รถออดี้สีขาวชะลอหน้าตึกเรียน
“ขอบคุณนะแฮคที่อุตส่าห์ไปรับถึงเซฟเฮาส์”
ฉันหันไปมองคนข้างๆ อย่างซาบซึ้ง แฮคแค่โบกมือตอบกลับมาแบบไม่ใส่ใจ “มีเรียนเหมือนกัน ยังไงก็ต้องมาอยู่แล้ว”
มันก็ต้องขับรถอ้อมเพื่อไปรับฉันอยู่ดีใช่มั้ยละ ฉันอยากท้วงออกไปแต่เพราะมีรถตามหลังมาทำให้ไม่มีเวลาลอยชาย สะพายกระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถ แฮคขับออกไปทันที ฉันมองตามครู่หนึ่งแล้วหันหน้าเดินเข้าตึก
“เทียน”
เสียงเรียกของใครสักคนดังขึ้นจากด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นคะนิ้งกำลังข้ามถนนหลังจากรถโล่ง สายตาของเธอมองตามท้ายรถออดี้สีขาวอย่างสงสัย
“นั่นรถแฮคหนิ ทำไมมาด้วยกันได้”
“อ๋อ…” ฉันมองสบตาอีกฝ่ายอย่างลังเล แต่พอเห็นแววตาที่เหมือนยังไม่รู้เรื่องของคะนิ้ง ฉันก็เลือกที่จะไม่พูดความจริง “พอดีว่าเจอกันระหว่างทาง แฮคก็เลยให้ติดรถมาด้วยน่ะ”
คะนิ้งพยักหน้า ถึงจะแสดงท่าทีงุนงงออกมาแต่ก็ไม่ได้ติดใจหรืออยากจะซักไซ้อะไรต่อ กระทั่งหัวข้อที่พูดคุยกันระหว่างเดินเข้าตึกก็เปลี่ยนไปอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันลอบมองใบหน้าใสซื่อของคนข้างๆ รู้สึกผิดกึ่งละอายนิดๆ ที่ไม่ได้บอกเรื่องที่ย้ายไปอยู่เซฟเฮาส์ให้ฟัง
“คะนิ้ง”
“หืม?” คะนิ้งหันมามองฉันทันที
“คือว่า”
“คะนิ้ง! เทียนนนน”
เสียงร้องร่าเริงดังขึ้นก่อนจะเห็นร่างอวบขึ้นเล็กน้อยของยัยเค้กสาวเท้ายาวๆ มาทางข้างตึก หน้าตาสดใสอย่างคนที่ไม่เคยมีเรื่องทุกข์ใจ เห็นทีไรก็ร่าเริงตลอด พอเค้กโผล่มาก็จ้อไม่หยุด ฉันเก็บเรื่องที่อยากบอกคะนิ้งไว้ในใจหันไปฟังเค้กโม้เรื่องของตัวเองแทน
เสียงอาจารย์กำลังบรรยายแนวคิดของนักปรัชญาคนหนึ่งอย่างจริงจังหน้าห้อง แต่นักศึกษาที่สนใจจริงๆ คงมีไม่ถึงครึ่ง ฉันคือหนึ่งในจำนวนคนที่ไม่ได้ฟัง นั่งเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์อย่างใจลอย ดูโน่นดูนี่ คุยไลน์กับแฮคเป็นระยะ หมอนั่นบอกเรียนเสร็จแล้ว กำลังช่วยรุ่นพี่เช็กหุ่นยนต์ที่ห้องคณะ จากนั้นก็เงียบไป
แฮคเป็นอัจฉริยะสินะ แถมหน้าตาก็ดีอีก ฐานะที่บ้านคงไม่ต้องพูดถึง และต่อให้ไม่ได้รวยมาตั้งแต่เกิด แต่การเป็นสมาชิกหลักเรดซันก็คงสร้างรายได้ให้ไม่น้อย แค่รถที่ขับก็บอกได้แล้ว ฉันไม่ได้สนใจเงินแฮคหรอก แค่วิเคราะห์เล่นๆ
การที่แฮคทำดีกับฉันขนาดนี้ มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ ว่า ถ้าฉันไม่ถูกเรซจับปล้ำซะก่อนฉันอาจจะสนใจแฮคจริงๆ
เมื่อเช้าก็มารับ เมื่อคืนก็มาอยู่เป็นเพื่อน ขอแค่บอกเท่านั้นแฮคก็เหมือนจะบันดาลทุกอย่างให้ฉันทันที ผิดกับอีกคน...
จะว่าไปเมื่อคืนแฮคกลับไปตอนไหนฉันก็ไม่รู้ กระทั่งตัวเองเผลอหลับและมาอยู่บนเตียงได้ยังไงยังจำไม่ได้
รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าแล้ว ฉันงัวเงียลุกขึ้นเข้าห้องน้ำพร้อมความสงสัยหลายอย่าง หนึ่งในนั้นมีเรื่องเรซพ่วงติดด้วย
เรซกลับมาเมื่อไหร่... กลับกี่โมง... แล้วได้เจอแฮคหรือเปล่า
แต่คำถามเหล่านั้นก็ได้รับคำตอบหลังจากขึ้นรถมากับแฮค แฮคบอกว่าเขาอยู่เป็นเพื่อนฉันจนเรซมา ประมาณตีหนึ่งตีสองก็กลับไป ฉันรู้สึกไม่ดีที่รบกวนเขาขนาดนั้น ถึงขนาดเอ่ยปากว่าวันหลังค้างที่นั่นเลยก็ได้ ขับรถดึกๆ ดื่นๆ มันอันตราย เซฟเฮาส์ก็มีห้องว่าง แต่แฮคดันยิ้มทะลึ่งแล้วพูดว่า ‘นอนได้ แต่นอนห้องเดียวกับเทียนนะ’ ฉันพูดต่อไม่ออกเลยจริงๆ
ฉันเลื่อนดูชื่อในช่องแชทอย่างใจลอยจนถึงชื่อเรซ นิ้วกลับชะงัก หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้สาเหตุ ชั่งใจครู่หนึ่งก่อนกดเข้าไปดู พอเห็นว่าข้อความที่ส่งไปก่อนหน้านี้ถูกอ่านแล้วหัวใจก็เต้นกระหน่ำอย่างรุนแรง แต่ความจริงที่ว่าเขาไม่ตอบอะไรก็เหมือนมีลมเย็นๆ ตบเข้าที่หน้า
นี่ฉันคาดหวังอะไรอยู่กัน ฉันผ่อนหายใจยาว ไม่รู้นึกอะไรเหมือนกันกดข้อความส่งให้หมอนั่นอีก
เทียน : ฉันทำกาแฟกับแซนวิสไว้ในครัว
เทียน : รีบมาเรียนเลยทำได้แค่นั้นแหละ
เทียน : เดี๋ยวตอนบ่ายจะออกไปซื้อของมาทำกับข้าวกับแฮค พวกนายจะมารวมกันกี่โมงจะได้กะเวลาถูก
เมื่อข้อความที่ส่งไม่มีทีท่าว่าจะถูกอ่าน ฉันก็แทบอยากปามือถือทิ้ง คิดไปคิดมาเหมือนฉันกำลังเรียกร้องความสนใจจากเรซยังไงยังงั้น ให้ตายสิ เขาจะเอายังไงกับฉันกันแน่ ไม่ใช่สิ... ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายคิดว่าจะเอายังไง ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันขบคิดเรื่องพวกนี้ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ เหมือนสุนัขที่กำลังวิ่งไล่กัดหางตัวเองเป็นวงกลม
“เทียนไปไหนต่อ”
“ห๊ะ”
ฉันหันไปมองคนพูดอย่างงุนงงก่อนจะเห็นคนอื่นๆ ลุกขึ้นเก็บของใส่กระเป๋าและกำลังทยอยออกจากห้องถึงรู้ว่าอาจารย์ปล่อยแล้ว ยัยเค้กเห็นหน้าเอ๋อๆ ของฉันก็ถอนหายใจใส่ทันที
“ใจลอยอีกแล้วสิ”
“อ้อ อื้มเมื่อกี้ถามว่าไปไหนต่อใช่มั้ย” ฉันแสร้งถามกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อืม”
“พอดีว่าจะไปซื้อของต่อน่ะ ทำไม”
“พวกนั้นชวนไปกินข้าว” เค้กพยักพเยิดไปทางเพื่อนผู้ชาย นิก ทิว และก็เลโอกำลังยืนรออยู่หน้าห้อง ฉันละสายตาจากพวกนั้นหันมามองคะนิ้ง
“นิ้งไปด้วยมั้ย”
“ไม่ได้ไป นัดริกไว้น่ะ” ยัยนั่นยิ้มแหยๆ ส่งสายตาให้ฉันกับเค้กอย่างรู้สึกผิด “อ๊ะ โทรมาพอดีเลย ขอตัวก่อนนะ”
ฉันกับเค้กมองตามคะนิ้งไปครู่หนึ่งแล้วเดินมาสมทบกับเพื่อนสามคนที่หน้าประตู พวกนั้นถามถึงคะนิ้งนิดหน่อยแต่พอรู้ว่าเธอมีนัดกับแฟนก็ไม่มีใครว่าอะไรอีก หัวข้อสนทนาเปลี่ยนมาพูดคุยเกี่ยวกับร้านอาหารที่จะไปกินแทน หลังออกจากลิฟต์ฉันก็ขอแยกตัว พวกผู้ชายตกใจนิดหน่อยเพราะนึกว่าฉันจะไปด้วย แต่เค้กช่วยพูดให้ว่าฉันติดธุระทุกคนเลยไม่ได้ตื๊ออะไรมาก
ฉันโทรหาแฮคระหว่างทางเดินเชื่อมตึก ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะไปหาที่ตึกวิศวะ แต่ว่าแฮคออกมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ตึกจอดรถ ฉันรีบตรงไปที่นั่นทันที ไม่อยากให้เขารอนาน
ไม่เกินห้านาทีก็ถึงลานจอดรถ ระหว่างที่กำลังมองหาแฮค สายตาก็ดันไปปะทะกับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินมาทางนี้เข้าโดยบังเอิญ
พี่แสง
ในอกฉันวูบโหวงไปหมด รีบหันหลังให้กลุ่มของพี่แสง จู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากเผชิญหน้าขึ้นมา ทว่าเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มนั้นกลับหยุดลงแทนที่จะผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแท้ๆ
ฉันรู้สึกสงสัยจึงหันกลับไปมองพอดีกับที่เสียงคนในกลุ่มดังขึ้นพร้อมกับสายตาที่มองมาอย่างล้อเลียน “มารอมึงหรือเปล่าวะแสง”
หน้าฉันร้อนวูบในระดับหนึ่ง เหมือนโดนพูดจากระทบแต่ก็ไม่อยากร้อนตัว กลั้นใจมองคนพูดให้ชัดๆ เพื่อจะยืนยันให้แน่ใจว่าได้พาดพิงถึงฉันหรือเปล่า
“ไปได้แล้ว” พี่แสงท่าทางไม่พอใจ เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก แต่เพื่อนเขาท่าทางยังสนุกไม่พอ
“ไม่คุยกับน้องหน่อยเหรอวะ”
“นั่นสิ น้องอาจจะอยากพูดอะไรกับมึงก็ได้นะโว้ย” อีกคนตะโกนขึ้นอย่างครึ้มใจ คำพูดอาจจะเหมือนหวังดีแต่น้ำเสียงไม่ใช่ ทุกคนในกลุ่มพี่แสงกำลังมองเย้ยฉันอยู่ต่างหาก
ที่ผ่านมาฉันไม่เคยได้รับสายตาดูถูกจากเพื่อนพี่แสงมาก่อน แต่ไม่แปลกใจหรอก มีตัวอย่างให้เห็นถมไป ที่ตอนรักกันหวานชื่นแต่พอเลิกกันกลับทำเหมือนหมา แค่คิดไม่ถึงว่ารุ่นพี่ที่ฉันเคยยอมรับนับถือจะมีนิสัยเลวแบบนี้
“มีเรื่องอะไร” ระหว่างที่ฉันถูกเพื่อนพี่แสงหัวเราะเยาะ เสียงเย็นยะเยือกก็ดังขึ้น
แฮคเต็มไปด้วยกลิ่นบุหรี่ เดินเข้ามาหยุดยืนข้างฉัน เรียกสายตาแปลกใจให้กลุ่มคนตรงหน้า โดยเฉพาะพี่แสง เขาหรี่ตามองฉันกับแฮคสลับกันด้วยสายตาเย็นชาเป็นพิเศษ ก่อนเดินออกไปคนแรกอย่างไม่พูดไม่จา
พอเห็นว่าตัวชูโรงไม่อยู่ พวกที่เหลือก็พากันสาวเท้าตามออกไปอย่างเซ็งๆ
“พวกนั้นเป็นอะไร” แฮคขมวดคิ้ว มองตามอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่มีอะไรหรอก รีบไปเถอะ”