ฉันมองหน้าตัวเองในกระจกอย่างนึกสงสัย รอยปากกาหายไปไหน? ทั่วทั้งหน้าเกลี้ยงเกลาไปหมด
แปลก...
จางไปเอง? ฉันเอียงคอครุ่นคิดก่อนตัดใจเดินมายืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำอุ่นๆ ไหลผ่านร่างแต่จิตใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
บางทีก็อาลัยอาวรณ์พี่แสง ความรู้สึกผิดวูบผ่านเข้ามาในใจอยู่บ่อยๆ แต่หดหู่ได้ไม่นานในหัวก็ปรากฏภาพใบหน้าของเรซแทรกขึ้นมา เสียงหัวเราะกับท่าทางผ่อนคลายบนเตียงของเรซวันนี้ทำให้ฉันเผลอยิ้มตาม หัวใจสั่นอย่างไม่รู้ตัว หยาดน้ำไหลเข้าปากทำให้ฉันได้สติ ตบแก้มตัวเองให้ตื่น รีบอาบรีบเสร็จ หยิบผ้าเช็ดตัวพันรอบอกแล้วตรงเข้าห้องตัวเอง
หลังตื่นมาบนเตียงเรซ ภายในห้องยังคงอับแสง แต่ก็ไม่ถึงกับมืดมาก เรซไม่อยู่ในห้องฉันไม่แปลกใจให้เขาอยู่สิแปลก… จากนั้นฉันก็คลานลงจากเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องเรซเข้าไปอาบน้ำ แล้วก็ย้ายมาที่ห้องตัวเองเนี่ยแหละ ใส่เสื้อผ้าเสร็จ ฉันก็ทิ้งตัวลงนั่งหน้าโต๊ะกระจก ทาครีมบำรุงหน้าตามปกติ
อ้าว... เอ๊ะ!?
ขวดคลีนซิ่งหายไปไหน จำได้ว่าวางอยู่ตรงนี้... ฉันกวาดตามองหาจนทั่วโต๊ะ เปิดลิ้นชัก ลุกขึ้นไปค้นกระเป๋าอย่างร้อนใจ แต่ไม่เจอเลย เดี๋ยว... นอกจากคลีนซิ่งขวดใหญ่จะหายไปแล้วสำลีก็หายด้วย ฉันกลับมานั่งจ้องหน้าตัวเองในกระจก ทบทวนความคิดในหัวใหม่อีกรอบ มองแก้มที่สะอาดหมดจดไม่มีแม้แต่รอยปากกาสักเส้น ในอกพลันอุ่นวาบ
ไม่หรอกน่า... จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง
ฉันเข้ามาในห้องเรซด้วยสมมติฐานเล็กๆ น้อยๆ ยังไงหมึกปากกาก็ไม่น่าจางได้เอง แล้วคลีนซิ่งอยู่ดีๆ จะหายไปได้ไง ฉันไม่ใช่คนขี้ลืมขนาดนั้นน่า
หัวใจฉันกระตุกวูบ ทันทีที่ไฟในห้องสว่างวาบก็เห็นขวดคลีนซิ่งกับสำลีบนโต๊ะข้างเตียง มีถังขยะอยู่ใกล้กับประตู พอก้าวเข้ามาดูก็มีสำลีที่ใช้แล้วอยู่หลายแผ่น แทบทุกแผ่นเปื้อนรอยดำๆ เหมือนสีปากกาเคมีที่เขียนอยู่บนหน้าฉัน
ตึกตัก ตึกตัก
ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง นึกถึงโมเมนต์ที่เช็ดหน้าให้เรซวันก่อนมุมปากเผยอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ตอนที่กำลังฝันหวาน ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา
เรซ...
เราทั้งคู่ประสานสายตากัน ฉันรู้สึกราวกับลมหายใจถูกขโมยไปชั่วขณะ ร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนเดินผ่านประตูเข้ามาหากแต่สายตาคมกริบยังชำเลืองมาทางฉันเป็นระยะ
“มีอะไร” เขาคงสังเกตเห็นสายตาที่มองตามของฉัน หรือไม่ก็สงสัยที่ฉันยืนเฝ้าถังขยะอยู่ก็ได้
เรซไม่ได้หยุดฟังคำตอบ ถามเสร็จก็หันไปหยิบนาฬิกา กระเป๋าตังค์ แล้วก็แจ็กเกตเดินกลับมาที่ประตู
“จะออกไปข้างนอกเหรอ” ฉันถาม
“อืม”
เสียงครางตอบในลำคออย่างไม่ใส่ใจ เรซเดินผ่านฉันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีเย็นชาเต็มไปด้วยระยะห่างที่ไม่อาจเข้าใกล้ทำให้ความตื่นเต้นก่อนหน้านี้เหมือนโดนกลบฝัง ฉันมองไหล่กว้างอย่างรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่แสดงอาการใดๆ ให้เห็น แม้แต่ความอ่อนโยนเพียงน้อยนิดจากแววตายังสัมผัสไม่ได้ แล้วเรซจะเป็นคนเช็ดรอยปากกาให้ฉันจริงเหรอ บอกตามตรงตอนนี้ฉันเริ่มไม่เชื่อมั่นในความคิดนั้นแล้วแม้ว่าหลักฐานทั้งหมดจะชี้ไปที่ตัวเขาก็ตาม
ฉันมองแผ่นหลังตรงหน้า กำลังจะอ้าปากถามให้หายคาใจแต่เรซเหมือนนึกอะไรได้ เขาหันกลับมา
“พรุ่งนี้ตอนเย็นทำอาหารเผื่อทุกคนด้วย หน้าที่เธออยู่แล้วหนิ”
“เอ๊ะ?” ฉันเลิกคิ้ว ยังไม่ทันจับต้นชนปลายถูกร่างสูงก็หันกลับไป เดินลงบันไดอย่างไว
“เรซเดี๋ยวสิ…”
ฉันสาวเท้าตามเขาลงมา แต่กว่าจะตามทันเขาก็เดินไปถึงประตูบ้านแล้ว ฉันรีบคว้าชายเสื้อด้านหลังเรซก่อนที่เขาจะออกประตูไป
“….” นัยน์ตาคมกริบมองกลับมาเงียบๆ แรงบีบคั้นประหลาดทำให้ฉันลืมเรื่องที่อยากจะพูด พลั้งถามออกไปอย่างกังวล
“นายไปข้างนอกแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่”
นี่มันก็จะเย็นแล้ว ฉันนึกถึงบรรยากาศเย็นเยียบกลางดึกนอกบ้านเมื่อคืนแล้วอดร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้
มันต่างจากตอนที่เรซจับฉันโยนออกนอกบ้าน ถึงจะกลางดึกเหมือนกันแต่อย่างน้อยตอนนั้นฉันก็รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ยังมีเพื่อน …ไม่เหมือนอยู่คนเดียว
“ทำไม” เรซเอียงคอ สายตาเย็นชาหรี่ลงอย่างไม่พอใจนัก ฉันกำชายเสื้อเขาแน่น อ้อนวอนแกมขอร้องเผยด้านอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็นอย่างไม่คิดจะรักษาหน้า
“อย่ากลับดึกได้มั้ย ที่นี่เวลามืดแล้วมันน่ากลัว ฉันไม่ชอบที่ต้องอยู่คนเดียว”
“กลัวอะไร” เรซก้าวออกไปอย่างรำคาญ ชายเสื้อที่จับอยู่หลุดมือทันที ฉันรีบตะโกนออกไปแบบไม่คิด
“งั้นให้ฉันไปกับนายสิ ขอฉันไปหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์”
“ไม่ได้!”
เสียงฉุนๆ ดังขัดขึ้นก่อนที่ฉันจะพูดเสร็จ สายตาเย็นชาเขม่นมองราวกับจะฝังใครสักคนให้จมดิน ฉันรับรู้ได้ถึงกระแสความไม่พอใจจากอีกฝ่าย เม้มริมฝีปากมองตอบแววตาวาวโรจน์อย่างไม่กล้าขยับ
เรซจ้องฉันราวกับจะเตือนให้รู้ขอบเขตของตัวเอง เป็นแววตาที่จ้องแต่จะผลักไสฉันออกห่าง ฉันรู้สึกปวดหนึบและเสียใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ขาเจ้ากรรมก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดแผ่นหลังของคนที่กำลังจะเดินจากไปไว้
“เรซ”
ร่างสูงชะงักค้าง ยืนนิ่งราวกับเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ผลักฉันออกในทันที ราวกับกำลังใช้เวลาไตร่ตรองการกระทำของฉันอยู่
ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กดความสิ้นหวังที่คอยฉุดรั้งความรู้สึก รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาอย่างคนไม่รู้จักจำ
“ไม่ไปได้มั้ย”
“อย่างี่เง่า” เรซแกะมือฉันออก เดินไปขึ้นรถอย่างไร้เยื่อใย
“เรซ”
คำพูดห่างเหินเย็นชาบอกให้รู้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเหมือนหนามเกี่ยวรัดในอก ฉันยืนมองท้ายรถบีเอ็มดับเบิลยูสีเหลืองแล่นออกนอกรั้วบ้าน ขอบตาแสบรื้น
ต่อให้พยายามไม่คิดถึงแค่ไหน คำว่า ‘อย่างี่เง่า’ ของเรซก็เวียนวนอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน ความทรงจำตั้งแต่วันแรกที่พบกันไหลบ่าเข้ามาเป็นสาย ฉันถึงขั้นอยู่ไม่สุข เหวี่ยงผ้าเช็ดฝุ่นในมือทิ้ง เดินมานั่งจุมปุ้กบนโซฟา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังว่าจะช่วยคลายความหงุดหงิดลงบ้าง ไม่รู้เลยว่าในเฟซบุ๊กก็มีเผือกอุ่นๆ รออยู่เหมือนกัน
ภาพถ่ายพี่แสงกับผู้หญิงหน้าตาน่ารักเด้งขึ้นมาทิ่มตาฉันทันทีที่เปิดเข้าไปในเฟซบุ๊ก มันเป็นภาพที่ถูกแท็กมาจากเฟซบุ๊กพะแพงอีกที
หัวใจฉันกระตุกวูบ เหมือนถูกเหล็กกระแทกหน้ามึนชาไปชั่วขณะ กดอ่านคอมเมนต์อย่างช่วยไม่ได้
พะแพง : อะไรยังไง แอบไปดูหนังกันสองคนไม่ชวน
น้ำชา : แอบถ่ายตอนไหนเนี่ย
ผู้หญิงในรูปเมนต์ตอบ น้ำชาเป็นเพื่อนคณะเดียวกับพะแพงแต่ไม่ค่อยเห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉันลองเข้าไปส่องเฟซบุ๊กก็รู้ว่ามีคนติดตามเป็นพัน ถึงรูปร่างหน้าตาจะไม่ได้สวยมากแต่ก็ดูดีมีชาติตระกูลผู้ชายคนไหนได้ควงไม่เสียชื่อแน่นอน
ฉันไล่สายตาอ่านคอมเมนต์อย่างไม่ค่อยเข้าหัวนัก ถึงพี่แสงจะแค่กดถูกใจรูปโดยไม่ได้พูดอะไร แต่มันก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าเราห่างไกลกันขึ้นทุกที ความรู้สึกเหงาแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ ฉันนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาอย่างเซื่องซึม
Line! ~
เสียงแจ้งเตือนทำให้ฉันได้สติ พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าข้างนอกมืดลงแล้ว นาฬิกาบนจอบอกเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที ลมหายใจหยาบๆ ถูกพ่นออกมา เปิดไลน์ที่เด้งเตือนขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน
ลูกกอล์ฟ : อิเจ้ เป็นไงเนี่ยหายไปเลยนะ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นไหนเล่า
เทียน : เฉยๆ
ลูกกอล์ฟ : อะไรเฉยๆ ออกจะแซ่บขนาดนั้นนะยะ
เทียน : ก็บอกแล้วไงไม่ได้เป็นอะไรกับฮาน
ลูกกอล์ฟ : ยังจะปากแข็งอีก ไม่ต้องปิดบังเพื่อนเลย บอกมาให้หมด
ลูกกอล์ฟ : พี่แสงก็เปิดตัวแล้ว แกก็อย่าให้น้อยหน้าเซ่
อีลูกกอล์ฟบ้าไปแล้ว ยุอะไรไม่เข้าเรื่อง มันคงเห็นรูปในเฟซบุ๊กแล้วแน่ๆ น่าเสียดายที่ฉันไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น หรือจะให้พูดความจริง ฉันจะเอาอะไรไปสู้เขาได้แค่รูปร่างหน้าตาอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น
ฉันมองข้อความบนจออย่างเหนื่อยใจ ปล่อยไว้แบบนั้นโดยไม่คิดจะตอบ สักพักแฮคก็โทรมา อันนี้แปลกใจของจริง แต่พอรับสายถึงรู้ว่าเขาโทรมาเพราะกังวลเรื่องที่ฉันไลน์หาเมื่อคืนแล้วเขาไม่ได้อ่าน ถึงฉันจะบอกไม่เป็นไร แต่แฮคก็ยังกังวลจนต้องโทรมา ดีเหมือนกัน กำลังอยากได้เพื่อนคุยอยู่พอดี
ได้คุยกับแฮคอารมณ์ที่ขมุกขมัวของฉันก็เริ่มสดใสขึ้น เราคุยกันนานขนาดที่เวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไม่รู้พูดอะไรออกไปบ้าง แต่หลังจากวางสายไม่เกินสองชั่วโมงก็มีเสียงรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน
“แฮค...”
ฉันแง้มประตูเปิดดู รู้สึกตกใจที่เห็นเขายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า บอกไม่ถูกว่ากำลังยินดีหรือลำบากใจ ฉันแค่บ่นใส่โทรศัพท์ว่าอยู่คนเดียวมันน่ากลัว คิดไม่ถึงเลยว่าแฮคจะมาหาจริงๆ
“มาอยู่เป็นเพื่อน” แฮคเอ่ย พลางยิ้มด้วยแววตาพราวระยับ
“อื้อ” ฉันพยักหน้า ก่อนหลีกทางให้เขาเข้ามา