เสียงปืนที่ดังขึ้นกะทันหันทำเอาหัวใจกระตุกวูบ ฉันร้องเสียงหลง กุมสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น พร้อมกันนั้นเสียงระเบิดของเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่มรอบด้าน รู้ตัวอีกทีรถก็พุ่งทะยานไปด้วยความเร็วที่ชวนหัวใจสั่น
“ลูอิส…”
ฉันมองทางข้างหน้าอย่างหวาดเสียว รถลูอิสวิ่งอยู่กลางเลน มีรถพุ่งแซงทั้งฝั่งซ้ายฝั่งขวาไม่หยุด แล้วลูอิสก็เร่งความเร็วขึ้นอีก ฉันกรีดร้องอย่างตกใจเมื่อเขาเร่งขึ้นไปจ่อท้ายรถคันข้างหน้าแต่กลับเป็นทางโค้งพอดี รถคันข้างหน้าจึงปาดเข้าโค้งปิดไลน์การวิ่งทำให้ลูอิสแซงไม่ได้แถมยังต้องบังคับรถไม่ให้ชน เขาควงพวงมาลัย สับเท้าเหยียบเบรกกับคันเร่งมั่วไปหมด เบี่ยงรถออกไปฝั่งขวาอุตลุดเกือบกระแทกกับรถคันข้างหลังที่พุ่งแซงขึ้นมา โชคดีที่ฝั่งนั้นหักหลบทันทำให้รอดอย่างหวุดหวิด หัวใจฉันก็จะวายตาม
ถนนถูกปกคลุมไปด้วยความบ้าคลั่ง การแข่งขันล่วงเข้าสู่ช่วงท้ายเกมอย่างรวดเร็ว เหลือรถไม่กี่คันที่ขับเคี่ยวกันในกลุ่มของผู้นำ และหนึ่งในนั้นมีรถของลูอิสอยู่ด้วย
“มาดูสิว่าใครจะเจ๋งที่สุด” แววตาลูอิสกระหายในชัยชนะ เขาหันมามองฉันแวบหนึ่ง ฉันหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมากะทันหันรีบตะโกนบอกให้เขามองทางข้างหน้า ลูอิสถึงกับหัวเราะลั่นกับท่าทางหวาดกลัวจนตัวเกร็งของฉัน พอฉันออกอาการฉุนใส่เขาก็รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นเอ็นดูฉันแทน
“อย่าโกรธเลยน่า ถ้าไม่ชอบความเร็วรอบหน้าค่อยไปนั่งรถเล่นสบายๆ กัน ดีมั้ย?”
นี่มันตบหัวแล้วลูบหลังแบบหวังผลชัดๆ ฉันมองรอยยิ้มขี้เล่นของลูอิสแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแบบเหนื่อยหน่ายใส่เขา ลูอิสไม่ได้รบเร้าเอาคำตอบ บางทีเขาอาจแค่พูดเล่นขำๆ ให้ฉันสบายใจก็ได้ สมาธิทั้งหมดของลูอิสจดจ่ออยู่กับเส้นทางข้างหน้า พยายามขับปาดรถอีกคันเพื่อจะขึ้นแซงแต่ทันใดนั้นรถสีขาวที่จี้ท้ายตามมาติดๆ ก็เบียดขึ้นมาตีคู่ตรงทางโค้ง แต่คราวนี้ลูอิสไม่ปล่อยให้ตัวเองหลุดไปอยู่เลนนอกง่ายๆ เขาไม่ยอมเปิดทาง ทำให้รถสีขาวที่พยายามเข้าเลนในโดนบี้จังหวะนั้นคิดว่าต้องตกไหล่ทางแน่ๆ ก็เกิดแรงกระแทกโครมเข้าที่ฝั่งของฉัน หัวใจฉันร่วงไปอยู่ตาตุ่ม กรีดร้องอย่างตกใจ รถลูอิสส่ายไปมาอย่างเสียหลัก ฉันจิกเท้าจนเกร็ง เหงื่อแตกพลั่กไปด้วยความหวาดกลัว
“ไอ้เวรเรซ”
ลูอิสสบถเสียงฉุนระหว่างที่บังคับรถที่สะบัดเกือบหลุดโค้งให้กลับเข้ามาในไลน์วิ่ง ฉันเย็นสันหลังวาบ หันขวับไปจ้องลูอิสอย่างกระสับกระส่าย
“เมื่อกี้เรซเป็นคนขับเหรอ”
“ใช่ ไอ้เวรนั่นมันไม่รู้จักออมมือจริงๆ ให้ตายสิ น่าจะรู้ว่ามีผู้หญิงมาด้วย” ลูอิสส่ายหน้าเอือมระอา ต่อให้อยากชนะมากแค่ไหน ความปลอดภัยก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งสำหรับลูอิส
เหตุสุดวิสัยที่โค้งสุดท้ายทำให้รถลูอิสเข้าเส้นชัยเป็นคันที่ห้า ห่างจากคันแรกไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ เสียงโห่เชียร์แสดงความยินดีกับคนได้ที่หนึ่งดังเซ็งแซ่ไม่ขาดสาย
ฉันลงจากรถด้วยอาการมึนๆ เข่าอ่อนวูบจะล้มอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ ไหวหรือเปล่า” หมอนั่นเข้ามาโอบหลังฉันไว้อย่างเป็นห่วง ฉันกะพริบตาปริบ ก่อนผลักร่างสูงออกห่างแบบเกรงใจ
“ไม่เป็นไร แค่เวียนหัวน่ะ”
“อยากอ้วกหรือเปล่า”
ฉันส่ายหน้าปฏิเสธถึงจะรู้สึกป่วนมวนในท้องอยู่มากก็เถอะ
“เฮ้ลูอิส”
เสียงตะโกนเรียกชื่อลูอิสดังขึ้น เจเดนเดินอาดๆ เข้ามาด้วยสีหน้าร่าเริงโดยมีคนที่ฉันเกลียดมากที่สุดเดินตามมาด้านหลัง
…เรซ
ฉันจ้องเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ เมื่อนึกถึงวินาทีที่รถโดนกระแทกอารมณ์โกรธก็พุ่งปี๊ดจนอยากพุ่งเข้าไปตั๊นหน้าสักหมัดสองหมัด
“เกิดอะไรขึ้นวะ แวะดื่มนมกลางทางหรือไงถึงได้ช้าขนาดนี้ เห็นไล่ตามมาติดๆ ไอ้เราก็นึกกลัวว่าแม่งเอาจริงว่ะ แต่ที่ไหนได้ท่าดีทีเหลวชัดๆ ฮ่าๆ” เจเดนตบไหล่ลูอิสป้าบๆ ทำไมถึงปากหมาขนาดนี้เนี่ย แต่ท่าทางลูอิสไม่ถือสาหรือปลงแล้วก็ไม่รู้ เขาแค่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับความพ่ายแพ้แล้วเดินเข้าไปหาเรซ
“ไม่เอาจริงเกินไปหน่อยเหรอวะ ถ้าชนขึ้นมามันไม่คุ้มนะโว้ย”
“โทษที ชอบเผลอเอาจริงเวลาแข่ง”
เรซตอบด้วยท่าทางสบายๆ ลูอิสก็ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ ไม่ติดใจเอาความกับสิ่งที่เกิดขึ้น เดี๋ยวสิ… หมอนั่นเกือบจะทำให้เกิดอุบัติเหตุบนสนามแข่งเชียวนะ
“ประมาทไม่ได้จริงๆ เลยสิน่าพวกเรดซัน ได้ข่าวว่าถูกถอดสิทธิ์ออกจากรายการแข่งใหญ่ๆ คงจะคันไม้คันมือกันน่าดูเลยสิท่า” เจเดนพูดแทรกไม่รู้ว่าเจตนาแซวหรือแดกดัน แต่สีหน้าเรซไม่เปลี่ยนจากเดิมเลยสักนิด ต่อให้ใครพูดอะไรก็แค่ทำหน้านิ่งๆ ตอบกลับไป ระหว่างนั้นก็มีคนสวมชุดแข่งเดินเข้ามามะรุมมะตุ้มเรซกับลูอิสจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร
ฉันฟังที่พวกนั้นคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้สึกเวียนหัวไม่หาย ตั้งใจจะหลบออกไปสูดอากาศเงียบๆ แต่ลูอิสดันสังเกตเห็นซะก่อน
“เทียนไม่ไหวแล้วเหรอ”
“เอ๊ะ… อืมว่าจะไปห้องน้ำหน่อย”
“ไปถูกเหรอ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“เห... จะหลบไปสวีทกันสองคนละสิมึงไม่ต้องเลย” ผู้ชายผมทองที่กำลังคุยกับลูอิสส่งเสียงล้อพลอยทำให้คนอื่นๆ รับลูกต่อด้วยการผิวปากแซวอย่างสนุกสนาน ฉันยิ้มเก้อๆ ในขณะที่ลูอิสส่งสายตาปรามพรรคพวกตัวเองให้หยุดเพราะกลัวทำให้ฉันลำบากใจ
“ไม่เป็นไรค่ะลูอิส เทียนไปเองได้”
“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอก ผมเป็นคนฉกตัวเทียนมาจากฮาน ถ้าหมอนั่นรู้ว่าผมดูแลเพื่อนมันไม่ดี มันต้องด่าผมเละแน่ๆ”
“ไม่หรอกน่า คิดมากไปแล้ว” ฉันปลอบใจลูอิสด้วยรอยยิ้มขำขันก่อนรุดหน้าเดินออกมาอย่างไม่รีรอแต่ลูอิสก็ยังทำท่าจะเดินตาม
“ไปด้วยกันสิ กำลังจะไปห้องน้ำพอดี”
กระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นลูอิสถึงหยุดและไม่ใช่แค่ลูอิสฉันเองก็ชะงักเหมือนกัน เราทั้งคู่ต่างหันไปมองคนพูดด้วยสายตากังขา เรซเดินเข้ามาหยุดข้างๆ มองฉันกับลูอิสด้วยสายตาเรียบสนิท
“จะไปห้องน้ำเหรอ” ลูอิสถามย้ำ
“อืม”
เรซตอบลูอิสเสร็จก็ส่งสายตาไล่ต้อนให้ฉันออกเดิน ฉันสบสายตาคมกริบอย่างไม่ไว้ใจ กำลังจะบอกปัดหมอนั่นก็เอื้อมมือมาดึงแขนฉันให้เดิมตามดื้อๆ
“ไปได้แล้ว”
“เรซ นี่! อะไรของนายเนี่ยปล่อยนะ”
“เธอนี่มันเก่งเรื่องยั่วผู้ชายจริงๆ” พอเดินห่างออกมาจากกลุ่มนักแข่ง เรซก็พ่นไฟใส่ฉันทันที ไอ้บ้านี่!
“ว่าไงนะ” หน้าฉันชาวาบรู้สึกโกรธจนควันออกหู “อย่าบอกนะที่ชนรถลูอิสเพราะว่านายตั้งใจ นายแกล้งฉันใช่มั้ย”
“พล่ามบ้าอะไรของเธอ ฉันจะทำไปเพื่ออะไร”
“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมต้องชน อย่าบอกว่านายไม่รู้ว่านั่นรถลูอิส”
“แล้วไง”
เรซตอบกลับมาหน้าตาเฉย ทำเอาอารมณ์ฉันเดือดพล่านไปหมด ผลักอกหมอนั่นไปทีหนึ่ง
“พูดงี้ได้ไง ถ้าเป็นอะไรขึ้นมานายรับผิดชอบไหวมั้ย”
“ที่เธอโกรธเนี่ย เพราะโมโหที่ผู้ชายของเธอไม่ชนะหรือว่ากลัวตายกันแน่”
“อย่ามาพูดบ้าๆ นะ ลูอิสไม่ใช่ผู้ชายของฉัน และฉันก็ไม่สนด้วยว่าใครจะแพ้หรือชนะ ที่ฉันไม่พอใจก็คือนายนั่นแหละ นายจงใจขับกระแทกรถลูอิสเพื่อแกล้งฉัน”
“เธอนี่นะ...” เรซเหยียดยิ้มมองฉันด้วยนัยน์ตาสงสาร “การกระทบกระแทกกันในสนามแข่งถือเป็นเรื่องปกติ มีแต่พวกอ่อนหัดอย่างเธอนั่นแหละที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“ไม่จริง ไม่ต้องมาแก้ตัวเลยนะ ใครจะไปยอมรับเรื่องอันตรายแบบนั้นได้”
“หึ” เรซทำเสียงในลำคอ “แล้วเธอสะเออะขึ้นรถไปทำไม”
“เรซคะ”
ระหว่างที่ฉันกำลังช็อกกับคำพูดที่ชวนโมโหของเรซ ผู้หญิงในชุดเดรสสีดำสุดเซ็กซี่ก็ก้าวฉับๆ เข้ามากอดแขนเรซก่อนชะงักเมื่อเหลือบเห็นฉัน หางตาที่ถูกแต่งแต้มด้วยอายไลเนอร์เนื้อดีกระตุกไหว
“มาทำอะไรตรงนี้ แข่งเสร็จนานแล้วไม่ใช่เหรอ ลูกตาลนั่งรอจนรากจะงอกอยู่แล้วนะ”
ยัยนั่นทำท่ากระเง้ากระงอดใส่เรซ ฉันเบะปาก มองเรซโอบเอวยัยนั่นแล้วในอกพลันปั่นป่วน จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่
“คุยกับพวกนั้นเพลินไปหน่อย เบื่อแล้วเหรอ” เรซมองลูกตาลด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อืม ตอนแรกก็สนุกดีอยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้...” สายตายัยลูกตาลมองปราดมาที่ฉันแวบหนึ่งก่อนเอ่ยต่อด้วยเสียงที่ออกแนวเชือดเฉือนนิดๆ “...ชักจะเบื่อแล้วล่ะ เราไปจากที่นี่กันเถอะ หาร้านสบายๆ นั่งหรือถ้าเรซเหนื่อยเรากลับกันเลยก็ได้นะ”
ลูกตาลหว่านล้อมเต็มที่ สายตาที่มองเรซบ่งบอกเลยว่ากำลังคันแค่ไหน
“ฉันเองก็ชักเบื่อแล้วเหมือนกัน” ฉันเปลี่ยนใจเดินกลับไปคล้องแขนเรซอีกข้าง โดนลูกตาลมองตาเขียวปัดทันที
“นี่เธอ!”
“แทนที่จะเสียเวลากับเรื่องไร้สาระทำไมเราไม่ไปใช้เวลาด้วยกันสองคนที่บ้านล่ะ” ฉันรั้งตัวเรซเข้าใกล้จนแขนข้างที่โดนลูกตาลเกาะหลุดออก แววตายัยนั่นลุกเป็นไฟขึ้นมาทันที ไม่วายกระชากเรซกลับไปด้วยท่าทางเลือดขึ้นหน้า
“นังนี่อีกแล้วนะเรซ ไหนบอกว่าแค่เล่นๆ ไง รีบๆ ไล่มันไปสักทีเถอะ ผู้หญิงหน้าด้านแบบนี้ไม่คุ้มค่าหรอกที่จะไปเสียเวลาด้วย”
โห้! ~ อย่างกับว่าหน้าเธอด้านน้อยกว่าฉันงั้นแหละ
ฉันมองท่าทางที่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นของลูกตาลอย่างนึกขำ “ไม่คิดบ้างเหรอว่าเรซอาจจะเบื่อเธอแล้วก็ได้ ไม่งั้น... เขาจะลดตัวลงมาเล่นกับผู้หญิงอย่างฉันทำไม อ๊ะ... หรือว่าจริงๆ แล้วเรซก็เล่นกับเธอเหมือนกัน”
“ว่าไงนะ!”
ลูกตาลโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยล่ะคราวนี้ ยัยนั่นแทบพุ่งเข้ามาทึ้งหัวฉันแต่ดีว่าเรซดึงตัวเอาไว้ซะก่อน
“ลูกตาลหยุด”
“นี่ปล่อยนะเรซ ไม่ได้ยินเหรอมันว่าลูกตาล!”
ลูกตาลสะบัดข้อมือที่ถูกเรซคว้าเอาไว้อย่างไม่พอใจ แต่เรซไม่ยอมปล่อยให้เธอทำตามใจชอบ จ้องกลับด้วยสายตาดุดัน
“ฉันไม่ชอบให้มีเรื่อง”
เสียงยะเยือกที่ยากจะฝ่าฝืนของเรซทำเอาลูกตาลไม่สบอารมณ์ ยัยนั่นมองมาที่ฉันอย่างเจ็บใจ “ก็ได้! ถ้างั้นวันนี้เรซต้องไปกับลูกตาล ไม่งั้นไม่ยอมจริงๆ ด้วย”
ลูกตาลยื่นคำขาด ดึงกึ่งกระชากแขนเรซออกไป หมอนั่นทำเหมือนไม่เต็มใจแต่ก็ยอมตามยัยนั่นไปในท้ายที่สุด
เหอะ! ฉันมองตามด้วยสายตาคุกรุ่น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกโกรธขนาดนี้