ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะได้นั่งรถมากับฮานในสถานการณ์แบบนี้ ฉันลอบมองใบหน้าด้านข้างของเขาเป็นระยะ หลังคุยกันไม่กี่ประโยคฉันก็รู้ว่าเขามาเจอคนรู้จักที่บาร์ ส่วนเป็นใครหรือเรื่องอะไรนั้นฉันไม่ได้ถามต่อ ท่าทางฮานก็ไม่ได้อยากพูดรายละเอียดให้ฟังด้วย
“อยู่ที่นั่นเป็นไงบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นระหว่างรถติดไฟแดง
“ก็ดีนะ”
“งั้นเหรอ ได้ยินเฮียหมูบอกว่าทำอาหารอร่อย”
เอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้ว ฉันได้แต่ยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“ไม่หรอก เฮียชมเกินไป”
“อืม แล้วกับเรซไม่ได้มีปัญหาใช่หรือเปล่า”
ฮานถามเรซ ฉันหันไปมองหน้าเขาขวับ
“ปัญหายังไงเหรอ”
“....”
ฮานไม่พูดอะไรเพิ่ม เขาเงียบเหมือนลืมไปแล้วว่าถามอะไรไว้ ตรงจุดนี้แหละที่เหมือนเรซ ความเงียบที่น่าอึดอัด เดาไม่ถูกว่ากำลังคิดอะไร
“ฮานรู้เรื่องของเราใช่มั้ย”
“ไม่รู้สิ”
คำบอกปัดนั่นทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง ฮานก็อยู่ที่ภูเก็ตเขาน่าจะมองความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเรซออก แต่กลับพูดเหมือนไม่ยินดียินร้ายเลยสักนิด
“งั้นทำไมถึงช่วยให้ฉันได้อยู่ที่นั่นล่ะ”
“เรื่องนั้นต้องไปขอบคุณแฮค หมอนั่นมันติดสินบนฉัน แต่อย่าเลยดีกว่า มันไม่อยากให้เธอรู้ ถ้ารู้ว่าฉันบอกเดี๋ยวจะโมโหเอาเปล่าๆ ”
ฉันสะท้านวาบไปทั้งใจ ที่แท้แฮคก็อยู่เบื้องหลัง... หมอนั่นดีกับฉันมากเกินไปแล้ว
“แปลก” ฮานเปรยออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“อะไรเหรอ”
“เธอน่ะ เป็นเพื่อนคะนิ้งใช่หรือเปล่า”
“ก็ใช่ ทำไมเหรอ”
“ไม่ได้กำลังวางแผนอะไรอยู่สินะ”
“พูดเรื่องอะไรกัน” ฉันขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่าฮานกำลังหมายถึงอะไร แต่มีอยู่อย่างที่เห็นชัดคือเขาทำตัวห่างเหินต่างจากตอนที่อยู่ภูเก็ต
“แล้วเธอคิดอะไรอยู่ล่ะ ถึงอยากมาเป็นแม่บ้าน”
“ไม่ใช่หรอก ความจริงแค่อยากได้ที่พัก ตอนนั้นใบหน้าของเรซก็ผุดเข้ามาในหัวฉันเลยมาที่นี่เพราะคิดว่าเรซจะช่วยได้ แต่เขาใจดำกว่าที่ฉันคิดเอาไว้มาก”
ภาพต่างๆ ที่เรซเคยทำร้ายจิตใจไหลบ่าเข้ามาในหัวไม่หยุด ฉันรีบส่ายหน้าไล่ความทรงจำที่ทำให้อารมณ์เสียทิ้งไป
“ทำไมต้องเป็นเรซ”
“เอ๊ะ ก็...”
ฉันอ้ำอึ้ง คำถามของฮานเหมือนจี้จุดอะไรบางอย่างทำให้หัวใจเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“คิดจะจับเรซมันไม่ง่ายหรอก หมอนั่นเป็นพวกไร้หัวใจของจริงเลยล่ะ ใครก็ตามที่คิดจะผูกมัดมันมีแต่ต้องเจ็บปวด น้ำตาเช็ดหัวเข่ากันทั้งนั้น”
นั่นน่ะ แค่ได้ฟังก็รู้สึกอ่อนแรงขึ้นมาทันที ฉันละสายตาจากฮานออกไปมองนอกกระจกรถ ก่อนจะรู้สึกผิดปกติบางอย่าง
“ฮาน นี่ใช่ทางกลับเซฟเฮาส์เหรอ”
“เปล่า เราจะไปที่สนามกัน”
“....”
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
รถหรูของฮานวิ่งเข้าจอดเทียบลานกว้างที่เต็มไปด้วยรถยนต์หลายสิบคัน ส่วนใหญ่เป็นรถที่ถูกปรับแต่งสำหรับแข่งในสนาม และรถซูเปอร์คาร์ของเหล่าหัวโจทย์จอดแทรกอยู่สองสามคัน หนึ่งในนั้นที่สะดุดตามากสุดคือบีเอ็มดับเบิลยูสีเหลืองของเรซ
หัวใจฉันกระตุกไหว มองไปรอบๆ อย่างรู้สึกสับสน ฮานบอกว่ามีปาร์ตี้เล็กๆ ที่ข้างสนามแข่ง เรซและคนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย เขาต้องแวะปาร์ตี้นี่อยู่แล้ว เพราะงั้นขากลับก็ให้ฉันนั่งรถไปกับเรซเลย
พูดง่ายเนอะ ถ้าฉันรู้ว่าต้องลงเอยแบบนี้สู้ค้างกับลูกกอล์ฟไม่ดีกว่าเหรอ
“ฮาน... มาสายนะมึง”
ผู้ชายที่สวมชุดแข่งรถสีดำเต็มยศเดินเข้ามาทักทายฮานด้วยท่าทางสนิทสนม พวกเขาชนกำปั้นและโน้มตัวเข้ากอดไหล่กันเบาๆ บรรยากาศคล้ายได้พบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานาน
“ไงมึงสบายดี เห็นว่าไปต่างประเทศ กลับมาเมื่อไหร่วะ”
“เพิ่งกลับมา แล้วมึงเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าลูกค้าเยอะพอดูเลยนี่”
“เออก็เรื่อยๆ แล้วนั่นใครวะ คนใหม่เหรอ” เพื่อนฮานส่งสายตามาทางฉันอย่างอยากรู้อยากเห็น รอยยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ค่อยน่าไว้ใจ
“เทียนค่ะเป็นเพื่อนฮาน” ฉันชิงแนะนำตัวก่อน ส่งยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างเป็นมิตร
“เพื่อน? ว้าว...” เขาทำหน้าประหลาดใจสุดๆ มองฉันกับฮานสลับกันไปมาแวบหนึ่งก่อนจะโผเข้ามายืนตรงหน้าฉันแล้วยื่นมือออกมาจับ
“สวัสดีครับเทียน ผมลูอิส”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะลูอิส” ฉันกระชับไมตรีกับคนตรงหน้าด้วยความยินดี ลูอิสยิ้มกว้าง ปล่อยมือฉันอย่างอ้อยอิ่งแล้วชวนคุยไปเรื่อย
“เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกหรือเปล่า”
“ค่ะเพิ่งเคยมา”
“งั้นให้ผมพาทัวร์ดีมั้ยครับ”
“เฮ้ยลูอิส” เสียงฮานขัดขึ้น ลูอิสจึงกะแอมไอแล้วเก๊กหน้าขรึมทำเหมือนที่พูดกับฉันเมื่อกี้เป็นแค่การล้อเล่นขำๆ
“ไม่เอาน่า กูแค่อยากทำความรู้จักกับเทียนให้มากขึ้น หรือมึงหวงเพื่อน?”
“พูดจาเพ้อเจ้อ แล้วนี่มึงลงแข่งด้วยเหรอถึงแต่งชุดนี้”
“ใช่ จัดปาร์ตี้ที่สนามแข่งทั้งทีจะไม่มีแข่งได้ยังไงวะ จริงสิ เทียนชอบความเร็วหรือเปล่า” ลูอิสหันมาถามฉันกะทันหันเล่นเอาฮานจ้องเขม็ง
“ก็ชอบมั้งคะ” ฉันยิ้มตอบอย่างคนไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ปกติสนใจเรื่องแข่งรถที่ไหนล่ะ ถ้าถามเรื่องกระเป๋าหรือเครื่องสำอางรุ่นไหนออกใหม่ก็ว่าไปอย่าง
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของลูอิส แววตาสีน้ำตาลฉายแววซุกซน “สนใจอยากลองนั่งรถแข่งกับผมหรือเปล่า จะได้รู้ไงว่าชอบหรือไม่ชอบ”
“ลูอิส” ฮานเรียกชื่อเพื่อนอย่างไม่เห็นด้วย
“นั่งรถแข่ง... หมายถึงนั่งข้างคนขับในสนามน่ะเหรอ”
“ใช่” ลูอิสตอบอย่างหนักแน่น
ฉันมองสายตาเชิญชวนของลูอิสด้วยความรู้สึกตื่นเต้น อยากรู้เหมือนกันว่าเวลานั่งอยู่ในรถแข่งบนสนามของจริงจะเป็นยังไง ฉันรีบพยักหน้าโดยไม่สนใจสายตาคัดค้านของฮาน
“ตกลงค่ะ”
ลูอิสพาฉันเดินฝ่าผู้คนที่กำลังสนุกกับปาร์ตี้เข้ามาในสนามที่มีรถแข่งจอดเรียงอยู่หลายคัน ระหว่างทางมีคนทักทายลูอิสไม่ขาดสาย เขาหยุดคุยด้วยเฉพาะบางคน ที่เหลือแค่โบกมือไม่ก็พยักหน้าให้ แต่กว่าจะมาถึงที่หมายก็ล่อไปหลายนาที
“โทษที เซ็งหรือเปล่า” ลูอิสหันมาถามฉันที่เดินข้างๆ
เพราะเขาเป็นเจ้าของงานจึงไม่แปลกที่จะได้รับความสนใจจากทุกคน
“ไม่นี่ ขอโทษทำไม” ฉันบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ
“เทียนรู้จักกับฮานนานแล้วเหรอ”
“ก็ไม่นานเท่าไหร่”
ลูอิสเลิกคิ้วกับคำตอบของฉัน เขาทำท่าเหมือนอยากจะถามอะไรอีกแต่ว่าเสียงตะโกนเรียกชื่อลูอิสก็ดังขึ้นซะก่อน ทำให้เขาต้องพับความคิดตัวเองลงแล้วหันไปสนใจเจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่แทน
ผู้ชายคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนเข้ารูป ผมยาวสีทองรวบมัดไว้ด้านหลัง ยืนอยู่ตรงประตูรถที่เปิดอ้าเอาไว้กำลังจ้องเขม็งมาที่ลูอิส
“ลูอิส! ไอ้สารเลว จะให้พวกกูรอไปถึงไหน”
“เจเดน มึงหงุดหงิดอะไรมาวะ” ลูอิสโต้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ
คำพูดของคนที่ชื่อเจเดนอาจจะดูเกรี้ยวกราดแต่น้ำเสียงเป็นเพียงการหยอกล้อกันเล่นขำๆ
“คนอื่นๆ มากันครบหมดแล้วเหลือแต่มึงคนเดียวเนี่ย” เจเดนบอกพลางส่งสายตามาทางฉัน “เฮ้ๆ ขี้โกงนี่หว่า ไหนว่าที่นั่งข้างๆ มีไว้ให้แค่ลิซ่าคนเดียวไงวะ”
“เงียบไปเลยเจเดน ตอนนี้กูโสดจะทำอะไรก็ได้ เทียนอย่าไปใส่ใจหมอนั่นเลย ขึ้นรถเถอะ” ลูอิสส่งสายตาเขียวปัดให้เพื่อนตัวเองก่อนหันมาพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ลูอิสเดินนำฉันมาที่รถสีขาวคันหนึ่งแล้วเปิดประตูด้วยท่าทีที่เป็นสุภาพบุรุษ ฉันรู้ว่าเขาตั้งใจทำเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องที่เจเดนพูด ฉันยิ้มขอบคุณอย่างไม่ใส่ใจแต่กำลังจะขึ้นรถฉันดันเหลือบไปเห็นร่างสูงโปร่งที่แสนคุ้นตาเข้าพอดี
เรซ!
หัวใจฉันกระตุกวูบอย่างไม่ทราบสาเหตุ หมอนั่นกำลังมองมาที่เราสองคนก่อนเข้าไปนั่งในรถ ปิดประตูเสียงดังปัง!
“เรซ... หมอนั่นคือเด็กในแก๊งไอ้ฮาน เทียนน่าจะรู้จัก” ลูอิสมองตามสายตาฉันไปที่รถคันนั้นแล้วพูดด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนเตือนให้ฉันรีบขึ้นรถเพราะได้เวลาแข่งแล้ว
“เรซก็แข่งด้วยเหรอ” ฉันยึกยักไม่ยอมขึ้น มองหน้าลูอิสอย่างข้องใจ
ชักไม่แน่ใจแล้วว่าอยากนั่งไปกับลูอิส สายตาเรซเมื่อกี้ทำเอาร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก
“ใช่ เอ้าขึ้นรถได้แล้วคนสวย”
ฉันถูกต้อนให้ขึ้นรถ ลูอิสผลักเอวฉันพลางส่งสายตาให้รีบๆ นั่งแล้วปิดประตูก่อนเดินอ้อมไปขึ้นอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
รถหลายคันแล่นมาจอดที่จุดสตาร์ท ถนนจำลองเทียบได้เท่ากับสองเลนครึ่ง รถสามคันวิ่งเรียงแถวหน้ากระดาษได้สบายแต่อาจจะเสียวหน่อยตอนเข้าโค้ง ลูอิสเปิดวิทยุสื่อสารในรถ คุยกับคนปล่อยตัวที่ข้างสนาม
“ถ้าทุกคันพร้อมแล้วก็นับถอยหลังได้”
“ครับบอส”
ปลายทางตอบรับอย่างแข็งขัน ลูอิสหันมาขยิบตาให้ฉันพร้อมกับเตือนให้รัดเข็มขัด ฉันรีบทำตามอย่างว่าง่าย อึดใจต่อมาก็ได้ยินเสียงนับถอยหลังตามด้วยเสียงยิงปืนดังกึกก้อง
ปัง!