ภายในห้องรับรองของบริษัทรองเท้าสปอร์ตยี่ห้อหนึ่ง ร่างสูงก้าวดุ่มๆ เปิดประตูเข้ามาด้วยใบหน้าขาวสะอาดแลดูฉ่ำน้ำเล็กน้อย ทำให้คนที่นั่งเตะขาโต๊ะเล่นเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เรซมึงมาได้ไงเนี่ย” แฮคยืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง มองไอ้คนที่เพิ่งจะถีบหัวส่งเขามาที่นี่อย่างมึนงง ทั้งๆ ที่มันเป็นคนบอกเองว่าไม่อยากเอาหน้าลายพรางมาเจอลูกค้า
พูดเรื่องหน้า… แฮคเขม้นมองใบหน้าสดผ่องสะอาดหมดจรดของเรซอย่างข้องใจ
“หน้ามึงไม่มีรอยแล้วนี่หว่า”
“อืม ยังไม่ออกมาอีกเหรอ” เรซพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจกับข้อสงสัยของแฮค มองไปรอบๆ ห้องรับรองก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งโซฟาเดี่ยวคนละตัวกับแฮค
“ประชุมยังไม่เสร็จ” แฮคพูดเสียงเบื่อหน่าย ตาจ้องหน้าจอมือถือ ไล่ดูข่าวสารไปเรื่อยๆ ก่อนที่ดวงตาคมทรงเสน่ห์จะกระตุกไหว
“เรซมึงทิ้งเทียนเหรอ”
คนถูกพาดพิงมีสีหน้าตึงขึ้นมาทันควัน มองสบสายตาคุกคามของแฮคแล้วรู้สึกไม่สบอารมณ์
ใครว่าเขาทิ้ง แค่ไม่พามาด้วยเฉยๆ
“มึงกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวกูอยู่คุยกับลูกค้าเอง” เรซบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเทียนสักคำ
แฮคมองเพื่อนตัวเองแล้วนึกฉุน หากแต่ใบหน้าเย็นชาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นของเรซก็ทำให้เขากลืนคำพูดที่อยากจะพูดลงคอ ลุกออกจากห้องไปอย่างไม่สบอารมณ์
เทียน –
หลังจากรู้ตัวว่าโดนทิ้งแน่ๆ ฉันสูดหายใจลึกเพื่อเรียกสติ มองไปสำรวจไปรอบๆ เพื่อดูว่าจะไปต่อยังไง แถวนี้ไม่มีรถเมล์ผ่าน ต้องเรียกแท็กซี่อย่างเดียว และเหมือนฉันต้องข้ามถนนไปขึ้นอีกฝั่งด้วยถ้าจะกลับเซฟเฮาส์
“เฮ้ยนั่นแฟนเก่ามึงไม่ใช่เหรอ”
กำลังจะข้ามถนน เสียงตะโกนอย่างแซวๆ ก็ดังมาเข้าหู ฉันหันไปมองอย่างไม่คิดอะไรมาก ไม่นึกว่าจะเกี่ยวกับตัวเองด้วยซ้ำ แต่พอปะทะสายตาเข้ากับพวกนั้น ทั่วทั้งร่างของฉันก็แข็งทื่อทันที
พี่แสง…
ผู้ชายสามคนสวมชุดนักศึกษา แบกกระดานวาดรูปเอาไว้ใต้แขนเหมือนกำลังมองหาทำเลเพื่อสเก็ตช์ภาพแต่บังเอิญเจอฉันเข้าซะก่อน
ทุกคนชะงักกึก ไม่คิดว่าฉันจะได้ยินหรือไม่คิดว่าจะเป็นฉันจริงๆ ก็ไม่รู้
ฉันกับพี่แสงเราประสานสายตากันเงียบๆ
“ไปกันเถอะ”
เขาพูดกับเพื่อนตัวเอง ทุกคนกำลังอึ้งรีบพยักหน้าเออออแล้วเดินตามพี่แสงไป
เห็นท่าทางเฉยชาประหนึ่งไม่มีฉันอยู่ในสายตาของพี่แสงแล้วภายในใจฉันพลันปั่นป่วน
“พี่แสง”
รู้ตัวอีกทีฉันก็สาวเท้าตามพวกเขาไป ทุกคนหันกลับมามองอย่างคาดไม่ถึง เพื่อนพี่แสงส่งสายตาให้กันอย่างปรึกษา ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดลอยๆ ขึ้นมา
“เฮ้ยมีกล้วยทอดขายด้วยว่ะ”
“เออไปสิ”
แล้วสองคนนั้นก็แยกตัวออกไปอย่างรู้หน้าที่ เหลือฉันกับพี่แสงตามลำพัง ใบหน้าเฉยชาของคนตรงหน้าราวใบมีดกรีดลึกลงในหัวใจ
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูด งั้นขอตัว”
“พี่แสง” ฉันรีบคว้าข้อมือหนาเอาไว้อย่างกระวนกระวาย พี่แสงเบือนหน้ากลับมา หลุบมองมือที่ถูกจับคล้ายตำหนิ ฉันรู้ตัวว่ากำลังล้ำเส้น ปล่อยมือนั่นออกด้วยความจำใจ
“ขอโทษค่ะ”
“ตกลงว่ามีธุระอะไร เพื่อนพี่กำลังรออยู่”
ฉันเม้มปากอย่างรู้สึกกดดัน จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน สุดท้ายฉันก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพูดอะไรออกมา
“เทียนย้ายออกจากที่นั่นแล้วนะ”
“เหรอ”
น้ำเสียงไม่ยินดียินร้ายบีบหัวใจฉันอย่างบอกไม่ถูก ขอบตาฉันร้อนผ่าว บางสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างในตีตื้นขึ้นมา
“เทียน…”
“ต้องไปแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันจะเอ่ยความในใจเขาก็ตัดบทดื้อๆ หมุนตัวเดินไปทางร้านกล้วยทอดที่เพื่อนของเขายืนอยู่ ฉันใจหายวาบ มองแผ่นหลังที่ห่างออกไปเรื่อยๆ เหมือนวันนั้น …วันที่โดนบอกเลิก
แม้จะรู้ว่าไม่มีโอกาสกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ฉันยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่ และฉันไม่เคยต้องการให้เรื่องของเราลงเอยแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากเลิก และไม่ได้อยากพลาดไปมีเซ็กซ์กับเรซจนถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหลายใจ ฉันยังเหลือเยื่อใยให้พี่แสง… แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ไยดีฉันแล้วจริงๆ
พี่แสงกับเพื่อนหายไปจากสายตานานแล้วแต่ฉันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่รู้นานขนาดไหนที่เสียงไลน์ดังขึ้น
Line~
แฮค : ได้ข่าวว่ากับข้าวฝีมือเทียนอร่อยมาก
แฮค : เย็นนี้จะไปฝากท้อง โอเคนะ
แฮค : อยากได้อะไรเดี๋ยวซื้อไปให้
เสียงเตือนรัวๆ ทำให้ฉันเอาโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นข้อความที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยของแฮคแล้วเหมือนมีใครเอากระดาษทรายมาขูดหน้า แต่เพราะรู้ว่าแฮคไม่ได้ทำอะไรผิด โมโหไปก็มีแต่จะสร้างความขุ่นมัวให้ตัวเองเปล่าๆ
เทียน : ได้สิ กลับไปแล้วจะรีบเช็กของ ขาดเหลืออะไรจะได้ฝากซื้อ
แฮค : อยู่ข้างนอกเหรอ
เทียน : อืม โดนทิ้งน่ะ
ฉันมองข้อความสั้นๆ ที่พิมพ์ลงไปอย่างปวดใจ เป็นความรู้สึกที่ทับซ้อนจนแยกไม่ออกว่าใครทารุณจิตใจฉันมากกว่ากัน เรซหรือพี่แสง…
แฮค : เดี๋ยวนะ ไอ้เรซไม่ได้ไปส่งที่เซฟเฮาส์เหรอ
เทียน : ใครบอก
แฮค : แล้วตอนนี้อยู่ไหน
เทียน : ไม่รู้ ข้างถนนที่ไหนสักแห่งนั่นแหละ
แฮค : แชร์โลเคชั่นมา เดี๋ยวไปหา
แฮคช่างเป็นคนดีจริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมฉันกลับไม่รู้สึกอยากเจอ ฉันจ้องจอโดยไม่ทำอะไรก่อนเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า ปล่อยใจให้ล่องลอยแล้วตัดสินใจข้ามถนน ไม่นานโทรศัพท์ที่ถูกเก็บก็สั่นกระเพื่อม ฉันหยิบขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้
เป็นแฮคที่โทรมา
“ว่าไงแฮค”
[อยู่ไหน ทำไมไม่แชร์โลเคชั่น]
“กำลังจะไปหาเพื่อนน่ะ โทษทีนะ”
ฉันโกหก เพราะยังทำใจต่อสายตาเย็นชาของพี่แสงไม่ได้ เลยยังไม่อยากสุงสิงกับใครตอนนี้
[งั้นเหรอ ไอ้เรซมันไม่ได้ทำอะไรใช่หรือเปล่า]
ฉันรู้สึกประหลาดที่โดนถามแบบนั้น ไม่รู้ว่าจะตอบปลายสายยังไงดี สิ่งที่เรซทำมันแทบจะเป็นเรื่องปกติสำหรับฉันไปแล้ว เมื่อคืนเขายังจับฉันโยนออกจากบ้านอย่างกับลูกบอล ฉันยังไม่บอกใครเลย
“ไม่หรอก ไม่ได้ทำ”
ฉันตอบอย่างฝืนๆ เหมือนมีบางสิ่งกดทับอยู่ในอก แน่นขนัดหายใจไม่ออก
[ดีแล้ว]
ปลายสายเอ่ยแค่นั้นก็เงียบไป ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก แนบโทรศัพท์กับใบหูอย่างเหม่อลอย
[จะไปเจอเพื่อนก็อย่ากลับดึกล่ะ แถวนั้นค่อนข้างเปลี่ยว ต่อให้เป็นถิ่นของพวกเราก็ใช่ว่าจะปลอดภัย]
“อื้อ ขอบคุณนะ”
[หรือจะโทรหาฉันก็ได้ เดี๋ยวไปรับ]
ทำไมถึงได้เป็นคนดีแบบนี้ ในอกฉันพลันอุ่นวาบ พลอยทำให้ความรู้สึกอึมครึมปลอดโปร่งขึ้น
“ได้สิ ขอบคุณนะแฮคนายใจดีจนฉันพูดไม่ออกเลย”
[ฉันก็เป็นแบบนี้แหละน่า เธอควรจะเรียนรู้ไว้นะ] ช่วงท้ายประโยคแฮคใส่อารมณ์ขันเข้าไปด้วย ฉันก็เผลอหัวเราะไปกับเขาอีกแหนะ
“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า แค่นี้ก่อนนะ ไว้ถ้าจำทางกลับไปไม่ได้จะคิดถึงนายคนแรกเลย”
[ได้ มีอะไรก็ติดต่อมา]
แฮคพูดเหมือนไม่ค่อยอยากวาง ฉันเป็นคนตัดสายไปเอง มองหน้าจอด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง แฮคน่าจะปากหวานกับผู้หญิงทุกคน ฉันไม่ถึงขั้นจะเก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการคุยกับแฮคทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจริงๆ
“อิเจ้... นึกไงเนี่ยโผล่มาตั้งไกล”
เสียงทักทายหน้าชื่นตาบานของลูกกอล์ฟดังขึ้น มันกระวีกระวาดเดินส่ายตูดเข้ามาหาฉันด้วยรอยยิ้มแต่สายตาเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย
หลังวางสายแฮค ฉันก็คิดว่าจะเอายังไงต่อ แล้วหน้ายัยลูกกอล์ฟก็โผล่เข้ามาเลยเรียกแท็กซี่ให้มาส่งแถวมหาลัยของมัน แน่นอนว่าระหว่างทางฉันคุยกับลูกกอล์ฟแล้ว ถึงจะบ่นว่ามาปุบปับแต่ก็ไม่ได้ห้าม
“พูดอย่างกับอยู่คนละทวีป ฉันก็คิดถึงแกไง”
“จ้า แล้วเสื้อผ้าไม่เปลี่ยน จะไปกินเหล้าทั้งชุดนี้เลย รักสถาบันมากหรือไง”
ลูกกอล์ฟไล่สายตามองชุดนักศึกษาที่ฉันสวมอย่างประชดประชัน
“บ้าสิ ฉันไม่มีเวลากลับไปเปลี่ยนน่ะ”
พอบอกแบบนั้นมันก็มองฉันอย่างไม่ไว้ใจ
“รีบมาขนาดนี้ ไม่ได้หนีอะไรมาใช่มั้ยห๊ะ”
“ก็เดี๋ยวเล่าให้ฟัง แกพอจะมีชุดสวยๆ ให้ฉันเปลี่ยนมั้ย”
“ชุดสวยน่ะมีแต่จะใส่ได้หรือเปล่าเหอะ หรือแกจะซื้อใหม่ เนี่ยตลาดนัดหน้ามอ มีให้เลือกเยอะแยะ เอาสักตัวมั้ยแต่ไม่รู้นะว่าจะมีแบบที่ถูกใจแกหรือเปล่า” ลูกกอล์ฟพยักพเยิดไปยังตลาดที่เราทั้งคู่กำลังเดินผ่านเพื่อจะไปยังหอพัก มันรู้รสนิยมฉันดี ฉันเป็นคนเรื่องมาก หัวสูง แต่ก็ไม่ถึงกับหน้ามืดตามัวใช้ของแบรนด์เนมไปหมดซะทุกอย่าง แต่เพราะฐานะที่บ้านไม่อำนวยเลยต้องกดๆ อาการเอาไว้ มาช่วงหลังๆ ที่คบกับพี่แสงนี่แหละ ดูเหมือนฉันจะเหลิงไปหน่อย ลูกกอล์ฟก็เห็นดีเห็นงามด้วย พอพี่แสงให้อะไรฉันมาก็จะเห่อเป็นเพื่อน ชูหางกันเข้าไป แล้วพอถูกทิ้งก็ต้องมายืนจ้องหน้ากันตาปริบๆ แบบนี้แหละ อารมณ์แบบถูกถีบตกวิมานยังไงยังงั้น
ถึงตอนนี้จะยังไม่ลำบากมาก มีของดีๆ แพงๆ ติดตัวมาด้วย แต่พอรู้ว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อแบบนั้นอีกแล้วก็อดปวดร้าวไม่ได้
“เทียน ตกลงจะซื้อมั้ย”
เสียงนั่นทำให้ฉันได้สติ ก่อนส่ายหน้าไหว “ไม่เอา เสื้อใหม่มันมีกลิ่น”
“น้ำหอมฉีดก็ได้หนิ”
“แกก็พูดไป รีบไปเหอะ ถ้าแกไม่มีเสื้อผ้าให้ฉันก็ขอยืมจากเพื่อนๆ แกแถวนั้นก็ได้ ฉันไม่เรื่องมากหรอก”
“จ้าาา”
ลูกกอล์ฟทำเสียงกระแหนะกระแหนใส่ ฉันเลยตบแขนมันไปทีหนึ่ง ส่งสายตาเตือนกึ่งบังคับให้มันรีบๆ พาไปที่ห้องได้แล้ว