สัมผัสร้าย 4 เทียนสิ้นแสง (2)

2443 คำ
​ ​ “เทียน! ดื่มมากไปแล้ว” เสียงใครสักคนตะโกนขึ้นพร้อมกับขวดเหล้าในมือโดนแย่ง ฉันมองตาเขียวปัด ก่อนจะสบสายตาเข้ากับทิว หมอนั่นทำหน้าเอือมระอาใส่ฉันแวบสั้นๆ ก่อนเทเหล้าลงในแก้วตัวเอง เหอะ! ตลกชะมัด ตอนนี้ฉันอยู่ร้านเหล้า ชวนเพื่อนออกมาดื่มย้อมใจ แต่ยิ่งเมาความเจ็บปวดก็ยิ่งซึมลึกถึงกระดูกดำ พร่ำเพ้อถึงพี่แสงไม่หยุด รักกันอยู่ดีๆ แต่แล้วก็พังเพราะมือที่สาม... ไม่สิ จะเรียกมือที่สามก็ไม่ได้ เรซไม่ได้คิดอะไรเขาแค่นอนกับฉันเฉยๆ ว้อย! ทำไมชีวิตฉันถึงได้น่าอนาถแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิงสำส่อน นอนกับคนอื่นไปทั่วทั้งที่มีแฟนอยู่แล้ว ฮือ พี่แสง... เทียนผิดไปแล้ว พี่แสงกลับมาเถอะนะ ฉันไขว่คว้าหาเขาแล้วกอดยึดเอาไว้แน่น “พี่แสง” “เทียนจะกินขวดเหล้าไม่ได้” “หืม...” ฉันปรือตาเบลอๆ ขึ้นมอง อ้าวนี่มันขวดเหล้าหรอกเหรอ แล้วพี่แสงล่ะ... พี่แสงของฉันไปอยู่ที่ไหน “กลับบ้านนอนได้แล้วมั้ง” ใครพูดวะ ฉันช้อนตามองก็เห็นเลโอกำลังจ้องมาทางนี้ หมอนั่นทำหน้าเหนื่อยหน่ายแล้วหันไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวกลับ “เฮ้! เลโอฉันยังไม่พอเลยนะ” “พอได้แล้ว” “ได้! ใครจะกลับก็กลับไป แต่ฉันไม่กลับ” ทุกคนกำลังจะเดินออกจากโต๊ะหันขวับมามองพร้อมกัน ยัยเค้กหิ้วกระเป๋าฉันขึ้นและกำลังจะจับแขนฉันคล้องคอชะงักกึก ความเงียบงันน่าอึดอัดเกิดขึ้นชั่วขณะ เพื่อนๆ ต่างลอบส่งสายตาให้กันไปมาก่อนที่เสียงนุ่มนวลของคะนิ้งจะดังขึ้น “เทียนนี่ก็ดึกแล้ว วันนี้เรียนมาทั้งวันทุกคนเองก็เหนื่อยยังไงกลับก่อนนะ ไว้ว่างๆ ค่อยมากันใหม่” โดนพูดจาดีๆ ใส่ เป็นฉันอยากแข็งข้อแค่ไหนก็ไม่กล้าโวยวาย ยืนนิ่งน้ำตาซึมพูดอะไรไม่ออก ถูกคะนิ้งโอบหลังกึ่งปลอบกึ่งผลักเดินออกจากร้าน พวกผู้ชาย นิก ทิว และเลโอแยกกันไปที่รถ ส่วนเราสามคน ฉัน เค้ก และคะนิ้งอาศัยรถริกกี้กลับ ฉันไม่รู้ตัวสักนิดว่าริกกี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีก็ตอนที่คะนิ้งเรียกให้ขึ้นรถ ท้องถนนยามค่ำคืนเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วจนรู้สึกใจหาย ฉันเหม่อมองเงียบๆ บรรยากาศในรถคล้ายหยุดนิ่ง ไม่มีใครพูดอะไร ราวกับพร้อมใจกันไว้อาลัยให้กับความรักที่สิ้นสุดลงของฉัน ระยะทางจากร้านเหล้ามาถึงหอพักประมาณครึ่งชั่วโมง ความรู้สึกหนักหน่วงในอกทุเลาลง ฉันไม่ได้ฟูมฟายแต่ยังสัมผัสได้ถึงคราบน้ำตาที่แห้งกรังอยู่บนแก้ม คะนิ้งกับเค้กลงมาส่งฉันที่หน้าประตูหอพักโดยที่ริกกี้จอดรถรออยู่ด้านหลัง “แน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวไหว” คะนิ้งจับแขนฉันมองด้วยสายตาห่วงใย ฉันพยักหน้าฝืนยิ้มทั้งๆ ที่ในหัวปวดหนึบ “พวกเธอกลับไปเถอะ ขอบใจมากที่มาส่ง” คะนิ้งกับเค้กมองหน้ากันอย่างลังเล ยึกยักอยู่พักหนึ่งก็ดึงกันกลับไปขึ้นรถ ฉันหมุนตัวเดินเข้าประตูหอพัก ความเงียบงันราวใบมีดกรีดลึกในหัวใจ พอเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก็ต้องแปลกใจที่เห็นไฟเปิดสว่างเอาไว้เกือบทุกหลอด หัวใจฉันกระตุกวูบ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจจนว้าวุ่น สาวเท้าเร็วๆ มาเปิดตู้เสื้อผ้า “....” ตู้เสื้อผ้าแหว่งไปเกือบครึ่ง เสื้อผ้าพี่แสงไม่อยู่แล้ว... ข้าวของอย่างอื่นก็ด้วย ทุกอย่างที่เป็นของพี่แสงหายจากห้องไปหมดไม่เว้นแม้แต่แปรงสีฟัน ในอกฉันปวดหนึบ เข่าอ่อนทรุดฮวบลงที่พื้นอย่างอ่อนแรง ไหล่เล็กบางสะท้านไหว รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลออกมา ‘พี่จะคืนห้อง แต่ถ้าเทียนอยากอยู่ต่อก็ทำเรื่องขอเช่าใหม่เอง พี่คงไม่กลับมาที่นี่อีก ลาก่อน แสง.’ ฉันมองข้อความในกระดาษโน้ตที่แปะไว้หน้าตู้เย็น ดึงออกมาขยำทิ้งลงถังขยะ น้ำตาเหือดแห้งไปแล้วกลับไหลออกมาอีก หัวใจชอกช้ำเหมือนโดนอัดด้วยหมัดนับครั้งไม่ถ้วนจนน่วมไปทั้งดวง ฉันไม่อยากโกรธพี่แสงที่ทิ้งฉันไป แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้ บางครั้งก็เจ็บใจ บางครั้งก็เยาะเย้ยตัวเองที่โดนทิ้ง อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคนบ้า เช่าห้องต่องั้นเหรอ... ใครจะไปทนอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยความทรงจำเก่าๆ ได้ ฉันลากกระเป๋าเดินทางออกมากางไว้กลางห้องด้วยความรู้สึกที่เด็ดเดี่ยว ยัดเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กับของใช้ที่จำเป็นจนล้นกระเป๋าใบโต ออกแรงรูดซิปปิดกระเป๋าจนเหนื่อยกว่าจะอัดทุกอย่างลงไปได้ ลากกระเป๋าออกจากหอพักตอนตีสี่ ฝากกุญแจกับคีย์การ์ดไว้กับยาม โบกแท็กซี่พุ่งตรงไปหาน้องชาย ตอนนั้นฉันยอมรับว่าไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากหนีจากความรู้สึกแย่ที่สุมอยู่ในอก แต่ทันทีที่ถึงห้องไอ้ธูปฉันกลับพบว่าตัดสินใจผิดมหันต์! หอพักไอ้ธูปเป็นห้องแถวสองชั้น ระเบียงหน้าห้องชั้นสองถูกใช้เป็นราวตากผ้า มีทั้งผ้าอ้อมเด็กยันชุดชั้นในสีแดงแปร๊ดของผู้หญิงห้อยอีนุงตุงนังดูยุ่งเหยิงรกสายตาอย่างบอกไม่ถูก คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานจนถึงนักเรียนนักศึกษาแต่ส่วนมากจะเป็นเด็กจากวิทยาลัยเทคนิคการอาชีพ ห้องไอ้ธูปอยู่ชั้นสอง ฉันหิ้วกระเป๋าขึ้นบันไดอย่างทุลักทุเล ที่นี่ไม่ต้องใช้คีย์การ์ด ระบบรักษาความปลอดภัยต่ำเตี้ยติดดิน ใครก็สามารถเข้าออกได้ กว่าจะมายืนอยู่หน้าประตูห้องได้ก็เล่นเอาหอบ ฉันยืนพักหายใจมองชุดนักศึกษาหญิงที่ตากอยู่หน้าระเบียงห้องไอ้ธูปแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่สงสัยว่าอาจจะเป็นของห้องข้างๆ เคาะประตูเรียกน้องชายอยู่นานสองนาน ประตูถึงเปิดพรวดออก “โอ๊ยอะไรเนี่ย! ใครวะ เคาะอยู่ได้คนจะนอน” ลมหายใจร้อนๆ เหวี่ยงใส่หน้าฉันทันที เป็นเด็กผู้หญิงที่ท่าทางอ่อนกว่าสองถึงสามปีสวมเสื้อกล้ามเบสบอลกับกางเกงขาสั้นโชว์แก้มก้นยืนหน้าบูดบึ้ง ฉันอึ้งไปชั่วขณะและดูเหมือนอีกฝ่ายก็ประหลาดใจเช่นเดียวกัน เด็กนั่นปรายสายตาที่ยังเปิดไม่เต็มที่มองฉันชัดๆ รอบหนึ่งแล้วสีหน้านั่นก็ร้อนระอุยิ่งกว่าเดิมเหมือนฉันไปทำอะไรให้ “เธอเป็นใคร แล้วนั่นกระเป๋าอะไร” ฉันยังไม่หายมึนจากเหล้าที่ดื่มเข้าไป เหลือบมองหมายเลขห้องบนประตูเผื่อว่าจะดูผิด 203 ก็ถูกนี่นา... “นี่ห้องไอ้ธูปใช่มั้ย?” “ทำไม! เธอมีอะไรกับผัวฉัน” “ผัว!?” ฉันเหมือนโดนอะไรหนักๆ ทุบเข้าที่หัว มองยัยเด็กตรงหน้าด้วยสายตาประเมินปราดหนึ่ง ท่าทางยังไม่ถึงสิบแปดด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่น่าตกใจอะไรหรอก “ธูปอยู่ไหน” ฉันชะเง้อคอ จะเข้าไปข้างในแต่ก็ถูกยัยเด็กนั่นผลักไหล่ออกอย่างรุนแรง “เข้าไปไม่ได้ หน้าด้าน! มาหาผัวคนอื่นถึงห้องแล้วยังจะเข้าไปทั้งๆ ที่เมียเค้ายืนหัวโด่อยู่เนี่ยนะ อยากโดนตบใช่มั้ยอีป้า!” คำว่าป้าทำเส้นอารมณ์ฉันขาดผึง อยากผลักนังเด็กนี่ใส่ผนังแล้วบีบคอให้น้ำลายฟูมปากจริงๆ “ได้! งั้นมาดวลกันสักตั้ง ดูว่าใครกระดูกใหญ่กว่ากัน” ฉันทำท่าถลกแขนเสื้อทั้งที่ใส่เสื้อแขนกุด ก้าวเข้าไปหานังเด็กนั่นพร้อมเงื้อมือขึ้นเต็มที่ ยัยนั่นทำหน้าเลิ่กลั่กอย่างไม่คิดว่าฉันจะเอาจริงขนาดนี้ รีบง้างมือสู้ แต่ยังไม่ทันจะเปิดศึกเสียงตะโกนแหบห้าวก็ดังขึ้น “เฮ้ยทำอะไรกันน่ะ!” ร่างสูงสาวเท้าเร็วๆ มาจากทางบันได ใบหน้าเรียวยาวรับกับปลายคางกลมกลึงรูปไข่ จมูกแหลมตั้งโด่ง ดวงตาเรียวโตสองคิ้วพาดเป็นเส้นตรงดกดำหางตวัดเฉียงลงเล็กน้อย ผมทรงสกินเฮดแบบที่พบเห็นได้ทั่วไปเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกลิ่นเหล้ากับบุหรี่อบอวล หืมมมไอ้ธูป! ทำไมหึ่งแบบนี้วะ อาบน้ำบ้างมั้ยเนี่ย ฉันเอามือปัดลมที่จมูกออก จ้องน้องชายในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนสามส่วนอย่างรังเกียจ “เจ้! มาได้ไง แล้วนี่เล่นอะไรกัน” “ธูปยัยป้านี่เป็นใคร” นังเด็กนั่นส่งเสียงแว้ดขึ้นมาอย่างไม่พอใจที่เห็นไอ้ธูปทำท่าสนิทสนมกับฉัน “ก้อยนี่พี่สาวเค้าเอง เจ้เทียนไง” “พะพี่ตัวเองเหรอ” ยัยเด็กนั่นอ้าปากค้าง หน้าถึงกับซีดเป็นไก่ต้ม “อืม” ไอ้ธูปโต้ตอบแฟนอย่างไม่ใส่ใจก่อนหันมามองสำรวจฉัน กระเป๋าเดินทางใบโตที่วางอยู่ข้างๆ ทำให้สีหน้าน้องชายออกจะผวาสักเล็กน้อย “ที่เจ้มานี่มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” “อืม ฉันจะย้ายมาอยู่กับแก ...สักพัก” ไอ้ธูปเงียบงันไปแวบหนึ่ง สมองมันเหมือนไม่เข้าใจว่าฉันพูดอะไร ถามย้ำอีกรอบ “เจ้ว่าไงนะ” “ฉันจะอยู่ที่นี่ชัดมั้ย!” ฉันมองผ่านช่องประตูเข้าไปในห้องเช่าแคบๆ ของไอ้ธูปอย่างไม่แน่ใจ เป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ กั้นแค่ห้องน้ำไม่มีครัว ไม่มีระเบียงด้านหลัง พอบวกข้าวของเครื่องใช้เข้าไปแทบจะไม่มีที่เดิน ไอ้ธูปกับแฟนทำหน้าตะขิดตะขวงใจออกมาพร้อมกันแบบไม่ได้นัดหมาย “เจ้ล้อเล่นเหรอ แล้วแฟนเจ้ล่ะ” “เลิกกันแล้ว” ฉันพูดด้วยสีหน้าขื่นขม ไอ้ธูปชะงัก มองฉันเหมือนมีหลายอย่างที่อยากจะพูดแต่เพราะกะทันหันเกินไปทำให้มันได้แค่ทักท้วงด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน “แล้ว... แล้วเจ้จะอยู่ยังไง ห้องก็เล็กแค่นี้” “ฉันอยู่ได้ หลบ” ฉันจับกระเป๋าจะลากเข้าห้องแต่แฟนไอ้ธูปกลับไม่ยอมหลีกทาง เอ่ยเสียงดังอย่างไม่พอใจ “ห้องนี้มันเล็กเกินไปสำหรับสามคนนะ” “งั้นเธอก็ออกไป” ฉันไล่แฟนไอ้ธูปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่ชอบหน้าตั้งแต่แรกเห็นแล้ว อีกอย่างห้องนี้มันห้องน้องชายฉัน เด็กนี่มีสิทธิ์อะไรมาออกความเห็น “เจ้ๆ ใจเย็นๆ” “ไอ้ธูป!” ฉันขึ้นเสียงใส่น้องชาย ธูปมองฉันกับแฟนสาวสลับกันไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก มันพยายามชี้มือชี้ไม้ให้ฉันดูว่าห้องทั้งเล็กทั้งแออัดแล้วยังยกข้อเสียต่างๆ นานาของห้องเช่าที่นี่มาพูด ดูมันพยายามจะไล่ฉันไปให้ได้แค่ไม่พูดออกมาตรงๆ เท่านั้น ฉันเป็นพี่ทำไมจะดูไม่ออก “นี่แกจะไม่ให้ฉันอยู่ที่นี่เหรอ ฉันไม่มีที่ไปแล้วนะ” ฉันพูดอย่างอัดอั้น ขอบรื้นแดง “เปล่าเจ้... แต่เจ้ดูสิห้องมันเล็กมาก ที่นี่ก็ไกลจากมอเจ้ด้วย เจ้บอกจะอยู่ไม่นานทำไมเจ้ไม่ไปค้างกับเพื่อนหรือคนรู้จักก่อน หอพักแถวมอเจ้ไม่นานก็น่าจะหาได้” “ใช่ แค่ก้อยกับธูปสองคนของก็เต็มห้องแล้ว เจ้มาอยู่อีกไม่ต้องขี่คอกันนอนเหรอ” นังเด็กนั่นสำทับ หน้าบอกบุญไม่รับพอๆ กับไอ้ธูป “ธูป” ฉันไม่สนใจเสียงคนนอก หันมาจ้องหน้าน้องชายเขม็ง “ให้แฟนแกย้ายออก” “ย้ายออกแล้วจะไปอยู่ที่ไหน” ธูปทำหน้ายุ่งยากกลับมา มันมองข้ามหัวฉันไปจ้องแฟนตัวเองอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ห้องพักของแฟนแกไง ไม่มีหรือไง” “คืนห้องไปแล้ว” เป็นยัยเด็กก้อยตอบ ฉันตวัดสายตาเขียวปัดไปทางยัยนั่น อยากจะด่าว่าทำอะไรไม่มีหัวคิด ย้ายมาอยู่กับผู้ชายหน้าไม่อาย แต่พูดไม่ออก เพราะมันเหมือนจะเข้าตัวเองยังไงก็ไม่รู้ ฉันเอามือกุมขมับ มองหน้าไอ้ธูปที ยัยก้อยที และก็พื้นที่แคบๆ ภายในห้องเช่าที อย่าว่าแต่สามคนอยู่แล้วต้องขี่คอกันนอนเลย แค่ไอ้ธูปคนเดียวก็คับห้องแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวของเครื่องใช้อีก “แล้วมีห้องว่างมั้ย” ฉันถามอย่างจำใจ ระหว่างนั้นก็คิดว่าถ้าจะหาห้องพักใหม่ทำไมไม่กลับไปหาแถวมอ แต่ก็เพราะรู้อีกนั่นแหละว่าเวลากระชั้นชิดแบบนี้ไม่มีที่ไหนว่างให้ย้ายเข้าได้ทันทีหรอก ถึงมีก็คงสู้ราคาไม่ไหว แต่ห้องแถวที่นี่ราคาถูก จ่ายมัดจำก็ไม่เท่าไหร่ ธูปกับก้อยมองหน้ากันไปมา “เดี๋ยวก้อยโทรถามเถ้าแก่ให้” ยัยเด็กนั่นรีบวิ่งเข้าไปหาโทรศัพท์ในห้อง แล้วเดินออกมากดโทรหาเจ้าของหออยู่ตรงหน้าฉัน “ฮะโหล เถ้าแก่เหรอคะ ค่ะ ไม่ใช่ค่ะไม่ได้จะโทรมาเลื่อนจ่ายค่าห้อง คือหนูแค่อยากถามว่ามีห้องว่างมั้ย พี่สาวหนูกำลังหาห้องพักอยู่น่ะ” ก้อยหน้าเจื่อนไปพักหนึ่ง รีบร้อนปฏิเสธปลายสายก่อนจะถามเข้าประเด็น “...ไม่มีเหรอคะ ไม่มีใครจะย้ายออกเลยเหรอ แล้วทำไมเถ้าแก่ไม่ไล่คนที่ค้างค่าเช่านานๆ ออกไปเลยล่ะ แฮะๆ ขอโทษค่ะ แค่นี้นะคะ” ยัยก้อยวางสาย มองฉันด้วยสายตาสิ้นหวัง “เถ้าแก่บอกไม่มีน่ะ” ไม่ต้องให้เด็กนี่ยืนยันฉันก็พอรู้คำตอบจากการฟังที่เธอคุยโทรศัพท์กับเจ้าของหอแล้ว “ผมว่าเจ้หาห้องเช่าที่อื่นเถอะ เดี๋ยวผมกับก้อยช่วยหาให้ ระหว่างนี้เจ้ก็ไปอยู่กับเพื่อนกัน” “.....” นี่แกจะไล่ฉันไปให้ได้เลยใช่มั้ยไอ้น้องเวร แล้วที่บอกว่าจะช่วยหาห้องให้น่ะเชื่อได้แค่ไหน ฉันไม่โง่ขนาดฝากอนาคตไว้กับเด็กเมื่อวานซืนหรอกนะ ฉันครุ่นคิดครู่อยู่พักหนึ่งแล้วแววตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที เชิดหน้าขึ้นพูดกับไอ้น้องชายเฮงซวย “ไม่ต้อง ฉันนึกออกแล้วว่าจะไปที่ไหน” “...???” ​
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม