สัมผัสร้าย 6 ของแก้ขัดชั่วครั้งคราว (4)

2324 คำ
ฉันผุดลุกผุดนั่งอยู่ที่หน้าประตูอย่างร้อนใจ พอผ่านไปสักพักความโกรธก็ลดลงเหลือเพียงความว้าวุ่นที่ยังคงกระตุ้นสมองให้คิดหาทางออก อากาศข้างนอกเย็นลงเรื่อยๆ ฉันทนไม่ไหวจามไปแล้วหลายครั้ง โทรศัพท์ก็ไม่มีติดตัว จะขอใครช่วยก็ไม่ได้ ถึงจะไม่แน่ใจว่ามีสิทธิ์ขอความช่วยเหลือหรือเปล่าก็เถอะ ฉันก็ไม่น่าไปล้มโต๊ะเอกสารหมอนั่นแบบนั้น สะใจดีแล้วเป็นไงล่ะ ตัวเองต้องมาลำบากอยู่เนี่ย ไม่คุ้มเลยให้ตายเถอะ คิดไปคิดมาฉันมีแต่เสียกับเสีย แย่ชะมัด! อ๊ะ เดี๋ยวนะ ด้านหลังมีระเบียงไม่ใช่เหรอ ฉันลุกพรวดขึ้นยืนทันทีที่นึกได้ มองซ้ายมองขวาดูลาดเลาราวกับกลัวว่าจะมีใครเห็นทั้งๆ ที่แถวนี้ก็ไม่มีใคร วังเวงอย่างกับป่าช้า โชคดีฉันไม่ใช่คนขี้กลัวไม่งั้นได้สติแตกไปตั้งนานแล้ว เคยโดนพี่แสงติเรื่องไม่กลัวผีเหมือนกัน บอกว่าดูหนังผีด้วยกันไม่สนุก พอฉันแกล้งทำเป็นกลัวจะถูกเขกหัวเบาๆ เป็นการหยอกล้อ นึกถึงวันเก่าๆ แล้วก็หลุดยิ้มออกมา ความเหงาแล่นปราดไปทั้งใจ ฉันยังคงอาลัยอาวรณ์พี่แสง อยากกลับไปแต่ก็รู้ดีว่าพี่แสงไม่มีทางให้โอกาสฉันอีกแล้ว ฉันมันโง่ ไม่สิ ต้องบอกว่าเคราะห์ร้ายมากกว่าที่มาเจอกับเรซ ถ้าวันนั้นฉันไม่ถูกลากไปภูเก็ตเรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ ถ้าพี่แสงจับไม่ได้... นั่นสิ มันจะเป็นยังไงนะ เรซจะทำเหมือนเรื่องที่หัวหินไม่เคยเกิดขึ้น หรือว่าเขาจะยังฉวยโอกาสกับฉันเหมือนเดิม ถ้าเป็นอย่างหลังยังไงสักวันพี่แสงก็ต้องรู้อยู่ดี ไม่ว่าจะคิดยังไงคนผิดก็คือเรซ หมอนั่นน่ะแหละ ยุ่งกับฉันก่อน แถมยังไม่เคยรับผิดชอบการกระทำของตัวเองสักครั้ง คนบ้าอะไรเลวฉิบหาย มันน่าเอาปืนมายิงทิ้งแล้วฝังกลบไว้ในป่าจริงๆ บริเวณรอบบ้านค่อนข้างมืด แต่ไม่ถึงกับมองอะไรไม่เห็น ได้แสงจันทร์กับแสงหลอดไฟภายในบ้านช่วยพอให้คลำทางได้ ถึงงั้นก็มีก้าวพลาด ตกหลุมกับสะดุดไม้หรือก้อนหินอยู่ครั้งสองครั้ง ฉันข่มอารมณ์ฟึดฟัดไว้ข้างใน เดินอ้อมมาจนถึงระเบียงที่เปิดไฟทิ้งเอาไว้ ราวระเบียงไม่สูงมาก ฉันสามารถปีนข้ามได้สบาย ตอนยกขาขึ้นพาดระเบียงแอบเจ็บช่วงล่างนิดๆ เพราะเรซทำแรงจนมันถลอก คิดแล้วก็โมโห หลังออกจากห้องน้ำรู้สึกว่ามันแสบๆ เลยหากระจกมาส่องดูก็เห็นว่าช้ำจากการเสียดสี คอยดูนะ คราวหน้าฉันจะใช้ปากกัดให้ห้อเลือดเลยแต่จะให้ดีอย่ามีครั้งหน้าเลยดีกว่า นึกภาพตอนตัวเองอ่อนยวบเป็นผักอยู่ต่อหน้าหมอนั่นแล้วใจมันระทดระทวยแปลกๆ ประตูระเบียงเลื่อนปิด ฉันแอบใจหายนิดๆ แต่พอลองแง้มดู ปรากฏว่าไม่ได้ล็อก รีบแทรกตัวเข้ามาข้างในอย่างลิงโลด ย่องไปบันไดเพื่อจะขึ้นชั้นสอง เห็นไฟในห้องโถงยังเปิดทิ้งเอาไว้แต่ให้ความรู้สึกเงียบงันผิดสังเกต ฉันมองชั้นบันไดตรงหน้ากับประตูห้องโถงสลับกันไปมา ไม่รู้ผีตนไหนเข้าสิง สั่งให้ฉันหันปลายเท้าไปทางห้องโถง ร่างสูงนั่งหลับอยู่บนโซฟา เอกสารถูกเก็บกวาดเรียบร้อย กลับไปวางเป็นตั้งๆ บนโต๊ะแทบจะคล้ายสภาพเดิมกับตอนก่อนที่ฉันจะองค์ลง ฉันเม้มริมฝีปาก แม้แต่ลมหายใจยังต้องกลั้น เป็นไปได้ก็ไม่อยากทำให้เขาตื่น เดี๋ยวเลือดขึ้นหน้าใส่ฉันอีก มองหากระเป๋าที่พื้น แต่ไม่มี ไปไหนแล้ว จำได้ว่าหล่นแถวๆ นี้นี่นา… แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นมันวางอยู่บนชั้นใต้ทีวี หัวใจฉันกระตุกวูบ ทำไมไปอยู่บนนั้น… เรซเก็บไปงั้นเหรอ บ้าจริง ทีแบบนี้กลับทำมาเป็นสนใจ ฉันย่องเบามาหยิบกระเป๋าพลางเหลือบมองเรซอย่างระแวดระวัง แล้วตอนนั้นโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดันสั่นขึ้นมากะทันหัน ครืด~ ครืด~ “ว้าย…” ฉันตกใจทำกระเป๋าหลุดมือดังตุ้บ! รีบเอามือปิดปากตัวเองทันทีที่รู้ตัวว่าเผลอร้องออกมา ก้มลงฉวยกระเป๋าขึ้นมาค้นโทรศัพท์เพื่อตัดสายโทรเข้าซึ่งใครไม่รู้โทรมาก่อนหันไปทางเรซอย่างหวาดๆ ทว่าหมอนั่นกลับไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยสักนิด เสียงลมหายใจเข้าออกยังคงดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ค่อยยังชั่ว… เล่นเอาใจหายใจคว่ำหมด ว่าแต่หลับลึกขนาดนั้นเลยเหรอ ฉันยังไม่มีกะใจจะสำรวจกระเป๋า ย่องเข้าไปใกล้แล้วก้มหน้าลงมองใบหน้าหล่อเหลายามหลับของเรซชัดๆ เขาหล่ออันนี้ยอมรับ แต่สีหน้าหวานละมุนแบบนี้คงเห็นได้แค่ยามหลับเท่านั้น พอลืมตาตื่นหมอนี่ก็จะแปลงกายเป็นปีศาจเย็นชาทันที “เรซ… นายได้ยินหรือเปล่า?” เงียบ ไม่มีแม้แต่เสียงกรน เป็นคนที่หลับได้เรียบร้อยจริงๆ ฉันโบกมือเบาๆ ตรงหน้าเรซ แต่ก็ไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ฉันเลิกสนใจเรซ ปรายตามองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ มีทั้งรูปรถ ภาพอะไหล่เครื่องยนต์กลไกที่ฉันเข้าไม่ถึง แล้วก็ข้อมูลอะไรอีกไม่รู้เยอะแยะทั้งภาษาจีนภาษาอังกฤษ ดูแล้วเกินความสามารถที่ฉันจะเข้าใจได้ ชั่วแวบหนึ่งก็เกิดความรู้สึกนับถือ อายุเท่ากันแท้ๆ แต่กลับทำได้ถึงขนาดนี้ พอมาคิดดูแล้วถ้าไม่นับเรื่องนิสัยเรซก็เป็นผู้ชายที่เจ๋งมาก เอ๊ะ… หรือว่าเป็นคนเจ๋งก็เลยมีนิสัยแบบนั้น อืมมม แล้วฉันจะมายืนวิเคราะห์ให้มันได้อะไรเนี่ย ฉันส่ายหน้าเนือยๆ กำลังจะหนีขึ้นห้องนอน บังเอิ้นสายตาเหลือบไปเห็นปากกาเมจิกที่โผล่หัวออกมาจากกองกระดาษเข้าซะก่อน ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาในหัวทันที Race – 2 ผมปรือตาขึ้น แสงไฟสว่างจ้าบนเพดานทำให้ต้องหลับตาลงแทบจะทันที มือกดหัวตาแรงๆ เอียงคอบิดซ้ายทีขวาทีไล่ความเมื่อย เหม่อมองกองเอกสารตรงหน้าสักพักก็ควานหาโทรศัพท์มากดดูเวลา ตีสี่กว่า… ผมอ้าปากหาวทีหนึ่ง ความง่วงที่เกาะกุมทำให้ตัดสินใจลุกขึ้นเก็บงานบนโต๊ะ พวกนี้เป็นเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายชิ้นส่วนรถยนต์ ผมต้องเปรียบเทียบข้อมูลจากหลายๆ ที่ เพื่อเช็กสเป็กกับราคาและแน่นอนต้องมีที่มาชัดเจนไม่ใช่ของผิดกฎหมาย แม้ว่าการลักลอบขายอะไหล่รถยนต์จะเป็นเรื่องปกติในตลาดมืดก็เถอะ แต่ RED SUN ในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องเกลือกกลั้วกับของเหล่านั้นแล้ว ผมเก็บทุกอย่างเข้าที่จนเรียบร้อย แล้วก็นึกได้ว่าปล่อยยัยนั่นทิ้งไว้หน้าบ้าน ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไง ผมมองไปที่ประตูรู้สึกลังเล ตัดสินใจเดินไปเปิดประตูดูยัยนั่น แต่กลับไม่เจอแม้แต่เงา คิ้วผมขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย หันซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่ายัยนั่นไม่อยู่แถวนี้จริงๆ ก็ดึงประตูปิด หายไปไหนวะ… ผมครุ่นคิด เดินเอียงคอกลับเข้าข้างใน หรือว่ายัยนั่นจะไปตั้งแต่ตอนที่เสียงโวยวายเงียบลง แล้วความรู้สึกกวนใจนี่มันอะไรวะ ถึงจะรู้สึกว่ายัยนั่นคงไม่โง่เอาตัวเองไปเสี่ยงกลางค่ำกลางคืน แต่ก็อดกังวลไม่ได้ที่จู่ๆ ก็หายตัวไปแบบไม่บอกกล่าว ถ้ามีคนมารับผมไม่แปลกใจหรอกที่ไม่บอก แต่ผมจะหลับลึกขนาดที่ไม่ได้ยินเสียงรถเลยเหรอ อีกอย่างจะมีใครมารับได้ โทรศัพท์กระเป๋าตังค์ก็ไม่ได้พกติดตัวสักอย่าง หลังจากครุ่นคิดหนึ่งตลบผมก็ส่ายหน้าไล่ความคิดน่ารำคาญพวกนั้นออกจากหัว เปิดประตูเข้าห้องนอน ผมตื่นอีกทีก็เกือบเที่ยง เดินมึนเข้าห้องน้ำ พอเงยหน้าขึ้นมองกระจกเท่านั้นแหละ “เชี่ย!” ผมตกใจหน้าตัวเองจนต้องอุทานลั่น เชี่ยแม่ง… ใครเอาปากกามาเขียนหน้ากูวะเนี่ย หัวตาผมกระตุกตุ้บๆ มองหนวดแมวหรือเสือไม่แน่ใจ กับจมูกที่ถูกระบายจนดำสนิทแล้วมีหูยาวๆ รูปสามเหลี่ยมอยู่บนคิ้วสองข้างอีก ใครแม่งล้อเล่นแบบนี้วะ ผมโกรธจนไม่รู้จะพูดยังไงดี รีบล้างออกอย่างไว หมึกดันติดทนไปอีก ล้างจนหน้าจะเปื่อยอยู่แล้วก็ยังออกไม่หมด เป็นเงารางๆ เหมือนเดิม สัส วันนี้ต้องออกไปเจอสปอนเซอร์ด้วย จะล้างออกทันมั้ยวะ ใครแม่งเล่นแผลงๆ สายตาผมพลันตวัดมองประตูห้องน้ำบานที่เชื่อมกับข้างนอกเข้า ไวเท่าความคิด ผมเดินไปเปิดประตูพุ่งตรงไปที่หน้าห้องนอนยัยนั่นทันที กำลังจะทุบประตูเรียกก็ชะงักเพราะนึกได้ว่าผมจับยัยนั่นโยนออกจากบ้านไปแล้วจะอยู่ในห้องได้ยังไง แต่เพื่อความแน่ใจผมจึงเปิดประตูเข้าไป “….” ในห้องไม่มีแม้แต่เงาคน รอยยับบนเตียงมองไม่ออกว่าเป็นรอยเก่าหรือรอยใหม่ ผมกวาดตามองความเงียบสงัดภายในห้องหนึ่งรอบก่อนดึงประตูปิด เดินลงบันไดมาอย่างคิดไม่ตก ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเทียนหรือเปล่าเพราะตัดสินอะไรไม่ได้จากห้องที่ว่างเปล่านั่น แต่จะว่าไปประตูระเบียงเมื่อคืนได้ล็อกหรือไม่ได้ล็อกวะ จำไม่ค่อยได้แฮะ เป็นไปได้มั้ยว่ายัยนั่นจะลอบเข้ามาแล้ว... กลิ่นน้ำมันหอยโชยมาจากในครัว ทำให้ความคิดผมหยุดกึก นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นยัยนั่น ผมพุ่งตรงไปที่ห้องครัวอย่างเร็วตั้งใจจะจับคนผิดมาชำระความเต็มที่แต่ว่าคนที่อยู่ในครัวกลับทำผมอึ้งไปชั่วขณะ… ร่างสูงใหญ่หันมามองทางประตู “อ้าวเรซ” “เฮีย…” ผมกะพริบตางงๆ ก่อนปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ เดินเข้ามามองอาหารสองสามอย่างบนโต๊ะพลางเลิกคิ้วถาม “เฮียซื้อมาเหรอ” “บร๊ะ! ไอ้นี่ ใครจะซื้อของแบบนี้กัน หน้าอย่างเฮียเหมาะกับเหล้ายามากกว่า” “งั้น” ผมหลุบมองอาหารที่เหมือนซื้อมาจากตลาดแต่หน้าตาดีกว่ามากอย่างเคลือบแคลง แต่ก็ไม่อยากพูดสิ่งที่กำลังคิดออกมา เป็นเฮียที่เลิกคิ้วทำสีหน้าระอาใส่ผม “จะงงอะไร ก็แม่บ้านเราไง อร่อยด้วยเฮียชิมแล้ว” “เฮียหมายถึงอาหาร?” “เอ้า! ก็อาหารสิวะจะอะไรล่ะ” เฮียมองผมด้วยสายตาแปลกๆ “ถ้าเฮียรู้ว่ามาที่นี่แล้วจะได้กินข้าวอร่อยๆ แบบนี้เฮียคงแวะมาทุกวัน ต้องเห็นตอนเทียนใส่ผ้ากันเปื้อนตอนกำลังทำอาหารนะ อื้อหือ ใจเฮียนี่แทบจะละลาย” เฮียพูดพลางกำมือกำไม้ แววตาหื่นอย่างกับพวกโรคจิต “แล้วนั่นหน้าโดนอะไรมา ทำไมมีรอยแบบนั้นวะ” เฮียยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ ผมเบือนหน้าหลบ ผลักเฮียกลับไปอย่างรำคาญ “ไม่มีอะไร” “แต่เหมือนรอยสีเลยนะ” “คราบน้ำมันเครื่อง มันติดมือแล้วเผลอเช็ดหน้าเลยเป็นอย่างที่เห็น” ผมโกหก แน่นอนเฮียไม่เชื่อ แค่ทำหน้าแปลกประหลาดใส่ผมแล้วหันกลับไปยัดข้าวเข้าปากต่อ ผมมองผัดถั่วงอกใส่เต้าหู้ไข่ ยำไข่ดาว แล้วก็หมูผัดน้ำมันหอยด้วยแววตาลุกวาว เป็นฝีมือยัยนั่นจริงด้วยสินะ “แล้วนี่… ยัยนั่นไปไหน” “เทียนเหรอ เฮียไปส่งที่มอแล้ว เห็นบอกมีเรียนช่วงบ่าย” “แล้วเฮียมาตอนไหนเนี่ย” “ก็สักสิบโมงได้มั้ง เห็นเทียนกำลังทำกับข้าวพอดี” ผมพยักหน้า มองเฮียลุกไปเติมข้าวเพิ่มด้วยแววตาฉงน “อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอเฮีย” “อืม เอามั้ยเฮียตักให้” เฮียบอกอย่างตื่นเต้น ผมส่ายหน้า ก่อนเดินไปชงกาแฟกับปิ้งขนมปังกินเหมือนทุกวัน “เฮ้ยกินของที่มันมีสารอาหารกว่านั้นไม่ได้เหรอวะ” “ช่างผมเหอะน่า ว่าแต่เฮียมานี่มีธุระอะไร” “ก็… จริงๆ ไม่มีไรมาก วันนี้เฮียว่างก็เลยแวะมาส่องแม่บ้านคนใหม่สักหน่อย แล้ว…” เฮียมองผมด้วยสายตาคล้ายกำลังอ่านเกม จู่ๆ ก็หยุดพูด จนผมชักทนสายตาจดๆ จ้องๆ ของเฮียไม่ไหว “แล้วอะไร” ผมถาม “เฮียไม่ใช่เด็กมอนะ แต่ก็ควงสาวๆ หลายคน ทำไมเฮียจะไม่ได้ยินข่าวเรื่องผู้หญิงที่ขึ้นรถไปกับเรซ” “….” “เฮียไม่พูดไม่ได้แปลว่าเฮียไม่รู้ จู่ๆ เทียนจะมาเป็นแม่บ้านเหรอ ต่อให้คนโง่ก็ดูออกว่ามันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง” ผมหรี่ตาลง มองสบสายตาคมกริบเหมือนใบมีดผ่าตัดที่ชำแหละความจริงมาแล้วรอบหนึ่ง เอ่ยออกไปเสียงนิ่ง “เฮียก็รู้เรื่องยัยนั่นแล้วไม่ใช่เหรอ” “เออ! ยอมรับว่าสืบมาแล้ว เทียนเพิ่งเลิกกับแฟน แต่ที่เฮียไม่แน่ใจคือสาเหตุที่เลิกแล้วก็ท่าทีของแฮค เฮียรู้สึกว่าพวกเอ็งสองคนปิดบังอะไรบางอย่าง” ผมมองหน้าเฮีย เส้นอารมณ์รัดตึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเฮียพูด และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาถกกันเพราะเรื่องผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ ตัดบทไปอย่างรำคาญ “เฮียคิดมากเกินไปหรือเปล่า” “ก็ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะว่ะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม