สัมผัสร้าย 8 ไม่รู้ตัวเลยว่า... (4)

1745 คำ
ฉันมองหน้าตัวเองในกระจกอย่างนึกสงสัย รอยปากกาหายไปไหน? ทั่วทั้งหน้าเกลี้ยงเกลาไปหมด แปลก... จางไปเอง? ฉันเอียงคอครุ่นคิดก่อนตัดใจเดินมายืนใต้ฝักบัว เปิดน้ำอุ่นๆ ไหลผ่านร่างแต่จิตใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ลอยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ บางทีก็อาลัยอาวรณ์พี่แสง ความรู้สึกผิดวูบผ่านเข้ามาในใจอยู่บ่อยๆ แต่หดหู่ได้ไม่นานในหัวก็ปรากฏภาพใบหน้าของเรซแทรกขึ้นมา เสียงหัวเราะกับท่าทางผ่อนคลายบนเตียงของเรซวันนี้ทำให้ฉันเผลอยิ้มตาม หัวใจสั่นอย่างไม่รู้ตัว หยาดน้ำไหลเข้าปากทำให้ฉันได้สติ ตบแก้มตัวเองให้ตื่น รีบอาบรีบเสร็จ หยิบผ้าเช็ดตัวพันรอบอกแล้วตรงเข้าห้องตัวเอง หลังตื่นมาบนเตียงเรซ ภายในห้องยังคงอับแสง แต่ก็ไม่ถึงกับมืดมาก เรซไม่อยู่ในห้องฉันไม่แปลกใจให้เขาอยู่สิแปลก… จากนั้นฉันก็คลานลงจากเตียงหยิบผ้าเช็ดตัวในห้องเรซเข้าไปอาบน้ำ แล้วก็ย้ายมาที่ห้องตัวเองเนี่ยแหละ ใส่เสื้อผ้าเสร็จ ฉันก็ทิ้งตัวลงนั่งหน้าโต๊ะกระจก ทาครีมบำรุงหน้าตามปกติ อ้าว... เอ๊ะ!? ขวดคลีนซิ่งหายไปไหน จำได้ว่าวางอยู่ตรงนี้... ฉันกวาดตามองหาจนทั่วโต๊ะ เปิดลิ้นชัก ลุกขึ้นไปค้นกระเป๋าอย่างร้อนใจ แต่ไม่เจอเลย เดี๋ยว... นอกจากคลีนซิ่งขวดใหญ่จะหายไปแล้วสำลีก็หายด้วย ฉันกลับมานั่งจ้องหน้าตัวเองในกระจก ทบทวนความคิดในหัวใหม่อีกรอบ มองแก้มที่สะอาดหมดจดไม่มีแม้แต่รอยปากกาสักเส้น ในอกพลันอุ่นวาบ ไม่หรอกน่า... จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ฉันเข้ามาในห้องเรซด้วยสมมติฐานเล็กๆ น้อยๆ ยังไงหมึกปากกาก็ไม่น่าจางได้เอง แล้วคลีนซิ่งอยู่ดีๆ จะหายไปได้ไง ฉันไม่ใช่คนขี้ลืมขนาดนั้นน่า หัวใจฉันกระตุกวูบ ทันทีที่ไฟในห้องสว่างวาบก็เห็นขวดคลีนซิ่งกับสำลีบนโต๊ะข้างเตียง มีถังขยะอยู่ใกล้กับประตู พอก้าวเข้ามาดูก็มีสำลีที่ใช้แล้วอยู่หลายแผ่น แทบทุกแผ่นเปื้อนรอยดำๆ เหมือนสีปากกาเคมีที่เขียนอยู่บนหน้าฉัน ตึกตัก ตึกตัก ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรง นึกถึงโมเมนต์ที่เช็ดหน้าให้เรซวันก่อนมุมปากเผยอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ตอนที่กำลังฝันหวาน ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา เรซ... เราทั้งคู่ประสานสายตากัน ฉันรู้สึกราวกับลมหายใจถูกขโมยไปชั่วขณะ ร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนเดินผ่านประตูเข้ามาหากแต่สายตาคมกริบยังชำเลืองมาทางฉันเป็นระยะ “มีอะไร” เขาคงสังเกตเห็นสายตาที่มองตามของฉัน หรือไม่ก็สงสัยที่ฉันยืนเฝ้าถังขยะอยู่ก็ได้ เรซไม่ได้หยุดฟังคำตอบ ถามเสร็จก็หันไปหยิบนาฬิกา กระเป๋าตังค์ แล้วก็แจ็กเกตเดินกลับมาที่ประตู “จะออกไปข้างนอกเหรอ” ฉันถาม “อืม” เสียงครางตอบในลำคออย่างไม่ใส่ใจ เรซเดินผ่านฉันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีเย็นชาเต็มไปด้วยระยะห่างที่ไม่อาจเข้าใกล้ทำให้ความตื่นเต้นก่อนหน้านี้เหมือนโดนกลบฝัง ฉันมองไหล่กว้างอย่างรู้สึกผิดหวังที่เขาไม่แสดงอาการใดๆ ให้เห็น แม้แต่ความอ่อนโยนเพียงน้อยนิดจากแววตายังสัมผัสไม่ได้ แล้วเรซจะเป็นคนเช็ดรอยปากกาให้ฉันจริงเหรอ บอกตามตรงตอนนี้ฉันเริ่มไม่เชื่อมั่นในความคิดนั้นแล้วแม้ว่าหลักฐานทั้งหมดจะชี้ไปที่ตัวเขาก็ตาม ฉันมองแผ่นหลังตรงหน้า กำลังจะอ้าปากถามให้หายคาใจแต่เรซเหมือนนึกอะไรได้ เขาหันกลับมา “พรุ่งนี้ตอนเย็นทำอาหารเผื่อทุกคนด้วย หน้าที่เธออยู่แล้วหนิ” “เอ๊ะ?” ฉันเลิกคิ้ว ยังไม่ทันจับต้นชนปลายถูกร่างสูงก็หันกลับไป เดินลงบันไดอย่างไว “เรซเดี๋ยวสิ…” ฉันสาวเท้าตามเขาลงมา แต่กว่าจะตามทันเขาก็เดินไปถึงประตูบ้านแล้ว ฉันรีบคว้าชายเสื้อด้านหลังเรซก่อนที่เขาจะออกประตูไป “….” นัยน์ตาคมกริบมองกลับมาเงียบๆ แรงบีบคั้นประหลาดทำให้ฉันลืมเรื่องที่อยากจะพูด พลั้งถามออกไปอย่างกังวล “นายไปข้างนอกแล้วจะกลับมาเมื่อไหร่” นี่มันก็จะเย็นแล้ว ฉันนึกถึงบรรยากาศเย็นเยียบกลางดึกนอกบ้านเมื่อคืนแล้วอดร้อนๆ หนาวๆ ไม่ได้ มันต่างจากตอนที่เรซจับฉันโยนออกนอกบ้าน ถึงจะกลางดึกเหมือนกันแต่อย่างน้อยตอนนั้นฉันก็รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน ต่อให้เกิดอะไรขึ้นก็ยังมีเพื่อน …ไม่เหมือนอยู่คนเดียว “ทำไม” เรซเอียงคอ สายตาเย็นชาหรี่ลงอย่างไม่พอใจนัก ฉันกำชายเสื้อเขาแน่น อ้อนวอนแกมขอร้องเผยด้านอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็นอย่างไม่คิดจะรักษาหน้า “อย่ากลับดึกได้มั้ย ที่นี่เวลามืดแล้วมันน่ากลัว ฉันไม่ชอบที่ต้องอยู่คนเดียว” “กลัวอะไร” เรซก้าวออกไปอย่างรำคาญ ชายเสื้อที่จับอยู่หลุดมือทันที ฉันรีบตะโกนออกไปแบบไม่คิด “งั้นให้ฉันไปกับนายสิ ขอฉันไปหยิบกระเป๋ากับโทรศัพท์” “ไม่ได้!” เสียงฉุนๆ ดังขัดขึ้นก่อนที่ฉันจะพูดเสร็จ สายตาเย็นชาเขม่นมองราวกับจะฝังใครสักคนให้จมดิน ฉันรับรู้ได้ถึงกระแสความไม่พอใจจากอีกฝ่าย เม้มริมฝีปากมองตอบแววตาวาวโรจน์อย่างไม่กล้าขยับ เรซจ้องฉันราวกับจะเตือนให้รู้ขอบเขตของตัวเอง เป็นแววตาที่จ้องแต่จะผลักไสฉันออกห่าง ฉันรู้สึกปวดหนึบและเสียใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ขาเจ้ากรรมก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดแผ่นหลังของคนที่กำลังจะเดินจากไปไว้ “เรซ” ร่างสูงชะงักค้าง ยืนนิ่งราวกับเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ผลักฉันออกในทันที ราวกับกำลังใช้เวลาไตร่ตรองการกระทำของฉันอยู่ ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก กดความสิ้นหวังที่คอยฉุดรั้งความรู้สึก รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมาอย่างคนไม่รู้จักจำ “ไม่ไปได้มั้ย” “อย่างี่เง่า” เรซแกะมือฉันออก เดินไปขึ้นรถอย่างไร้เยื่อใย “เรซ” คำพูดห่างเหินเย็นชาบอกให้รู้ว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเหมือนหนามเกี่ยวรัดในอก ฉันยืนมองท้ายรถบีเอ็มดับเบิลยูสีเหลืองแล่นออกนอกรั้วบ้าน ขอบตาแสบรื้น ต่อให้พยายามไม่คิดถึงแค่ไหน คำว่า ‘อย่างี่เง่า’ ของเรซก็เวียนวนอยู่ในหัวไม่หยุดหย่อน ความทรงจำตั้งแต่วันแรกที่พบกันไหลบ่าเข้ามาเป็นสาย ฉันถึงขั้นอยู่ไม่สุข เหวี่ยงผ้าเช็ดฝุ่นในมือทิ้ง เดินมานั่งจุมปุ้กบนโซฟา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังว่าจะช่วยคลายความหงุดหงิดลงบ้าง ไม่รู้เลยว่าในเฟซบุ๊กก็มีเผือกอุ่นๆ รออยู่เหมือนกัน ภาพถ่ายพี่แสงกับผู้หญิงหน้าตาน่ารักเด้งขึ้นมาทิ่มตาฉันทันทีที่เปิดเข้าไปในเฟซบุ๊ก มันเป็นภาพที่ถูกแท็กมาจากเฟซบุ๊กพะแพงอีกที หัวใจฉันกระตุกวูบ เหมือนถูกเหล็กกระแทกหน้ามึนชาไปชั่วขณะ กดอ่านคอมเมนต์อย่างช่วยไม่ได้ พะแพง : อะไรยังไง แอบไปดูหนังกันสองคนไม่ชวน น้ำชา : แอบถ่ายตอนไหนเนี่ย ผู้หญิงในรูปเมนต์ตอบ น้ำชาเป็นเพื่อนคณะเดียวกับพะแพงแต่ไม่ค่อยเห็นไปไหนมาไหนด้วยกัน ฉันลองเข้าไปส่องเฟซบุ๊กก็รู้ว่ามีคนติดตามเป็นพัน ถึงรูปร่างหน้าตาจะไม่ได้สวยมากแต่ก็ดูดีมีชาติตระกูลผู้ชายคนไหนได้ควงไม่เสียชื่อแน่นอน ฉันไล่สายตาอ่านคอมเมนต์อย่างไม่ค่อยเข้าหัวนัก ถึงพี่แสงจะแค่กดถูกใจรูปโดยไม่ได้พูดอะไร แต่มันก็ทำให้ฉันตระหนักได้ว่าเราห่างไกลกันขึ้นทุกที ความรู้สึกเหงาแทรกซึมเข้าสู่หัวใจ ฉันนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาอย่างเซื่องซึม Line! ~ เสียงแจ้งเตือนทำให้ฉันได้สติ พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าข้างนอกมืดลงแล้ว นาฬิกาบนจอบอกเวลาหนึ่งทุ่มสิบนาที ลมหายใจหยาบๆ ถูกพ่นออกมา เปิดไลน์ที่เด้งเตือนขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน ลูกกอล์ฟ : อิเจ้ เป็นไงเนี่ยหายไปเลยนะ เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นไหนเล่า เทียน : เฉยๆ ลูกกอล์ฟ : อะไรเฉยๆ ออกจะแซ่บขนาดนั้นนะยะ เทียน : ก็บอกแล้วไงไม่ได้เป็นอะไรกับฮาน ลูกกอล์ฟ : ยังจะปากแข็งอีก ไม่ต้องปิดบังเพื่อนเลย บอกมาให้หมด ลูกกอล์ฟ : พี่แสงก็เปิดตัวแล้ว แกก็อย่าให้น้อยหน้าเซ่ อีลูกกอล์ฟบ้าไปแล้ว ยุอะไรไม่เข้าเรื่อง มันคงเห็นรูปในเฟซบุ๊กแล้วแน่ๆ น่าเสียดายที่ฉันไม่ชอบทำอะไรแบบนั้น หรือจะให้พูดความจริง ฉันจะเอาอะไรไปสู้เขาได้แค่รูปร่างหน้าตาอย่างเดียวก็ใช่ว่าจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น ฉันมองข้อความบนจออย่างเหนื่อยใจ ปล่อยไว้แบบนั้นโดยไม่คิดจะตอบ สักพักแฮคก็โทรมา อันนี้แปลกใจของจริง แต่พอรับสายถึงรู้ว่าเขาโทรมาเพราะกังวลเรื่องที่ฉันไลน์หาเมื่อคืนแล้วเขาไม่ได้อ่าน ถึงฉันจะบอกไม่เป็นไร แต่แฮคก็ยังกังวลจนต้องโทรมา ดีเหมือนกัน กำลังอยากได้เพื่อนคุยอยู่พอดี ได้คุยกับแฮคอารมณ์ที่ขมุกขมัวของฉันก็เริ่มสดใสขึ้น เราคุยกันนานขนาดที่เวลาล่วงเลยไปเกือบชั่วโมงยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไม่รู้พูดอะไรออกไปบ้าง แต่หลังจากวางสายไม่เกินสองชั่วโมงก็มีเสียงรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน “แฮค...” ฉันแง้มประตูเปิดดู รู้สึกตกใจที่เห็นเขายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า บอกไม่ถูกว่ากำลังยินดีหรือลำบากใจ ฉันแค่บ่นใส่โทรศัพท์ว่าอยู่คนเดียวมันน่ากลัว คิดไม่ถึงเลยว่าแฮคจะมาหาจริงๆ “มาอยู่เป็นเพื่อน” แฮคเอ่ย พลางยิ้มด้วยแววตาพราวระยับ “อื้อ” ฉันพยักหน้า ก่อนหลีกทางให้เขาเข้ามา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม