รสจูบที่เต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่ยังคงแผดร้อนอยู่ในอก ฉันเอามือบีบหน้าอกตรงตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นระรัวด้วยความรู้สึกว้าวุ่น พอเห็นว่าเรซไม่ได้ตามมาทันทีก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมานิดหนึ่ง เมื่อกี้เล่นเอาใจแทบแตกแหนะ ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ทั้งเรื่องที่ซื้อเครื่องซักผ้าและจูบ
“ซื้อให้ใช้” คำนี้ฟังครั้งแรกก็แทบสะกดกลั้นอาการลิงโลดของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขากำลังใส่ใจฉัน แต่พอมาคิดอีกทีก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้ บางทีเรซคงอยากซื้ออยู่แล้ว และอนุญาตให้ฉันใช้ของเขาได้ นั่นแหละ มันต้องเป็นอย่างหลังอยู่แล้ว ไม่มีทางที่เขาจะซื้อเครื่องซักผ้าเพื่อฉันหรอก มันแปลกเกินไป แต่แล้วฉันก็สะดุดความคิดตัวเองอีกรอบ เอามือแตะริมฝีปาก รู้สึกหวิวไหวอยู่ข้างใน
เวลานึกจะทำก็ทำ นึกจะจูบก็จูบ
อยากรู้จริงๆ ว่าเวลาอยู่กับคนอื่นเรซเป็นแบบนี้หรือเปล่า หรือมีแค่ฉันที่ถูกทำเหมือนเป็นของเล่น เพราะแบบนี้ฉันถึงไม่มีใจตอบรับจูบของเรซ ต่อให้หวานหอมสักแค่ไหน แต่สุดท้ายก็คือยาพิษดีๆ นี่เอง
ฉันว่าจะเลิกหวังกับเรซแล้วล่ะ ไว้หาที่อยู่ได้เมื่อไหร่บางทีฉันอาจจะย้ายออก ยังไงที่นี่ก็ไกล เดินทางไม่ค่อยสะดวก รบกวนแฮคบ่อยๆ ก็เกรงใจ เฮ้อ รู้สึกว่าพอเลิกกับพี่แสงแล้วชีวิตฉันยุ่งเหยิงมาก เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้ ฉันส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย มองของบนโต๊ะทำกับข้าวที่ยังไม่ได้เก็บกวาด หยิบกระทะกับจานชามที่ใช้แล้วมาลงซิงค์ล้างจาน ตอนนั้นเรซก็เดินเข้ามา เขาหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ แล้วมองฉัน
ฉันไม่ได้หันกลับไปปะทะสายตากับเรซแต่รู้สึกได้ว่าถูกจ้องอยู่ จนคว่ำจานใบสุดท้ายที่ล้างเสร็จ ฉันหันกลับมาพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าวผัดอยู่ในชาม ถ้าหิวก็ตักกินได้เลย”
“เธอล่ะ”
“อีกสักพักน่ะ ตอนนี้ไม่หิว” ฉันบอก เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนโดยไม่ได้มองเรซ ที่จริงแล้วก็รู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยแต่จูบเมื่อตะกี้ทำฉันไม่รู้สึกอยากอาหาร
“งั้นรอก่อนก็ได้”
เรซพูด ฉันตวัดสายตาแปลกใจไปมองเขาทันที
“ไม่ต้อง คือ… ฉันยังไม่แน่ใจว่าจะกินหรือเปล่า เดี๋ยวตอนบ่ายแฮคก็จะมารับ อาจจะรอไปกินข้างนอกกับแฮค” ฉันไม่อยากให้เรซรอจริงๆ นะ ส่วนเรื่องทานข้าวกับแฮคไม่ได้อยู่ในแพลนเลย แค่พูดเผื่อๆ ไปงั้นแล้วเรซก็ชักสีหน้า เหมือนมีปัญหาตรงไหนสักอย่าง
“เธอพูดไม่ใช่เหรอว่านี่คือข้าวเที่ยงของเราสองคน”
ฉันพูดไม่ออก สายตาของเรซที่มองมาเล่นเอาหนักอึ้งไปหมด ฉันมองชามข้าวบนโต๊ะอย่างรู้สึกอึดอัด
“ก็... ก็ได้ ฉันจะกินพร้อมนาย”
เพราะแววตาคาดหวังที่นานทีจะเห็นของเรซทำให้ฉันแข็งใจเมินไม่ลง เดินมาหยิบจานสองชุด ส่งให้เรซชุดหนึ่ง ของตัวเองชุดหนึ่ง
“ตักให้สิ”
เรซบอก เขาไม่เพียงแต่ไม่รับจานยังส่งสายตารบเร้าฉันอีก
“เยอะเปล่า”
“สองช้อนพูน”
ฉันตักข้าวตามที่เรซบอกเสร็จแล้วก็ตักให้ตัวเอง ฉันกินไม่เยอะ แค่ช้อนเดียวก็แน่นท้องแล้ว ถึงจะบอกว่านั่งกินข้าวด้วยกันแต่ไม่รู้สึกใกล้ชิดสักนิด อารมณ์เหมือนแชร์โต๊ะกินข้าวกับคนอื่นในศูนย์อาหารมหาลัยอ่ะ
“อะไรแปลก” จู่ๆ เรซก็โพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงช้อนกระทบจานเบาๆ หยุดกึกทั้งของฉันและเขา ฉันเหลือบมองคนตรงหน้าสายตางุนงง ไม่เข้าใจว่าเรซพูดถึงอะไร
“เธอบอกว่ารู้สึกแปลก คืออะไร”
“อ่ะ...” ฉันรู้สึกว่าผิวแก้มร้อนขึ้นมากะทันหัน คล้ายมีกระแสไฟสายหนึ่งแล่นแปลบอยู่ในอก มองสบสายตาลึกซึ้งแปลกๆ ของเรซหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ “หมายถึงเรื่องข้างนอกนั่นน่ะเหรอ”
“ใช่”
“เปล่านี่ ไม่มีอะไรหรอก”
“ต้องมี” เรซเน้นเสียงเข้ม นัยน์ตาดุดันจ้องมาอย่างกับจะเค้นเอาคำตอบให้ได้
“นายจะมาสนใจทำไม รีบๆ กินเข้าไปเถอะ”
“งั้นก็โทรยกเลิกไอ้แฮคซะ”
“ห๊ะ?”
“ฉันมีของที่อยากจะได้อยู่พอดี เดี๋ยวเธอไปกับฉัน”
หลังจากนั้นไม่นาน @อู่เรดซัน
“หือ” แฮคมองโทรศัพท์ที่มีไลน์แจ้งเตือนจากเทียน ทันทีที่เปิดอ่านคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันทันที
เทียน : นัดวันนี้ยกเลิกนะแฮค
เทียน : ขอโทษจริงๆ
แฮค : ได้สิ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
เทียน : ไม่รู้สิ คนแถวนี้อารมณ์แปรปรวน สงสัยวัยทอง
แฮคเลิกคิ้วประหลาดใจแล้วหลุดขำกับคำค่อนแขวะของเทียน เขาพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความสงสัยเต็มประดา
แฮค : ใครล่ะ ไอ้เรซเหรอ
เทียน : อือ
แฮค : ฮ่าๆ ทำไม มันห้ามไม่ให้แฮคไปหาเหรอ
เทียน : ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
แฮค : แล้ว?
เทียน : เรซจะไปซื้อของพอดี ก็เลยจะออกไปด้วยกัน
แฮค : แบบนี้นี่เอง
เทียน : โทษทีนะ ทำแฮคเก้อเลย
แฮค : ไม่หรอก ทางนี้เองก็มีเคสด่วนเหมือนกัน
แฮค : ยังคิดอยู่ว่าจะเสร็จทันหรือเปล่า
แฮค : เห็นทีคงไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ
หลังคุยกับเทียนเสร็จ แฮคเลื่อนหน้าจอก่อนจิ้มที่โปรไฟล์ของเรซ
แฮค : เฮ้ย ไอ้หัวขโมย
แฮคจ้องหน้าจอสักพัก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่อ่านข้อความเขาก็เอาโทรศัพท์ลงทันใดนั้นเสียง Line~ ก็ดังขึ้น
เรซ : อะไรของมึง
แฮค : แย่งกระต่ายกู
เรซ : สัส คนไม่ใช่สัตว์เลี้ยง
แฮค : อ้าว คนเหรอ กูนึกว่าสัตว์เลี้ยงมึง
เรซ : เดี๋ยวกูเอาแชทมึงให้เค้าอ่านดีมั้ย?
แฮค : มึงไม่ทำหรอก
เรซ : ต้องการอะไร
ปลายทางเลิกเล่น ถามกลับมาห้วนๆ แฮคสัมผัสได้ถึงบรรยากาศจริงจังที่สะท้อนอยู่ในตัวอักษรแถวสั้นๆ บนจอโทรศัพท์ มุมปากแฮคกระตุกยิ้ม แค่นเสียง ‘หึ’ ในลำคอ
แฮค : ถ้ามึงจะจริงจังก็ดีกับเค้าเยอะๆ หน่อย
เรซแค่อ่านแต่ไม่ตอบกลับมา แฮคคอยอยู่ครู่เดียวก็เก็บโทรศัพท์ลง พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นว่าลูกน้องสองคนกำลังจ้องเขาอยู่
“อะไรวะปริ๊นซ์ เฟม”
“คุยกับสาวเหรอครับเฮีย เห็นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” ปริ๊นซ์แซว
“ฮ่าๆ สาวเหรอ ไม่ใช่อย่างที่พวกมึงคิดหรอก ทำงานๆ” แฮคตอบอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเตือนเด็กๆ รวมทั้งตัวเองให้สนใจงานตรงหน้า
“เมื่อเช้าผมกับไอ้เฟมเอาเครื่องซักผ้าไปส่งที่เซฟเฮาส์ คนที่อยู่กับเฮียเรซนั่นใครเหรอครับเฮีย” ปริ๊นซ์หันมาจ้องแฮคด้วยสายตาสงสัย แฮคเลิกคิ้ว หันไปมองหน้าเด็กอู่แววตาเบิกกว้าง
“เครื่องซักผ้า?”
“ครับ เฮียเรซสั่งให้พวกเราไปรับที่ร้านแล้วก็เอาไปส่งที่เซฟเฮาส์” เฟมช่วยปริ๊นซ์ชี้แจง “แล้วอาเจ้ที่อยู่กับเฮียเรซแบบสุดยอดมาก เห็นแล้วอยากลูบ...” เฟมทำหน้าเคลิบเคลิ้มจนปริ๊นซ์ต้องโยนประแจใส่เท้าถึงได้สติ
เคล้ง!
“ไอ้ปริ๊นซ์เท้ากู” เฟมชักเท้าหลบทันแต่ก็ยังไม่วายหันไปเขม่นตาใส่เพื่อนอย่างตกอกตกใจแกมโกรธ
“ลามปามแล้วมึง นั่นของเฮีย”
“เอ้าไอ้นี่ กูแค่เปรียบเปรยให้เห็นภาพ มึงอย่าจริงจังได้มั้ยวะ”
“มึงก็คิดแบบนั้นเหรอวะเฟม” เสียงแฮคดังขัดจังหวะการทุ่มเถียงของทั้งคู่ ปริ๊นซ์กับเฟมชะงัก มองไปทางแฮคเป็นตาเดียว
“ครับเฮีย” เฟมพยักหน้าหงึกหงัก “เฮียก็คิดเหมือนกันใช่มั้ย”
“ไอ้เฟม!” ปริ๊นซ์โบกหัวคนที่พูดไม่คิดไปอีกหนึ่งป้าบ
“เชี่ยปริ๊นซ์กูเจ็บ”
“อย่าคิดว่าเฮียจะเหมือนมึงสิวะ” ปริ๊นซ์ถลึงตาสำทับไปอีกดอก เฟมนึกจะเถียงก็เถียงไม่ออก ได้แต่ย่นหน้าไม่สบอารมณ์เท่านั้น
“ช่างเหอะๆ กูไม่ถือสา เทียนก็เป็นแบบนั้นแหละ ใครเห็นแล้วไม่อยากลูบสิแปลก”
คราวนี้เป็นปริ๊นซ์ที่สะอึก เพราะเขาคือคนหนึ่งที่ไม่ได้เกิดอาการอยากลูบ... ไม่ใช่พี่สาวไม่ดึงดูดแต่ปริ๊นซ์ไม่ชอบคนอายุเยอะกว่า
“ว่าแต่เรซซื้อเครื่องซักผ้าเหรอ” แฮคถามย้ำ
“ครับเฮีย ท่าทางจะซื้อให้อาเจ้ใช้”
“งั้นเหรอ” แฮคพยักหน้า เหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิงจะเย้ยหยันก็ไม่ใช่ ความรู้สึกที่สะท้อนออกมาทางแววตานั้นยากที่เด็กอู่อ่อนประสบการณ์เรื่องผู้หญิงอย่างปริ๊นซ์กับเฟมจะเข้าถึง