ฉันอยู่มหาลัย เฮียหมูใจดีขับรถมาส่งให้ ประหยัดทั้งเวลาและค่าเดินทางไปในตัว
อีกเหตุผลที่ต้องดั้นด้นออกมาเพราะฉันกลัวเรซ เมื่อคืนดันฮึกเหิมอะไรไม่รู้ไปวาดแมวใส่หน้าหมอนั่น ไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าหมอนั่นตื่นมาเห็นจะโกรธขนาดไหน ฉันนี่ก็ชอบหาเรื่องให้ตัวเองซวยอยู่เรื่อยเลย ฮึ่ยยย
พี่แสง...
สองเท้าฉันชะงักเมื่อกำลังจะเดินไปที่ตึกเรียนแล้วเหลือบไปเห็นพี่แสงกำลังยืนคุยกับเพื่อนอยู่ที่มุมสูบบุหรี่ใต้ต้นหูกวาง ตรงนั้นมีม้าหินอ่อนอยู่หนึ่งตัว
เราทั้งคู่ต่างสบตากัน ในอกฉันเหมือนถูกบีบ รีบหลบสายตาเขาแล้วแข็งใจเดินผ่านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ใจยังอาลัยอาวรณ์แต่เอาเข้าจริงฉันก็ไม่กล้าเข้าไปตื๊อ กลัวคำพูดแรงๆ กลัวการถูกปฏิเสธ แค่นี้ก็เจ็บจะตายอยู่แล้ว
“เทียนมาแล้วเหรอ”
เค้กนั่งอยู่ใต้ถุนอาคารคนเดียวเอ่ยทัก ฉันมองไปรอบๆ ก่อนทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม
“คนอื่นล่ะ”
“ยังไม่มา”
“อ้อ แล้วอาจารย์สั่งงานอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอ่ะ เธอขาดเรียนได้ถูกเวลาจริงๆ เยี่ยม เออ... แล้วเป็นไง ดีขึ้นยัง”
น้ำเสียงเค้กเบาลงราวกับกลัวว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจฉัน
“ก็เรื่อยๆ ” ฉันบอก แววตาหลุบลงเหมือนคนกำลังหลบซ่อนความรู้สึก เค้กคงดูออกเลยเปลี่ยนเรื่องคุย เสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก ยิ่งกว่านกแก้วซะอีก ปกติยัยนี่ก็พูดมากที่สุดในกลุ่มแล้ว แต่ครั้งนี้ฉันกลับไม่รู้สึกรำคาญแถมยังตั้งใจฟังเป็นพิเศษอีกด้วย พอเริ่มอินกับเรื่องโม้ของยัยเค้กฉันก็ลืมความหมองมัวในใจไป แม้จะเพียงแวบสั้นๆ ก็เถอะ
ฉันเจอคะนิ้งในคาบเรียน เราส่งสายตาทักทายกันตามปกติ หลังเรียนเสร็จเธอก็รีบกลับไปเลี้ยงหลานให้น้องสาว ทำให้เราไม่มีเวลาคุยกันมาก แต่จากท่าทางของคะนิ้งเหมือนจะยังไม่รู้เรื่องที่ฉันไปอยู่เซฟเฮาส์ของพวก RED SUN
“เทียนกลับไง”
“เดี๋ยวเรียกแท...เอ้อนั่งวินน่ะ” ฉันเกือบหลุด ลืมว่ายัยเค้กยังไม่รู้ว่าฉันย้ายออกจากหอพักเดิมแล้ว
“งั้นไปหน้ามอพร้อมกัน”
“อืม”
Line~
แฮค : อยู่มอเหรอ
เทียน : ใช่ กำลังกลับ
แฮค : กลับไง
เทียน : แท็กซี่
แฮค : ตอนนี้อยู่ไหน
เทียน : กำลังเดินไปหน้ามอ
แฮค : ดี งั้นรออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวไปรับ
ฉันหยุดเดินเมื่อเห็นข้อความสุดท้ายที่แฮคพิมพ์มา
“อ้าวเทียน หยุดทำไม มีอะไรหรือเปล่า” เค้กหันมามองอย่างสงสัย
“อ้อ เปล่าหรอก”
ฉันรีบส่งยิ้มให้เค้กทันทีที่ตั้งสติได้ เดินนำออกมาโดยไม่พูดอะไรอีก
เค้กขึ้นรถโดยสารออกไปแล้ว แต่ฉันยังยืนอยู่หน้าจุดรอวินมอเตอร์ไซค์ ระหว่างนั้นก็ส่งไลน์หาแฮค ถามเขาว่าอยู่ไหนแต่อีกฝ่ายยังไม่อ่าน ผ่านไปสักพักฉันจึงส่งพิกัดไปให้ กลัวไม่รู้
เอี๊ยด!
เพิ่งจะส่งข้อความไม่ถึงห้าวินาที รถบีเอ็มดับเบิลยูสีเหลืองก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้า คนหันมามองเป็นแถบ
กระจกรถเลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างของคนขับ
เรซ!
ฉันนิ่งอึ้ง มองคนในรถอย่างใจหายใจคว่ำ ไม่รู้เขาโผล่มาได้ยังไง พลอยทำให้นึกถึงวันที่เขาลากฉันไปภูเก็ต เหตุการณ์มันก็คล้ายๆ อย่างงี้แหละ อยู่ดีๆ รถก็มาจอดข้างหน้า
“ขึ้นมา”
สองคำสั้นๆ แม้จะรู้สึกต่อต้านแต่กลับขัดขืนไม่ได้ ฉันเม้มปาก เปิดประตูเข้ามาในรถอย่างไม่มีทางเลือก เรซไม่หันมามองฉันด้วยซ้ำ พอได้ยินเสียงปิดประตูเขาก็ออกรถทันที แรงกระชากจากการออกตัวทำเอาฉันแทบจมลงไปกับเบาะ หันไปมองเรซอย่างไม่พอใจ จะด่าก็ด่าไม่ออก
หน้าเรซไม่มีรอยปากกาแล้ว แต่ยังเห็นเป็นปื้นๆ อยู่ตรงจมูกกับเหนือคิ้ว เขาดูตลกจนฉันแทบหลุดขำ แต่รังสีอำมหิตที่พวยพุ่งออกมาจากคนข้างๆ ทำให้ฉันได้แต่กัดริมฝีปากเอาไว้
Line~
แฮค : โทษที มีงานเข้านิดหน่อย ไปรับไม่ได้
ข้อความเด้งขึ้นมา ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรซสักคำ ฉันสงสัยว่าแฮครู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า
เทียน : เลยให้เรซมาแทนเหรอ
แฮค : ไอ้เรซไปหาเธอเหรอ
เทียน : ตอนนี้อยู่กับเรซน่ะ
เทียน : อยู่บนรถ
แฮคอ่านแล้วก็เงียบไป ไม่ตอบอะไรมาอีก ฉันหันไปมองคนข้างๆ ดูเหมือนว่าแฮคไม่ได้รู้เห็นเป็นใจที่เรซมาหาฉัน
“รู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
พูดกับเรซเหมือนพูดกับก้อนหิน ไม่เคยตอบอะไรกลับมาเลยสักอย่าง ต้องให้โยนหินถามทางตลอด บางทีก็เหนื่อย ไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันแน่
“เมื่อคืนขอโทษ ฉันโกรธแต่ก็ไม่ควรทำอย่างนั้น”
ฉันรู้สึกว่าสายตาเรซตวัดมามองแวบหนึ่ง แต่พอฉันเหลือบไปดูเขายังคงมองตรงไปที่ถนนราวกับไม่ได้ฟังฉันพูด
“แล้วก็... หน้านายล้างไม่ออกใช่มั้ย”
“อยากตายหรือไง”
ในที่สุดก็ยอมเปิดปาก แต่แค่คำแรกฉันก็แทบประสาทกิน เป็นเต่าคงหดตัวเข้าไปในกระดองแล้ว
“ขอโทษ...” ฉันไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำว่าขอโทษ หมอนั่นตวัดสายตาเดือดดาลมามองฉันแวบสั้นๆ บอกให้รู้ว่าถ้าเขาไม่ได้ขับรถอยู่ฉันได้ถูกหักคอแน่
“ถ้าวันนี้ไอ้แฮคโน้มน้าวสปอนเซอร์ไม่สำเร็จเธอเตรียมตัวซวยได้เลย”
หัวใจฉันกระตุกวูบ ถึงจะไม่เข้าใจว่าเรซกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ก็รับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
ฉันมารู้หลังจากที่ถามแฮคในไลน์เกี่ยวกับสปอนเซอร์ที่เรซพูดถึงว่ามันคืออะไร ถึงได้ทราบว่าเรซมีนัดสำคัญกับลูกค้า แต่เพราะไม่อยากเอาหน้าด่างๆ ดำๆ ไปทำให้ขายหน้าจึงให้แฮคไปพบลูกค้าแทน แฮคยังบอกด้วยว่าตัวเองไม่ค่อยถนัดชักจูงคนเหมือนเรซ ไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย ฟังแฮคพูดแล้วดูไม่เครียดสักนิด แต่ตัดภาพมาที่คนข้างๆ ฉันสิ ทำอย่างกับโลกจะแตกให้ได้
“ลองใช้ที่เช็ดเครื่องสำอางดีมั้ย เผื่อออก”
ฉันเอ่ยถามหลังจากคุยกับแฮคเสร็จ ตอนนี้ยังพอมีเวลา ถ้าใบหน้าเขาสะอาด ก็น่าจะไปเจอลูกค้าได้แบบไม่ต้องกลัวขายหน้า แล้วฉันก็ไม่ต้องมาเสี่ยงกับเรื่องนี้ด้วย
“....”
เรซไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ฉันแอบเห็นแววประหลาดใจในดวงตาคมเข้มจึงบอกให้เขาแวะร้านขายยาที่ใกล้ที่สุด ซื้อสำลีกับคลีนซิ่งมาหนึ่งขวด เป็นแบบที่ฉันใช้ประจำ
“มานี่”
ฉันดึงแขนเรซที่ยืนรออยู่หน้าร้านขายยามาหาที่นั่งเหมาะๆ เปิดคลีนซิ่งใส่สำลีจนชุ่มยื่นไปที่หน้าของเรซ หมอนั่นคว้าข้อมือฉันเอาไว้ทันที ราวกับว่าฉันจะทำร้ายเขางั้นล่ะ
“จะทำอะไร”
“ก็เช็ดหน้าให้นายไง”
“....”
เรซมองหน้าฉันนิ่งก่อนจะปล่อยมือ แววตาของเขาคล้ายอนุญาต ฉันเอื้อมมือไปเช็ดหน้าให้โดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น แม้จะรู้สึกใจสั่นแปลกๆ ก็เถอะ
รอยหมึกบนหน้าเรซจางลงแล้ว คลีนซิ่งเอาอยู่จริงๆ ด้วย ฉันเปลี่ยนสำลีแผ่นใหม่ เช็ดหน้าเรซอย่างตั้งอกตั้งใจ ความเงียบยังคงดำเนินไป เรซเองก็จดจ้องฉันไม่วางตา
ผิวแก้มฉันร้อนวูบวาบแต่ก็พยายามไม่สนใจ เช็ดหน้าเขาจนสะอาด
หมดสำลีไปเกือบครึ่งห่อ
“ออกหมดแล้ว” ฉันพูดเสียงเบา ก้มลงเก็บของ เดินไปทิ้งขยะเงียบๆ เห็นเรซเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องส่องหน้าตัวเอง ฉันก็อดยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้
“สะอาดแล้วเห็นมั้ย”
“อืม ก็ดี”
เขาพูดสั้นๆ ก่อนจะเดินนำฉันไปที่รถ แต่...
“ฉันจะไปพบลูกค้าไม่ต้องตามมา”
“อ้าว” ฉันมองหน้าเรซอย่างอึกอัก งงว่าทำไมจะไปด้วยไม่ได้ แล้วใจคอเขาจะทิ้งฉันไว้ที่นี่เลยงั้นเหรอ บ้าบอ
บรรยากาศสงบก่อนหน้านี้ราวกับถูกถล่มด้วยอารมณ์โกรธ แต่ก่อนที่ฉันจะได้โวยวายเรซก็เดินไปโน่นแล้ว
“เรซ!” ฉันมองรถบีเอ็มดับเบิลยูแล่นออกไปต่อหน้าต่อตาอย่างทำอะไรไม่ถูก หน้าชาไปหมด ความอัดอั้นรื้นขึ้นจุกอก ขอบตาร้อนผ่าว
ไอ้บ้า!