@ซุปเปอร์มาร์เกต
เรซจูงรถเข็นเดินข้างฉัน สายตาเขามองตามของที่ฉันหยิบลงรถเข็น บางทีก็มองเงียบๆ บางทีก็ตั้งคำถามเช่น ใช้ด้วยเหรอ หรือ ที่บ้านหมดแล้วเหรออยู่ตลอดเวลา
“ขอซื้อของใช้ในบ้านด้วยได้มั้ย” ฉันลองถามดูหลังจากเลือกของสดเสร็จแล้ว
“ไปสิ อยากได้อะไรล่ะ”
“ก็หลายอย่าง”
ฉันว่าพลางเดินนำเขามาที่แผนกชงดื่ม จำได้ว่ากาแฟในกระปุกของเรซใกล้หมดแล้ว ฉันหยิบกล่องกาแฟสดแบบพรีเมียมลงรถเข็นอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็มาที่ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน เรซจูงรถเข็นตามมาเงียบๆ ฉันเอาของสองอย่างมาเทียบราคากับปริมาณอย่างจริงจัง แล้วเลือกอันที่คุ้มค่ากว่าลงรถเข็นโดยมีสายตาเรซจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ฉันสบตาเขาเป็นบางครั้ง แล้วผิวแก้มก็จะร้อนวูบทุกที รีบหันกลับมาเลือกของต่ออย่างเก้ๆ กังๆ
“อ๊ะ แป๊บนึงนะ เดี๋ยวเรซไปจ่ายตังค์ก่อน เทียนลืมของอีกอย่าง”
ฉันเรียกชื่อเขาและแทนชื่อตัวเองอย่างสนิทสนม แล้วเดินออกมาทันที เรซทำท่าเหมือนจะเรียกแต่เรียกไม่ทัน ที่จริงฉันไม่ได้ลืม แค่อายที่ต้องหยิบมันต่อหน้าเรซ ฉันวนหาตะกร้า หยิบผ้าอนามัยใส่ไปหลายห่อ เข้าใจว่าเรซน่าจะกำลังจ่ายตังค์อยู่ที่เคาน์เตอร์แล้ว แต่เขากลับรั้งอยู่ที่เดิมแค่แอบๆ รถเข็นไม่ให้ขวางทางเดินเท่านั้น ใบหน้าฉันร้อนวูบเมื่อถูกเขามองเห็น
“เสร็จแล้วเหรอ”
“อื้อ ทำไมไม่ไปจ่ายตังค์”
“ก็รอ…” สายตาคมกริบเหลือบมองลงที่ตะกร้า ถามเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ “อยากได้อะไรอีกหรือเปล่า”
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ กำหูตะกร้าแน่น มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร แต่ทำไมพอถูกสายตาคมๆ ของเรซจ้องฉันก็ร้อนรุ่มจนเกือบจะหลอมละลายลงตรงนั้น
“เอามาใส่รถเข็นสิ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแยกจ่าย”
“แยกทำไม จ่ายทีเดียวจะได้เสร็จๆ ”
“แต่… เรซ”
ยังไม่ทันจะแย้งหมอนั่นก็แย่งตะกร้าในมือฉันไปวางในรถเข็นหน้าตาเฉย ฉันเม้มปาก อยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะพูดไม่ออก ช่วงเวลาที่อยู่ซุปเปอร์มาร์เกตฉันรู้สึกได้ว่าแววตาเย็นชาของเรซหายไป ระยะห่างของเราหดเล็กลง เขาทำให้ฉันไม่รู้สึกว่าเป็นคนอื่น ส่วนฉันเป็นอะไรสำหรับเรซ เรื่องนั้นฉันก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
กว่าจะกลับมาถึงเซฟเฮาส์ก็มืดพอดี
“เอ๊ะ เรซไฟไม่ติด”
ฉันเปิดประตูเข้ามาแล้วกดสวิตช์ไฟสองสามครั้งแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันไปตะโกนบอกเรซที่เพิ่งเดินตามหลังมา หิ้วของเต็มมือ
“หืม” ดวงตาคมกริบเปล่งประกายประหลาดใจท่ามกลางความสลัว เรซวางของในมือลงแล้วลองเปิดปิดสวิตช์ไฟดู แต่ไม่ติด
“เกิดอะไรขึ้น ตอนเที่ยงยังใช้ได้อยู่เลย” ฉันถาม
“สงสัยไฟดับ”
เรซพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ล้วงโทรศัพท์ออกมาเปิดไฟฉาย ส่องนำทางเข้าไปข้างใน
“อีกนานมั้ยกว่าไฟจะมา”
“ไม่แน่ใจ”
“แล้วข้าวเย็นเอาไง จุดเทียนทำเหรอ”
“ไม่ต้อง เก็บของแล้วออกไปกินข้างนอก”
หืม… ฉันหันขวับนึกว่าหูฝาด แสงสลัวรางจากไฟฉายสะท้อนใบหน้าจริงจังของคนชวน ไม่มีแววว่าจะพูดเล่นสักนิด
“กินข้างนอก? แต่เราเพิ่งกลับมา…”
“หิวหรือเปล่าล่ะ” เรซขยับเข้ามาใกล้ ฉันยืนหลังชนกับโต๊ะรู้สึกเกร็งขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล
“ก็หิวแหละ แต่ไม่เหนื่อยเหรอ ขับรถไปๆ มาๆ หลายรอบ”
“เหนื่อยเหรอ” เสียงทุ้มถามกลับ ฉันผ่อนหายใจยาว
“ฉันน่ะไม่เป็นไร แต่นายเป็นคนขับ”
“แค่นี้ไม่ระคายผิวหรอกน่า ถ้าหิวก็จะพาไป จะไปหรือเปล่า”
“จริงเหรอ”
“อืม”
“งั้นไปร้านไหน”
“อยากไปไหนเลือกมา”
“จริงอ่ะ!? ขอเป็นในเมืองได้มั้ย”
“….”
เรซเงียบ ฉันเม้มปากทันที ข่มกลั้นอารมณ์ตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมากะทันหันเอาไว้ รู้ว่าเมื่อกี้ลืมตัวไปหน่อย คงระริกระรี้มากไปสินะ
“เอาสิ ตามใจ อยากไปก็จะพาไป”
“ถามจริง!”
“หรือจะไม่ไป”
“ไปๆ ขอเปลี่ยนชุดก่อนนะ”
“ระวัง!”
ปึ้ก!
“โอ๊ย”
เสียงเรซร้องเตือนแต่ไม่ทันแล้วฉันรีบพุ่งออกไปอย่างเร็ว ตื่นเต้นจนลืมว่ามันมืด หัวชนกรอบประตูเต็มรักจนดีดกลับมาด้านหลัง มึนตึ้บไปหมด เหมือนจะเห็นดาววิ้งๆ อยู่บนหัวด้วย สักพักก็เหมือนจะมีอะไรอุ่นๆ ไหลออกมา หัวใจฉันกระตุกไหว อย่าบอกนะว่า…
“เฮ้!?” เรซจับประคองต้นแขนทั้งสองข้างของฉันก่อนใช้ไฟฉายส่อง “เธอเลือดออก”
“เจ็บ” ฉันเอามือแตะรอยเหนียวร้อนที่หน้าผาก เอียงหลบมือเรซที่เอื้อมมาหา ไม่ยอมให้เขาจับตามใจชอบ แต่เรซฟังที่ไหน หมอนั่นใช้มือเกลี่ยเส้นผมฉันออกเบาๆ แววตาอ่อนโยนสะท้อนกับแสงไฟฉายจากโทรศัพท์ทำให้ฉันหมดแรงต้านทาน แน่นิ่งราวกับต้องมนตร์สะกด ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง
“แผลไม่ใหญ่เท่าไหร่ เจ็บมากเหรอ”
ฉันส่ายหน้า แค่ปวดๆ มึนๆ ไม่ถึงกับลุกไม่ขึ้น
“ไม่เป็นอะไร” ฉันผละออกห่างอุ้งมือหนา จับๆ คลำๆ แผลตัวเองอย่างนึกโมโหที่เซ่อซ่าไม่ดูตาม้าตาเรือ
“งั้นก็ไปกินบะหมี่แถวนี้แล้วกัน” เรซพูดขึ้น ดวงตาคมกริบก้มมองหน้าผากฉันอย่างพิจารณา “เดี๋ยวแวะซื้อพลาสเตอร์ติดแผลด้วย”
แววตาฉันไหววูบอย่างผิดหวังและก็แปลกใจในเวลาใกล้เคียงกัน ตอนเรซตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะไปกินบะหมี่ฉันก็ห่อเหี่ยวทันที อุตส่าห์ดีใจนึกว่าจะได้ไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย แต่ประโยคพูดในตอนท้ายของเรซก็ทำให้หัวใจฉันหยุดเต้นไปชั่วขณะ ชีวิตนี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะรู้สึกเป็นปลื้มที่มีผู้ชายบอกว่าจะซื้อพลาสเตอร์ให้ขนาดนี้
ร้านบะหมี่ พลาสเตอร์ เป็นอะไรที่ธรรมดามาก แม้ว่าจะทำให้ใจเต้นเป็นบางครั้งตอนที่นึกถึงเวลาเรซติดพลาสเตอร์ให้ แต่ในใจก็ยังแอบเสียดายที่ไม่ได้ไปร้านในเมือง ฉันคีบบะหมี่ใส่ปากอย่างเนือยๆ เรซก็ก้มหน้าก้มตากินไม่พูดอะไรเหมือนเช่นเคย ต่อให้วันนี้เขาจะพูดกับฉันเยอะเป็นพิเศษ แต่เทียบกับคนธรรมดาแล้วก็ยังถือว่าพูดน้อยไปอยู่ดี
ความจริงแผลแค่นี้มันไม่ได้หนักหนาอะไรเลยสักนิด หรือว่าจริงๆ แล้วเรซไม่ได้อยากจะพาฉันไป เลยใช้เรื่องแผลฉันเป็นข้ออ้าง เหอะ ต้องใช่แน่ๆ ฉันวางตะเกียบในมือลงอย่างไม่สบอารมณ์ คว้าแก้วน้ำเย็นข้างๆ ขึ้นดื่ม
“อิ่มแล้วเหรอ” หมอนั่นเหลือบตาขึ้นมองฉันที่เพิ่งกินไปได้แค่ครึ่งชาม
“อืม”
“ไม่อร่อย?”
“เปล่า”
“งั้นก็กินให้หมด”
“ไม่กินอิ่มแล้ว” ฉันพยายามกดเสียงให้อยู่ในโทนปกติทั้งที่รู้สึกฉุนกับความเผด็จการของเรซ ฉันยืนกรานหนักแน่น เรซไม่พูดอะไรอีก เขาแค่มองหน้าฉันแล้วก้มลงจัดการกับถ้วยบะหมี่ของตัวเองต่อเงียบๆ
หลังกลับจากกินบะหมี่ ไฟที่เซฟเฮาส์ก็ยังไม่มา แต่ยังดีที่น้ำไหล ฉันจุดเทียนเล่มใหญ่ที่แวะซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อไว้ตรงมุมต่างๆ ของบ้าน แสงสีเหลืองวูบไหวเป็นประกายเรืองรองในความมืด ให้ความรู้สึกเงียบสงบเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งยังไงยังงั้น ฉันวางเทียนเล่มสุดท้ายไว้บนเชิงบันได ก่อนกดเปิดไฟฉายในโทรศัพท์ส่องนำทางเข้ามาในห้องนอน หยิบผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำ
อากาศข้างบนค่อนข้างร้อน ไม่ถ่ายเท ต่อให้เปิดหน้าต่างก็ไม่ช่วยให้เย็นขึ้น ฉันเปลี่ยนชุดนอนเสร็จก็เดินเท้าเปล่าลงมาข้างล่าง ได้กลิ่นบุหรี่โชยมาจากทางประตูระเบียงที่เปิดอ้า
“สูบบุหรี่อีกแล้วเหรอ”
ร่างสูงที่กำลังยืนเท้าแขนอยู่ตรงราวระเบียงขยับยืดหลังขึ้นตรง แสงเทียนสลัวสะท้อนให้เห็นเสี้ยวหน้าคมคายด้านข้างที่หันกลับมามอง เรซสบตาฉันแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปยืนหลังงอแบบเดิม
“ข้างบนร้อนมั้ย” เขาถาม
“ร้อนสิ” ฉันทิ้งตัวลงที่ม้านั่ง มองข้ามกลิ่นฉุนของบุหรี่ รวบผมที่ปล่อยสยายขึ้นแล้วดึงหนังยางสีดำที่ข้อมือออกมามัดเกล้าจนตึงเปิดช่วงคอกับไหล่เพื่อระบายความร้อน เรซหันมามองตอนไหนไม่รู้ ฉันรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกเขาจ้องตาเป็นมัน แก้มฉันร้อนวาบ อยู่ดีๆ ก็เกิดอาการเงอะงะขึ้นมากะทันหัน
“ที่นี่... เย็นกว่าข้างบน” ฉันเบือนหน้าหลบสายตาของเรซ แหงนมองท้องฟ้าที่ดาษดื่นไปด้วยกลุ่มดาว “คืนนี้ไฟจะมาหรือเปล่า พัดลมก็เปิดไม่ได้ หรือว่าต้องนอนกางเต็นท์ข้างนอก”
ฉันแกล้งบ่นไปเรื่อยเพื่อทำลายความเงียบและผ่อนคลายบรรยากาศไม่ให้อึดอัดจนเกินไป พอได้ยินแบบนั้นเรซก็หันหน้ากลับไป
“น่าจะมาจากเครื่องซักผ้า ไว้พรุ่งนี้ค่อยเรียกคนมาดู” เรซพูดเสียงเรียบๆ
“ที่ไฟดับเป็นเพราะเครื่องซักผ้าเหรอ”
“คิดว่า”
“อ้าว... แล้วแบบนี้ก็ต้องทนร้อนจนถึงเช้าเลยน่ะสิ” ฉันมองท่าทางใจเย็นของเรซอย่างไม่สบอารมณ์ ในเมื่อเขารู้แล้วว่าเกิดจากอะไรทำไมไม่เรียกช่างมาตอนนี้เลยล่ะ ถึงแม้ว่าจะดึกแล้วก็เถอะ แต่ถ้าเป็นเด็กที่อู่เขาน่าจะเรียกใช้งานได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่เหรอ
เรซมองสบสายตาร้อนใจของฉัน แววตาเขาเรียบนิ่ง ใบหน้าเย็นชานิดๆ ราวกับรู้ว่าฉันกำลังหงุดหงิดเรื่องอะไร
“แค่นี้ก็ทนไม่ได้เหรอ”
“เปล่าหรอก ก็แค่บ่นๆ ไปงั้นแหละ ไม่ต้องสนใจก็ได้”
ฉันแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ทั้งที่ในอกกำลังปั่นป่วน แอบคิดว่าถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน เขาจะปล่อยตามยถากรรมแบบนี้หรือเปล่า
“ง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะ”
“ไหนว่าร้อน”
“ทนได้” เสียงฉันค่อนข้างแข็ง พูดเสร็จก็ลุกออกมา ไม่มองหน้าเรซ