RACE – 4
ผมเหลือบมองแซนวิสกับกาแฟอวลกลิ่นน้ำผึ้งหอมบนโต๊ะ แซนวิสที่ถูกทำอย่างง่ายๆ แค่หั่นมะเขือเทศเป็นวง วางซ้อนทับด้วยผักกาดและไข่ดาวราดมายองเนสก่อนปิดทับด้วยขนมปังอีกชั้นแต่หน้าตากลับดูสดน่ากัดน่ากินเหมือนตัวคนทำ
นี่หรือเปล่าวะ ที่ว่าคนสวยทำอะไรก็ดูดีไปหมด แต่ผมไม่ได้อวยเล่นๆ แซนวิสนี่หน้าตาดีขนาดที่สามารถวางขายบนร้านได้เลย หรือยัยนั่นจะมีฝีมือในการทำอาหารจริงๆ ผมชำเลืองมองข้อความที่ถูกส่งมาในไลน์ ก่อนหยิบแซนวิสชิ้นหนึ่งใส่ปากกินแกล้มกาแฟแทนขนมปังจืดๆ อย่างเมื่อก่อน
กว่าผมจะตื่นก็เที่ยงแล้ว ไม่ทันได้เห็นยัยนั่น จากข้อความที่ส่งมาก็พอเดาได้ว่าไอ้แฮคคงจะมารับถึงนี่เพื่อไปมหาลัย วันโน้นก็เฮียหมู คืนก่อนก็รถไอ้ฮาน นี่กะจะเวียนให้ครบทีมเลยหรือไง ยัยผู้หญิงขี้อ่อยนั่น
นึกถึงเรื่องที่ช่วยตัวเองในห้องน้ำแล้วผมก็ยิ่งฉุน วางแก้วกาแฟลงจนเกิดเสียง มองแซนวิสที่เหลือด้วยสายตาว่างเปล่า รสชาติดีแต่แทบไร้ประโยชน์ อย่างดีก็แค่ประทังความหิวได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นล่ะวะ ไม่ใช่อาหารจานหลักที่จะทำให้อยู่ท้อง ...เหมือนคนทำนั่นแหละ อีกเดี๋ยวไอ้แฮคก็คงเบื่อแล้วสลัดทิ้งเหมือนคนก่อนๆ
เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ล่วงเลยถึงบ่ายสอง ระหว่างที่ผมนั่งเช็กข้อมูลเอกสารต่างๆ ในไอแพด เสียงรถที่หน้าบ้านก็ดังขึ้น เสียงคนคุยกันกะหนุงกะหนิงเดินเข้ามาในบ้าน แล้วหิ้วถุงพะรุงพะรังเต็มมือไปหมด
ผมลุกขึ้น ยังไม่ทันเอ่ยอะไรไอ้แฮคก็ออกคำสั่งทันที “มีของเหลืออยู่ในรถมึงช่วยไปขนให้หน่อยสิ”
“ซื้ออะไรเยอะแยะ”
ผมขมวดคิ้วมอง แค่ทำอาหารเลี้ยงคนไม่กี่คนทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ของสดในตู้ก็มี ไม่จำเป็นต้องจ่ายตลาดเลยด้วยซ้ำ ผมชำเลืองมองหน้าเทียนอย่างนึกตำหนิแต่ยัยนั่นกลับทำเมินไม่สนใจผม พูดกับไอ้แฮคหน้าตาเฉย
“แฮคเราเอาผักไปล้างกันเถอะ”
“อ้อ ได้ๆ ” แฮครับคำอย่างกระตือรือร้น รีบตามยัยนั่นเข้าไป ไม่ลืมหันมากำชับผมด้วยเสียงจริงจัง “เบียร์อยู่ในรถ ยกลงมาให้ด้วย”
“....”
ปึ้ก!
ผมวางลังเบียร์หนักๆ ลงข้างตู้เย็น แกะกล่องเอาขวดเบียร์ออกแช่ช่องฟรีซโดยไม่ต้องให้ใครบอก ระหว่างที่แฮคกับเทียนกำลังช่วยกันเตรียมของทำอาหารอยู่ที่โต๊ะ
“ช่วยแกะกระเทียมทีสิ ทำเป็นเปล่า เอาเปลือกออกให้หมด”
“แบบนี้เหรอ” ไอ้แฮคทำตาม แววตามันเปล่งประกายสุดๆ
“อื้ม เอาเต็มถ้วยนี้ก็พอนะ เดี๋ยวเทียนจะทำน้ำพริก แฮคแกะกุ้งเป็นหรือเปล่า”
“แกะได้”
“เอาเส้นหลังออกด้วยนะ”
“เส้นหลัง?” ไอ้แฮคเลิกคิ้วขึ้นท่าทางมึนงง
“อืม เส้นหลังกุ้ง”
“ตรงไหน” มันถามกลับอย่างกระตือรือร้น ส่วนเทียนก็หัวเราะเบาๆ กุลีกุจอยกชามกุ้งออกมาวางตรงหน้าแล้วอธิบายให้ฟังหน้าชื่นตาบาน ผมเผลอมองเรียวปากระเรื่อที่เดี๋ยวพูดเดี๋ยวหัวเราะอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกว่าเสียงที่ยัยนั่นเปล่งออกมาสดใสกังวานมีเสน่ห์ชวนหลงใหลแปลกๆ
“....” เทียนมองมาทางผมแวบหนึ่ง ราวกับรู้ตัวว่าโดนจ้องอยู่ ผมได้สติ สบตากับอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจแต่ยัยนั่นกลับไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านแม้แต่น้อย หันไปพูดคุยกับไอ้แฮคได้อย่างลื่นไหลราวกับว่าผมไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ต่อเธอทั้งนั้น เป็นผมซะที่หงุดหงิดร้อนรนอย่างไม่รู้สาเหตุ
ไม่ถึงหกโมงเย็นอาหารสามสี่อย่างก็ถูกยกขึ้นโต๊ะ เฮียหมูกับฮานมาถึงก่อนเวลานัดไม่กี่นาที ส่วนริกกี้หกโมงครึ่งแล้วยังไม่โผล่
“หื้ม อร่อยเหาะ” เฮียหมูจับซี่โครงขึ้นมากัดฉีก เคี้ยวหนุบหนับอย่างชอบใจ ในขณะที่ฮานค่อยๆ ชิมทีละอย่างด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่ชมแต่ก็ไม่บ่น ส่วนไอ้แฮคไม่ต้องพูดถึงมื้อนี้มันเจริญอาหารเป็นพิเศษอยู่แล้ว ทั้งที่ปกติมันแทบไม่แตะข้าวเลย กินแต่เหล้ากับผู้หญิง
“เพิ่มข้าวได้อีกนะคะเฮีย” เทียนนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างแฮคกับเฮียหมูหันไปพูดอย่างเอาใจ
เฮียหมูฉีกยิ้มกว้างพยักหน้าหงึกหงักทันที “ขอเพิ่มอีกจานจ้าคนสวย”
“ได้ค่า จัดให้เลย กินเยอะๆ นะคะ ผู้ชายอวบกำลังน่ารัก”
พูดพลางลุกขึ้นไปตักข้าวให้เฮีย ลืมบอกว่ายัยนี่เปลี่ยนชุดตั้งแต่อยู่ในครัวกับไอ้แฮค ใส่เสื้อกล้ามคอเว้า แขนกว้าง โชว์ลำตัวด้านข้างโดยมีบราเซียแบบสายผูกคออยู่ข้างใน ส่วนกางเกงก็เป็นยีนสั้นสุดโคนขา ไม่แค่นั้นด้านหน้ายังขาดเป็นริ้วๆ เห็นหนังอ่อนๆ อีก
แม่งโคตรอ่อย ปกติอยู่กับผมใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นธรรมดา ไม่ได้สั้นเสมอหูอย่างนี้ เฮียหมูจ้องก้นงอนๆ ของยัยนั่นตอนเดินไปเดินมานัยน์ตาแทบลุกเป็นไฟ
ริกกี้โผล่มาอีกทีตอนสองทุ่ม มันมาถึงพวกเราก็กำลังนั่งจิบเบียร์กันอยู่ที่โซฟาหน้าทีวี ส่วนเทียนกำลังเก็บกวาดห้องครัว ทีแรกเฮียหมูกับแฮคเข้าไปกลุ้มรุมจะช่วยยัยนั่น แต่ผมพูดดักคอก่อนทำให้ทั้งคู่หยุดทำตัวบ้าบอ ออกมานั่งคุยงานกันที่โซฟา
“โทษที ลืมว่าวันนี้ต้องพาคะนิ้งไปกินข้าวเย็นกับยายก็เลยมาช้า แล้วนี่คุยกันถึงไหน” ริกกี้ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่เลื่อนมาจากผนัง คว้าขวดเบียร์ขวดใหม่มาเปิด กระดกแทนน้ำเปล่า
ผมโยนเอกสารปึกหนึ่งให้มันก่อนจะอธิบายสถานการณ์โดยรวมให้ฟัง เรดซันมีแผนจะลงแข่งอย่างเป็นทางการในงานแข่งรถการกุศลของคุณหมิง กับงานโปรโมตสนามของลูอิส นอกจากนั้นก็มีรายการแข่งยิบย่อยอีกสองสามที่ กับการเดิมพันใต้ดินที่ตอนนี้อยู่ในระหว่างเจรจา รวมไปถึงสถานะทางการเงินของทีม
กว่าจะคุยกันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่ม แต่เสียงรถคันสุดท้ายที่วิ่งออกจากเซฟเฮาส์ไปคือเที่ยงคืนสิบนาที ผมเหลือบมองนาฬิกาบนจอโทรศัพท์พ่นควันขาวขุ่นออกจากปาก ได้ยินเสียงปิดประตูดังแว่วมา ผมดับบุหรี่ที่เพิ่งสูบได้ไม่ถึงครึ่งมวนทิ้ง ผละจากระเบียงเข้ามาข้างในด้วยความคิดที่แปรปรวน
เทียนออกไปส่งไอ้แฮคเพิ่งจะกลับเข้ามาในบ้าน เธอชะงักกึกเมื่อเห็นหน้าผม รอยยิ้มบนหน้าก็หายไปเช่นกัน เดินผ่านผมไป ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน ยิ่งกระตุ้นให้ผมไม่สบอารมณ์ ความรู้สึกไม่พอใจที่สั่งสมมาตั้งแต่ตอนบ่ายพรั่งพรูราวกับลาวาเดือด ผมรั้งแขนเรียวบางเอาไว้ทันที ออกแรงกระตุกนิดเดียวเทียนก็เซถลามายืนตรงหน้าผมแล้ว
“นี่ฉันเจ็บนะ” เทียนแกะมือที่กุมแน่นของผมออก ใบหน้าสวยหวานที่เคยโปรยเสน่ห์ให้ทุกคนบนโต๊ะอาหาร กำลังขมวดตึง เหลือบมองแขนตัวเองที่ขึ้นรอยแดงอย่างไม่พอใจ
ผมหรี่ตาลงมองคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเย็นเยือกทิ่มแทงเข้าไปถึงกระดูกดำทำให้ยัยนั่นลอบกลั้นหายใจแล้วถลึงตากลับมา “ทำไม! มีอะไรก็รีบพูดมาสิ จ้องอยู่นั่นแหละ”
“ชุดดีๆ กว่านี้ไม่มีแล้วหรือไง”
“ชุดนี่ไม่ดีตรงไหน” เทียนก้มลงมองสำรวจตัวเองรอบหนึ่งก่อนเงยหน้าขึ้นเถียงเสียงแข็ง แววตาแสนจะภูมิใจกับชุดที่ตัวเองใส่ ผมไม่วายถมทับความมั่นใจนั้นด้วยสายตาเหยียดหยัน
“ถ้าจะขนาดนี้ทำไมไม่เอาบิกินีมาใส่ซะเลยล่ะ”
เทียนอึ้งนิดๆ แต่แทนที่จะอับอายก็ตอบกลับมาหน้าด้านๆ “ได้เหรอ”
ผมควันออกหู “เธอนี่มันเกินเยียวยาจริงๆ”
“ตรงไหนไม่ทราบห๊ะ แล้วนายจะมาเดือดร้อนด้วยทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
เทียนพูดเสียงฉุนๆ แล้วตั้งท่าจะเดินออกไป ผมรั้งท่อนแขนบางเอาไว้ทันที “ยังพูดไม่จบ”
“อะไรอีก” ยัยนั่นทำเสียงจิ๊ปากอย่างไม่พอใจ ชักสีหน้าถมึงทึงจ้องผมด้วยสายตาเดือดๆ ปนรำคาญ
“ถ้าคิดจะอยู่ที่นี่ก็อย่าแรด”
“แรด?” ยัยนั่นดวงตาลุกวาว สีหน้าเหมือนจะระเบิดออกมาแต่จู่ๆ ก็สะกดกลั้นความพลุ่งพล่านลงไปแล้วแสยะยิ้ม “ที่พูดเนี่ยเพราะว่าหวงเพื่อนหรือหวงก้าง”
พูดอะไรตลกๆ ผมแค่นยิ้ม “นอกจากจะแรดไม่เป็นที่เป็นทางแล้วยังหลงตัวเองเข้าขั้นสาหัสอีก”
“เรซ!”
“คิดว่าไอ้แฮคมันจริงจังกับเธอเหรอ ทั้งมันทั้งเฮียหมูก็แค่อยากเล่นกับเธอเท่านั้น ถ้าอยากเป็นขยะที่ถูกใช้แล้วทิ้งก็เชิญ”
หลังจากพูดสิ่งที่คิดออกไปจนหมด ผมหมุนตัวเดินออกมาอย่างไม่สนใจไยดีท่าทางแน่นิ่งเหมือนคนโดนจี้ดำของยัยนั่น แต่ยังไม่ทันก้าวพ้น เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้น
“เหมือนที่นายทำกับฉันน่ะเหรอ”
ผมหันกลับไปมองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาเรียวโตแดงก่ำคลอน้ำใสๆ ไม่รู้ทำไม ผมเห็นแล้วเหมือนลมหายใจโดนช่วงชิงไปชั่วขณะ
“นายก็ไม่ได้จริงจังกับฉันเหมือนกัน ในเมื่อฉันมันเป็นขยะ อย่าเผลอเอามือนายมาจับขยะอย่างฉันก็แล้วกัน”