เรซไม่ได้พาฉันไปซุปเปอร์มาร์เกตใกล้ๆ แต่พามาห้างดังใจกลางกรุงโดยไม่บอกก่อนสักคำ ไม่งั้นฉันคงแต่งตัวดีกว่านี้ แต่เอาเถอะ ลากรองเท้าแตะเข้าห้างคงไม่ทำให้ใครตายหรอกมั้ง
“นายจะซื้ออะไรเหรอ”
“กระเป๋า”
“หือ”
ฉันเลิกคิ้ว รีบเปิดประตูตามเรซลงจากรถ
“ถ้างั้นระหว่างที่นายไปดูกระเป๋า ฉันจะไปซุปเปอร์นะ จะได้ประหยัดเวลา”
“ไม่ต้อง ไปพร้อมกันนี่แหละ” เรซเดินอ้อมมากุมมือฉันให้เดินตามโดยไม่เปิดโอกาสให้ฉันแยกตัว
ความร้อนบางเบาที่ข้อมือทำหัวใจฉันอุ่นวาบ มองแผ่นอกกว้างอย่างรู้สึกสับสน ท่าทางของเราสองคนตอนนี้เหมือนกำลังคบกันจริงๆ หรือว่าเรซเริ่มมีใจให้ฉันบ้างแล้ว
“เอ๊ะ”
ฉันชะงัก มัวแต่ใจลอยจนไม่ทันสังเกตเส้นทาง รู้ตัวอีกทีก็หยุดอยู่หน้าร้านกระเป๋าแบรนด์เนมแล้ว ขาทั้งสองข้างของฉันหยุดนิ่งอัตโนมัติ ยื้อข้อมือที่ถูกเรซจับไว้
“กระเป๋าที่นายจะซื้อคือชาแนลเหรอ”
“อืม” เรซตอบสีหน้าราบเรียบ
ฉันชะงัก หรือว่าเขาจะซื้อให้ฉัน? ฉันเกือบหลุดยิ้มดีใจออกมาแล้วเมื่อความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวสมอง แต่อีกใจก็คิดว่าคงไม่ใช่ เรซจะซื้อกระเป๋าให้ฉันทำไม มันไม่มากไปหน่อยเหรอ เอ๊ะ...หรือเขาจะรู้สึกผิดเรื่องกระเป๋าใบนั้น? เลยอยากชดเชยให้ฉัน ขนาดเครื่องซักผ้ายังซื้อได้เลย เดี๋ยวสิ จะเป็นไปได้ยังไง เลิกเข้าข้างตัวเองได้แล้วเทียน
ถึงงั้นความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ ที่ผุดขึ้นในใจก็ยากจะกำจัดทิ้ง ฉันมองเขาด้วยสายตาตื่นเต้น กระเป๋าในร้านต่อให้ไม่ได้ครอบครองแค่ได้มองก็สดชื่นแล้ว
“หืม ได้กลิ่นอะไรตุๆ หรือเปล่า”
เสียงไม่พึงประสงค์ดังขึ้น พอชำเลืองมองก็ปะทะสายตาเข้ากับคนสามคนที่กำลังเดินเข้ามา หัวใจฉันกระตุกวูบ
พี่แสง… พะแพง และผู้หญิงคนใหม่ของพี่แสง น้ำชา!
ทันทีที่เห็นคนทั้งสามลมหายใจฉันก็เหมือนถูกขโมยไป มันทั้งอึดอัด ทั้งหายใจไม่ออก แต่คนที่พูดจากระทบกระแทกฉันคือพะแพง ยัยนั่นปรายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำตัวเป็นเจ้ากรรมนายเวรราวีฉันไม่เลิก
“ถึงว่ากลิ่นสาบๆ ที่แท้ก็ของเก่าเน่าเฟะ!”
“….”
“พอไม่มีพี่ชายฉันให้เกาะ…” สายตายัยนั่นตวัดมองเรซที่ยืนข้างๆ ฉันแล้วยิ้มเยาะ “…สภาพเธอก็ไม่ต่างจากพวกราคาถูกข้างถนน”
“มันจะมากไปแล้วนะพะแพง” ฉันแสบร้อนไปทั้งหน้า
“หึ น้อยไปสิไม่ว่า”
“แพงไปได้แล้ว” เสียงพี่แสงเรียก พะแพงถึงยอมไป
“นั่นแฟนเก่าพี่แสงใช่มั้ยคะ” ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ พี่แสงเอ่ยขึ้นระหว่างเดินเข้าไปในร้าน หันกลับมามองด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น ยัยน้ำชา ฉันจำได้ ตัวจริงดูตัวเล็กกว่าในรูป แถมเตี้ยกว่าที่คิด รูปร่างหน้าตาสู้ฉันไม่ได้แต่กลับรู้สึกมีภาษีกว่า แพงกว่า และอยู่สูงกว่าของราคาถูกอย่างฉัน
“อย่าเรียกแฟนเล้ย ก็แค่ของแก้ขัด เนอะพี่แสง” พะแพงยังทำปากยื่นไม่หยุด หันไปกระเซ้าพี่แสง
ฉันแทบจะพุ่งเข้าไปข่วนหน้ายัยนั่นแต่เรซรั้งข้อมือเอาไว้อย่างรู้ทัน พี่แสงปรายตามาทางฉันแวบหนึ่งก่อนหันกลับไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า เหมือนฉันไม่มีค่าพอให้เขาพูดถึง
ความรู้สึกปวดหนึบแผดซ่านไปทั้งใจ
“ไปเถอะ” ระหว่างที่ฉันกำลังรู้สึกเหมือนโดนคำพูดพะแพงและสายตาพี่แสงฉีกเป็นชิ้นๆ คนจิตใจเย็นชาก็กระตุกข้อมือเตือนให้เข้าไปในร้านเดียวกันราวกับไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
“นายไม่เห็นเหรอว่าพวกนั้นพูดกับฉันยังไง แล้วยังจะให้ฉันเข้าไปเพื่ออะไร”
“กลัวเหรอ” เรซถามกลับมาคำเดียวทำเอาฉันพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
“ไม่… ไม่ใช่ ฉันกลัวว่าจะเผลอพลั้งมือตบคนมากกว่า”
“งั้นฉันก็จะจับมือเธอไว้ไม่ปล่อย”
เรซกุมมือฉันเอาไว้แน่น นิ้วทั้งสิบสอดประสานแนบชิด ฉันมองสบตาเรซอย่างอึ้งๆ ก่อนหลุบมองมือที่โดนประกบ หัวใจสั่นระรัว สมองโล่งกะทันหัน ลืมไปแล้วว่ากำลังโมโหเรื่องอะไรอยู่
เรซพาฉันเข้ามาในร้านโดยไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมือ ทันทีที่พนักงานเห็นพวกเราก็รีบเดินออกมาต้อนรับอย่างสุภาพ เรซเปิดภาพในโทรศัพท์ให้พนักงานดู แล้วพูดสั้นๆ “เอาใบนี้”
“อ๋อ รอสักครู่นะคะ” แล้วพนักงานก็เดินออกไปหลังยื่นโทรศัพท์คืนเรซ
พวกยัยพะแพงหันมามองฉันกับเรซแล้วแสยะปาก ฉันไม่ได้อยากสนใจพวกเขา แต่ก็อดชำเลืองมองไม่ได้อยู่ดี จนสบสายตาเข้ากับพี่แสง ฉันมองเขาช่วยน้ำชาเลือกกระเป๋า พี่แสงก็มองฉันยืนกุมมือกับเรซด้วยสายตาที่เดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
ฉันดึงสายตากลับมา หลังจากเห็นพนักงานเดินถือกระเป๋าตรงมาหาเรซ
“นี่ค่ะ ตามแบบที่ลูกค้าต้องการ”
“ซื้อให้ใครเหรอเรซ”
ฉันถามเบาๆ เข้าใจแล้วว่าใบนั้นไม่ใช่ของฉันแน่นอน แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ เรซมองฉันนิ่ง ท่าทางลังเล พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่ต้องรู้หรอก”
น้ำเสียงของเขาราบเรียบไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีเจือปน ฉันมองอย่างค้างคาใจ นั่นชาแนลเลยนะ ซื้อให้ใครก็ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ถึงเรซจะทำเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่คนที่ได้กระเป๋าใบนี้ก็ต้องมีอิทธิพลต่อเขาไม่มากก็น้อย ยิ่งเรซไม่อยากพูดถึง ยิ่งกระตุ้นให้ฉันอยากรู้
แต่เรซก็ไม่พูดอะไรอีก หลังได้กระเป๋าเขาพาฉันกลับมาที่รถ เอากระเป๋ามาเก็บ
“เรา… กลับกันเลยได้หรือเปล่า ไปซื้อของที่ซุปเปอร์แถวเซฟเฮาส์แล้วกลับไปทำอาหารเย็นกินกันเอง”
ฉันเสนอความคิดเห็น ไหนๆ ก็ออกมาลานจอดรถแล้ว จะกลับเข้าไปอีก เดินไปเดินมาทำไมหลายรอบ แต่จริงๆ ฉันไม่ได้อยากประหยัดเวลาหรอก แค่ไม่สบายใจที่ต้องกลับเข้าไปข้างใน กลัวว่าจะเจอพี่แสงอีก
เรซเพิ่งจะปิดประตูรถหลังเก็บกระเป๋าเสร็จหันมามองฉันอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถอนหายใจอย่างเอือมๆ
“ก็ได้... ขึ้นรถสิ”
“อื้อ” ฉันดีใจจนแทบอยากกระโดดกอดเรซ ไม่บ่อยเลยที่เขาจะตามใจฉันอย่างวันนี้ ไม่รู้รอยยิ้มฉันตลกแค่ไหน เรซเห็นแล้วถึงได้ทำหน้าอึ้งตาค้างใส่แบบนั้น แต่กำลังจะเปิดประตูรถ เสียงแหลมๆ ก็ดังขึ้น
“เรซ!”
“ลูกตาล” เรซหรี่ตาลง มองไปทางเสียงเรียก
ผู้หญิงในชุดเดรสเข้ารูป ทาปากสีส้มสด สีเดียวกับรองเท้าส้นสูงก้าวฉับๆ ตรงเข้ามาหาพร้อมกับสีหน้าประหลาดใจ
“มาทำอะไรเหรอ ทำไมลูกตาลโทรไปไม่รับ นี่คิดถึงมากรู้มั้ย” ยัยนั่นเดินเข้าไปประชิด เอามือคล้องแขนเรซอย่างสนิทสนม ไม่แม้แต่จะปรายตามองฉันสักนิด
“มาทำธุระ กำลังจะกลับ” เรซแกะมือลูกตาลออก สีหน้าราบเรียบ ไม่ยินดียินร้าย
“จะรีบกลับทำไมล่ะ เนี่ยลูกตาลนัดพี่เต็มทานข้าวพอดี ไปด้วยกันสิ เรซบอกอยากเจอพี่เต็มสักครั้งไม่ใช่เหรอ”
“ไว้ครั้งหน้า”
“นี่…” ลูกตาลยื้อแขนเรซที่กำลังจะเปิดประตูรถไว้ ยัยนั่นมองมาทางฉันแวบหนึ่งแล้วพูดกับเรซด้วยเสียงจริงจัง “พี่เต็มไม่ค่อยว่างเรซก็รู้ ถ้าพลาดเจอคราวนี้ก็ต้องรออีกหลายเดือนเลยนะ เพราะจะต้องเดินทางไปติดต่อธุระที่ต่างประเทศ”
“งั้นก็ไม่เป็นไร”
“เรซ!”
“โทษที ไว้สะดวกแล้วจะโทรหา”
เรซดึงแขนออกจากมือลูกตาลเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แล้วเปิดประตูขึ้นรถ ทิ้งลูกตาลให้ยืนเก้ออยู่ตรงนั้นคนเดียว
ฉันตามเรซขึ้นรถแทบจะทันที แอบสะใจลึกๆ ที่เขาเมินลูกตาลแล้วมากับฉัน ฉันหันไปมองใบหน้าด้านข้างของเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี จวบจนรถวิ่งออกสู่ถนนใหญ่ ก็ทนความเงียบต่อไปไม่ไหว
“เย็นนี้อยากกินอะไร”
ความจริงอยากเมาท์เรื่องลูกตาลแต่คิดไปคิดมาไม่ขยี้ดีกว่า
“ได้หมด” เรซตวัดสายตาลึกซึ้งมามองฉันแวบหนึ่ง แก้มฉันร้อนวูบ ก้มหน้ามองมือที่บีบกันแน่นบนตัก หัวใจเต้นแรง ครางตอบเรซเบาๆ
“อื้อ”