลับมาหน้าตาย “แล้วชอบอะไร”
ฉันอ้ำอึ้ง ไปไม่ถูกกลับคำถามนั้น แต่จู่ๆ เรซก็โพล่งออกมาด้วยท่าทางกระตือรือร้น
“แครอทมั้ย รู้สึกในครัวจะเหลือ...”
หน้าฉันร้อนวูบ รีบคว้าแขนเรซที่กำลังจะลุกออกไปหาอุปกรณ์ช่วยเอาไว้ทันควัน หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ บอกไม่ถูกว่ากลัวเขาจะเอาสิ่งแปลกปลอมมายัดใส่ฉันจริงๆ หรือเพราะตัวเองอดใจรอต่อไปไม่ไหวกันแน่
“ไม่... ฉันอยากได้ของนายมากกว่า”
ฉันบอกอย่างร้อนรน ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะลองของแปลก
ในเมื่อมีเนื้ออร่อยอยู่ตรงหน้าไยฉันต้องสนใจผักชืดๆ ด้วย
ฉันรวบคอแกร่งลงมา มองสบสายตาร้อนแรงของเรซอย่างเปิดเผย “นายน่าจะรู้ว่า ‘ชอบ’ ของฉันหมายถึงอะไร”
พูดจบฉันรั้งเขาเข้ามาประกบปากจูบทันที เรซเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึงแต่ก็แค่แวบสั้นๆ เท่านั้นฉันไม่ทันสังเกตเห็นด้วยซ้ำ หลับตาบดเบียดริมฝีปากกับเขาอย่างถึงพริกถึงขิง ตวัดลิ้นพัวพันกันไม่เว้นห่าง ร่างกายแนบชิด กระทั่งรู้สึกถึงของแข็งปั๋งแถมยังร้อนจัดกำลังทิ่มแทงที่ท้อง ฉันเอื้อมมือลงไปสัมผัสตามสัญชาตญาณระหว่างจูบนัวเนียกันไม่หยุด
สิ่งที่อยู่ใต้เนื้อผ้าของเรซกำลังสั่นกระตุกริกๆ พออยู่ข้างในแล้วแลดูมันขี้อายขณะเดียวกันก็เหมือนจะอยากออกมาเผชิญโลกใจจะขาด แทบไม่อยากเชื่อว่าเรซจะกักขังความบ้าคลั่งขนาดนั้นเอาไว้ได้
เรายังคงแลกจูบกันไม่เลิก ราวกับว่าใครหยุดก่อนคนนั้นแพ้ ปากฉันชาไปหมด น้ำลายไหลย้อยเต็มคาง อดที่จะสอดมือเข้าไปทักทายสัตว์ประหลาดน้อยในร่มผ้าไม่ได้ ผิวสัมผัสเรียบหนึบแผดไอร้อนวูบวาบ เรซชะงักจูบไปหนึ่งจังหวะ เห็นได้ชัดว่าฉันกำลังทำให้เขาหวั่นไหว แต่เรซแค่หยุดหายใจไปแวบหนึ่งก็กลับมาไล่ต้อนฉันต่อ เขาขบเม้มกลีบปากฉันอย่างร้อนแรง ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดรัดรึงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนลิ้นแทบแตก ฉันเพิ่มแรงจับที่มือมากขึ้น บางครั้งก็รูดรั้งให้ บางครั้งก็ใช้เล็บหยอกล้อกับส่วนหัวเบาๆ เรซท่าทางพอใจมาก ในที่สุดก็เป็นฉันที่ทนไม่ไหวเอง ผละริมฝีปากที่บวมเจ่อหลบหลีก เรียกชื่อคนด้านบนเสียงตะกุกตะกัก
“เรซ… อือ”
ราวกับรู้ทันความคิดหรือเขาเองก็อาจทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เรซไม่ดื้อดึงจูบฉันต่อ เขาลากริมฝีปากร้อนจัดลงไปตามลำคอ ไหล่ จนถึงเนินอก จูบเม้มตะกละตะกลาม มืออ้อมมาด้านหลังปลดตะขอบราเซียฉันแล้วโยนทิ้งอย่างไม่แยแส ก่อนส่งยอดอกชูชันเข้าปากตัวเองทันที เสียงดูดเม้มดังอย่างหื่นกระหาย ยอดอกอีกข้างก็ถูกมือบดคลึงอย่างไม่เว้นว่าง เล่นเอาฉันเสียวแปลบปลาบไปถึงทรวง ครางเสียงระริก หอบหายใจรวยรินใต้ร่างของเรซ
หลังนัวเนียกับหน้าอกฉันจนพอใจ เขาก็หยัดตัวขึ้นนั่ง แววตาคมกริบเหลือบมองร่างกึ่งเปลือยของฉันด้วยประกายตาเร่าร้อน ฉันกลืนน้ำลายอึก เหลือบมองกล้ามเนื้อท้องของเรซหัวใจสั่น เขาเซ็กซี่จนฉันอยากจะลุกพรวดเข้าไปเอาหน้าถูไถแต่เพราะเขาดันล้วงเอาเจ้าโลกออกมาในอึดใจเดียวทำให้ฉันสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั่นทิ้งทันที เหลือบมองความเป็นชายแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่านกำลังผงกหัวหงึกๆ อย่างหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกขัดแย้งในตัวเองทั้งรอคอยแต่ขณะเดียวกันก็ละอายต่อใจ เพราะสิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันคือการลักลอบมีเซ็กซ์ ฉันรู้ว่าไม่ควรมานอนอ้าขาให้เรซทำตามใจชอบ แต่จะให้เลิกล้มตอนนี้ฉันก็ตัดใจไม่ลงอีกนั่นแหละ และไม่แน่ว่าเรซก็คงไม่ปล่อยฉันไปด้วย
ความรู้สึกร้อนจัดที่จ่อชิดผิวเนื้อหวามทำให้ฉันได้สติ จ้องมองเอวแกร่งที่ค่อยดันตัวเข้ามาประชิดขณะส่งลำเนื้อใหญ่โตเข้ามาจนสุด ราวกับถูกความเสียวกระสันกลืนกิน ฉันอ้าปากพะงาบๆ ปล่อยเสียวหวิวไหวผ่านรูคอไม่หยุด ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปชาหนึบอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะสั่นระริกด้วยความสุขสมจากการกระแทกกระทั้นอันดุดัน