RACE – 5
ผมไม่รู้ตัวเองเป็นอะไร ความรู้สึกกระวนกระวายทำให้ต้องเร่งเคาะบุหรี่ออกมาจุดสูบ อัดนิโคตินเข้มข้นเข้าสู่ปอดหวังให้อารมณ์ที่คลุมเครืออยู่ตอนนี้คลี่คลาย และก็เป็นดังคาด หลังจากสูดควันเข้าปอดไปสองสามรอบจิตใจก็เริ่มสงบ ผมเหม่อมองใบไม้ตรงหน้าไหวเอนตามแรงลม ไม่วายครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น
ผมเกือบจะกดยัยนั่น... จริงๆ ก็รุกไปแล้ว สัมผัสหนุบหนับยังติดอยู่ที่ปลายนิ้ว คิดแล้วถึงกับกลืนน้ำลาย ร่างกายเย้ายวน เต็มมือเต็มไม้ทั้งท่อนบนท่อนล่างขนาดนั้นใครบ้างจะไม่อยาก ขนาดไอ้แฮคยังเทียวไล้เทียวขื่อแทบทุกวัน แล้วผมที่อยู่บ้านหลังเดียวกันมีเหรอจะไม่คิดอยากจับปล้ำวันละสามเวลาหลังอาหาร
แน่นอนว่าผมได้แค่คิด
ตั้งแต่วันที่พลั้งปากพูดไม่ดีออกไป รู้สึกว่าเทียนเว้นช่องว่างกับผมแปลกๆ แม้ปกติเราจะไม่ค่อยคุยกันอยู่แล้วเพราะผมไม่ใช่คนพูดมากแต่ว่าตอนนี้นอกจากยัยนั่นจะประหยัดคำพูดที่ใช้พูดกับผมแล้วยังทำตัวห่างเหินกว่าเดิม ขนาดเรื่องจิปาถะอย่างราวตากผ้ายังให้ไอ้แฮคเป็นธุระจัดหาให้ ทั้งที่ผมก็อยู่ไม่เห็นบอกอะไรผมสักคำ ทำแบบนี้ก็เหมือนข้ามหน้าข้ามตากันนั่นแหละ จะไม่ให้ผมฉุนได้ยังไง
จำได้ว่าเทียนเคยถามเรื่องเครื่องซักผ้า แต่ผมไม่ได้ใส่ใจแถมลืมไปแล้วด้วย ปกติเสื้อผ้าผมส่งร้านซักรีด กางเกงชั้นในซักเองได้ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร คนอื่นเวลามาอยู่เวรเฝ้าเซฟเฮาส์ก็ทำเหมือนกันเพราะงั้นเลยไม่มีใครพูดถึง ผมจะเมินเฉยไปเลยก็ได้แต่เห็นท่าทางเหน็ดเหนื่อยของยัยนั่นเวลาซักผ้าแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ คิดไปคิดมา ไหนๆ ก็มีคนซักอยู่แล้วนี่ ลงเครื่องซักผ้าสักเครื่องจะเป็นไรไป แต่แทนที่จะขอบคุณผมเป็นอย่างแรก ยัยนั่นกลับนึกถึงลูกน้องผมก่อน ถึงขั้นจะทำข้าวเที่ยงให้พวกมันกิน เหอะ น่าขำชะมัด ผมเป็นคนซื้อแต่เด็กส่งของกลับได้หน้าเต็มๆ
กลิ่นกระเทียมเจียวกับเสียงผัดกระทะลอยมาที่ระเบียงทำโสตประสาทผมลุกชัน ตวัดสายตาคมดุไปทางที่มาของกลิ่น หัวคิ้วขมวดมุ่น
ยัยนั่นกำลังทำอาหาร ไหนบอกจะไม่ทำแล้ว คิดจะยั่วโมโหกันหรือไง
ผมกัดฟันกรอด ดับบุหรี่ในมือ ลมหายใจร้อนกรุ่น รีบสืบเท้ากลับเข้ามาข้างในเพื่อจะสั่งให้หยุด ไม่ใช่ว่าผมหวงข้าว หรือขี้เหนียวอะไร ผมแค่โกรธที่เทียนให้ความสำคัญกับเด็กพวกนั้นมากกว่าผม แต่เหมือนเทียนจะรู้ ทันทีที่ก้าวมาถึงประตูห้องครัว ผมยังไม่ทันเอ่ยปาก เทียนก็หันมาพูด
“ข้าวเที่ยงของเราสองคน ไหนๆ ก็เตรียมของแล้ว เลยคิดว่าจะทำให้เสร็จน่ะ ไม่ว่าใช่มั้ย”
จะว่าอะไรได้ อีกอย่างคำว่าเราสองคนก็ฟังรื่นหูอย่างไม่น่าเชื่อ
“อ่อ….” ผมอืออออย่างไม่ทันตั้งตัว มองร่างบางที่หันกลับไปทันทีหลังพูดจบ ไม่ได้สนใจท่าทางเสียศูนย์ของผมสักนิด
ไม่นานก็เกิดเสียงดังซ่าส์ขึ้นอีก เทียนหันมาหยิบจับของที่เตรียมไว้บนโต๊ะไปลงกระทะด้วยท่าทางคล่องแคล่ว มุมปากอิ่มหยักยิ้มเล็กน้อย แววตาเปล่งประกายอย่างคนที่กำลังสนุกกับการทำอาหาร สายผ้ากันเปื้อนที่คอกับเอวขับเน้นให้เห็นทรวดทรงงดงาม สะโพกกลมกลึงได้รูปโก่งงอนเป็นธรรมชาติ กอปรกับกลิ่นหอมเย้ายวนของข้าวผัด ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกป่วนมวนในท้อง ไม่รู้เป็นเพราะหิวข้าวหรือ… อยากกินอย่างอื่นไม่แน่ใจ
“ข้าวผัดเหรอ?” ผมเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ ทำทีเป็นไม่ใส่ใจทั้งที่จริงแทบจะถอนสายตาไปจากรูปร่างสะโอดสะองตรงหน้าไม่ได้
“ของเหลือไม่เยอะ ทำได้แค่นี้ เดี๋ยวตอนเย็นจะออกไปซื้อของสดกับแฮค”
เทียนสาธยายโดยไม่หันกลับมา ผมได้ฟังแล้วเป็นต้องขมวดคิ้ว พอรู้ว่าเธอนัดกับไอ้แฮคไว้ก็ให้รู้สึกคันยุบยับที่หัวใจ หมู่นี้ไอ้แฮคมันว่างเหรอวะ หรืองานที่อู่น้อยไปถึงได้มีเวลาเตร็ดเตร่อย่างกับพวกไม่มีอะไรทำ
“เฮียครับ” ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เสียงเรียกอย่างระมัดระวังก็ดังมาจากทางประตูใหญ่
ผมยังไม่ทันพูดอะไร เทียนที่ผัดข้าวเสร็จแล้วก็ยกกระทะร้อนๆ มาตักข้าวผัดใส่ชามที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งมากเกินไปสำหรับสองคน ยัยนั่นมองข้าวในชามครู่หนึ่งก่อนชำเลืองมาทางผม ผมแค่สบตาเธอนิ่งๆ แล้วลุกขึ้นเดินออกมาโดยไม่พูดอะไร
ปริ๊นซ์กับเฟมยืนรออยู่ข้างนอก พอผมเปิดประตูสองคนนั้นก็หันมามองด้วยท่าทางกระตือรือร้นทันที
“เรียบร้อยแล้วครับเฮีย” ไอ้เฟมรีบบอก
“ลองแล้วใช่มั้ย”
“ลองแล้ว ใช้ได้ครับทั้งปลั๊กทั้งเครื่องซักผ้า” ปริ๊นซ์พูดเสริม ก่อนพากันลากลับ “งั้นผมขอตัวนะเฮีย”
“อือ”
“จะกลับแล้วเหรอ” เทียนรีบเปิดประตูออกมาถามด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“อาเจ้” ไอ้เฟมหันกลับมายิ้มให้เทียนแววตามันคึกคักเป็นพิเศษ มองชุดที่เทียนสวมซึ่งเป็นคนละชุดกับก่อนหน้านี้ก่อนตวัดมาทางผมเหมือนจะสื่ออะไรสักอย่าง ในขณะที่ปริ๊นซ์ยิ้มเซ่อๆ พร้อมกับยกมือเกาหัวแกรกๆ
“จะกลับแล้วครับ” ปริ๊นซ์พูด
“ไม่อยู่กินข้าวด้วยกันก่อน”
“เอ่อ…” ปริ๊นซ์อึ้งไปชั่วขณะ มันลอบชำเลืองมองใบหน้าตึงๆ ของผมแวบหนึ่งแล้วยิ้มเจื่อนทันที “ไม่เป็นไรครับซ้อ”
เทียนเลิกคิ้วแปลกใจกับคำเรียกที่เปลี่ยนไปกะทันหันของไอ้ปริ๊นซ์ ในขณะที่ผมมีสีหน้าเย็นยะเยือกยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้ยไอ้ปริ๊นซ์ไปได้แล้ว ขอตัวนะเฮีย ไปก่อนนะครับอาเจ้”
เฟมเป็นคนลากปริ๊นซ์ออกไป ระหว่างทางมันสองคนกระทุ้งศอกใส่กันไปมา ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบลอยเข้าหูเบาๆ
“มึงเรียกซ้อมึงดูหน้าเฮียด้วย”
“เออ ก็เฮียหวงขนาดนั้นกูก็เลยยกตำแหน่งพี่สะใภ้ให้ไง เฮียจะได้สบายใจ”
“สัสปริ๊นซ์เบาๆ”
เฟมหันกลับมามองอย่างเสียวสันหลัง พอเห็นว่าผมยังคงจ้องพวกมันเขม็ง มันก็รีบหันกลับไปตบหัวไอ้ปริ๊นซ์อย่างเตือนๆ
พลั่ก!
“โอ๊ย สัสเฟม กูเจ็บ”
“เฮียได้ยินโว้ย”
“เชี่ย...” ปริ๊นซ์หันกลับมามองก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แล้วพวกมันสองคนก็รีบเดินเร็วๆ ไปที่รถโดยไม่กล้าซุบซิบอะไรกันอีก
คล้อยหลังสองคนนั้น ผมหันกลับมามองเทียน ยัยนั่นมองส่งท้ายรถพวกไอ้ปริ๊นซ์จนพ้นขอบรั้ว ไหวดวงหน้ามาทางผมแล้วหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว
“แค่กินข้าวไม่เห็นต้องงกเลยนี่นา” เทียนพึมพำเสียงเบาจนแทบฟังไม่ออกว่าพูดอะไร ผมมองสีหน้าที่อ่านไม่ออกนั่นก่อนคว้าข้อมือที่กำลังจะเปิดประตูเข้าบ้านเอาไว้
“ไปดูเครื่องซักผ้าหน่อย”
“อ๊ะ จริงสิ” ยัยนั่นพยักหน้าเบาๆ แล้วดึงมือออกจากการจับกุม รีบหมุนตัวลงบันไดบ้านที่สูงจากพื้นแค่สองขั้น เดินเร็วๆ ไปทางเครื่องซักผ้าที่อยู่ในอู่เก่า
เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นอู่เล็กๆ ที่พวกเราใช้ปรับแต่งรถแข่ง ช่วงนั้นพวกผมยังเป็นนักเรียนมอปลายกันอยู่ จะทำอะไรก็ไม่ค่อยสะดวก คนที่เป็นหัวแรงสำคัญจึงไม่พ้นฮานกับเฮียหมู ส่วนผม ริกกี้ และไอ้แฮคใช้เวลาเกือบครึ่งอยู่โรงเรียน อีกครึ่งหมดไปกับการฝึกขับรถ น้อยมากที่จะได้ลงสนามจริง คนเปิดเกมและปิดเกมในฐานะเรดซันคือเฮียหมูกับฮาน
สมัยนั้นคนที่มีประโยชน์กับทีมมากที่สุดในพวกผมสามคนคือแฮค ไอ้หมอนั่นสมัยเรียนมัธยมยังใส่แว่น เป็นเด็กเนิร์ด ท่าทางเอ๋อๆ แต่กลับหัวดี สามารถวิเคราะห์สภาพเครื่องยนต์ ช่วยฮานกับเฮียหมูปรับแต่งรถได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในขณะที่ผมกับริกกี้ยังลองผิดลองถูกจากโปรแกรมฝึกของฮานอยู่เลย ทำรถพังไปหลายคันกว่าจะโปร
เมื่อก่อนตึกข้างๆ เป็นตึกเก่า เพิ่งมาทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่ หลังจากขยับขยายหาที่ทางเพื่อรองรับการเติบโตของทีม พวกเราตัดสินใจย้ายอู่รถกับสำนักงานไปอื่น ที่นี่จึงเป็นเหมือนรังเก่าที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเรดซันเป็นศูนย์บัญชาการลับของพวกเรา
“ใหญ่ขนาดนี้ซักผ้านวมได้เลยนะเนี่ย”
น้ำเสียงตื่นเต้นของเทียนทำให้ผมได้สติ มองร่างบางที่กำลังชื่นชมเครื่องซักผ้าด้วยท่าทางดีอกดีใจ ผมกระตุกยิ้ม เดินเข้าไปยืนซ้อนหลัง พิงมือกับฝาเครื่องซักผ้าคร่อมปิดทางข้างหนึ่งเอาไว้
“ชอบเหรอ”
เทียนที่ตอนแรกขยับยุกยิกชะเง้อคอมองปุ่มโน้นปุ่มนี้กลับยืนนิ่งกะทันหัน ค่อยๆ เอียงหน้ากลับมามองผมพร้อมเอี้ยวตัวหลบ ผิวแก้มแต่เดิมที่แดงระเรื่ออยู่แล้วเหมือนจะแดงขึ้นไปอีก
“หมายถึงเครื่องซักผ้าเหรอ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันหมายถึงอะไร”
ผมยิ้มมุมปาก ใช้มืออีกข้างรวบเอวคอดเข้ามากอด
“เรซ…” เทียนกลั้นหายใจ ดวงตากลมสวยกระตุกไหว เธอจะแกะมือผมออกจากเอวแต่ผมไม่ยอมปล่อย จนคนตัวเล็กถอนหายใจยาว ล้มเลิกความตั้งใจที่จะต่อต้านแล้วหันมาจ้องตาผมตรงๆ
“บอกฉันหน่อยว่านายกำลังคิดอะไร”
แทนคำตอบ ผมยกมือขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ร่วงลงมาปรกข้างแก้มสวยออก เทียนมองตาม เรียวปากอิ่มขยับเม้ม ยอมสงบนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของผม เป็นอะไรที่น่าดูชมและชวนให้อยากสัมผัสมากกว่าเดิม
“เรซอย่าสิ”
แต่พอผมจะจูบเทียนก็เบือนหน้าหลบ ผมทำเสียงขัดใจในลำคอ ดึงคนในอ้อมแขนเข้ามาแนบชิดจนช่วงล่างไม่เหลือช่องว่าง
“หลบทำไม”
“ก็นายจะจูบไม่ใช่เหรอ...” เทียนดิ้นขืนเบาๆ พยายามจะออกจากอ้อมกอดผมให้ได้
“รู้แล้วทำไมหลบ”
“มัน... ก็ต้องหลบอยู่แล้ว”
เทียนงึมงำออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ เธอก้มหน้าลงต่ำ จนมองเห็นแค่กลุ่มผมใต้สายตา ระยะใกล้ขนาดนี้ถ้าไม่งัดหน้าขึ้นมาผมไม่มีทางจูบได้จริงๆ เทียนไม่ได้โวยวายแต่ก็ไม่ได้ยินยอม
อะไรที่เคยได้แล้วพอไม่ได้ขึ้นมา มีเหรอจะไม่รู้สึก
“ยังเคืองเรื่องตอนนั้นอยู่อีก?” ผมเอ่ยถามอย่างอ่อนใจ เทียนเงยหน้าทันที ศีรษะยัยนั่นเกือบชนคางผม ดีที่ผมเลื่อนใบหน้าออกได้ทันเวลาไม่งั้นอาจเจ็บตัวทั้งคู่ บรรยากาศตอนนี้คงเสียหมด
“นายรู้...” เทียนจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมราวกับจะค้นหาอะไรบางอย่าง
“อืม”
พอผมยอมรับ เธอก็เผยอปากเล็กน้อยด้วยท่าทางประหลาดใจ แต่พอรู้ว่าผมกำลังจ้องมันด้วยสายตาระยิบระยับเธอก็รีบเม้มปากเป็นเส้นตรงทันที
“แล้วเครื่องซักผ้า...” หลังเงียบไปสักพัก คนในอ้อมแขนผมก็เปิดปากอีกรอบแล้วชำเลืองมองเครื่องซักผ้าข้างๆ
“ซื้อมาให้ใช้”
ผมบอกตรงๆ ไม่อ้อมค้อม อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังตะลึงประกบจูบ เทียนเบิกตาโพลง ตัวเกร็งอยู่ภายใต้การรุกรานของผม เรียวปากปิดเม้มค่อยๆ เผยออกทีละนิด... ปล่อยให้ผมลิ้มชิมรสชาติจนพอใจแต่ไม่ได้จูบตอบผมเหมือนที่แล้วมา ผมหรี่ตามองคนในอ้อมแขนอย่างคาใจ
“ยังไม่หายโกรธ?”
เทียนส่ายหน้าน้อยๆ แทนคำตอบ
“งั้น...?” ผมยังคงคาดเดาท่าทีไม่ออก จูบเมื่อกี้ไม่ต่อต้าน รสชาติหวานละมุนก็จริงแต่กลับให้ความรู้สึกเดียวดายแปลกประหลาด คนที่คอยตอบสนองการรุกไล่ของผมอย่างจัดจ้านมาตลอด คราวนี้กลับทำตัวเชื่องผิดหูผิดตา ถ้าผมไม่เคยเจอเทียนเวอร์ชันร้อนแรงมาก่อนคงได้โดนท่าทีไม่ประสีประสานี้หลอกเอาจนหัวหมุนแน่ ผมเริ่มกระวนกระวายไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าจูบของผมมันแย่มากจนไม่สามารถกระตุ้นอีกฝ่ายได้
เป็นไปไม่ได้หรอกน่า
“ฉันแค่แปลกใจเฉยๆ ไม่มีอะไรหรอก” เธอพูดพลางแกะมือผมออก
คราวนี้ผมไม่ได้ยึดตัวเทียนเอาไว้ เธอถอยห่างผม ยิ้มอ่อนแล้วหันหลังเดินกลับไป ทิ้งให้ผมยืนเฝ้าเครื่องซักผ้าอยู่คนเดียว