ก่อนหน้านั้น...
ใต้แสงสลัวของหลอดไฟสีเหลืองนวล สาดกระทบเลือนรางเข้ามาในลานโล่ง มีโต๊ะเรียงรายอย่างไม่ค่อยเป็นระเบียบนัก ทุกโต๊ะถูกจับจองเอาไว้จนแน่นขนัด บางโต๊ะที่นั่งไม่พอถึงกับต้องขอเก้าอี้เสริม ลานเบียร์ในค่ำคืนนี้นับว่าคึกคักเป็นพิเศษเพราะมีนักร้องมืออาชีพมาสร้างสีสันบนเวที
ท่ามกลางบรรยากาศกรึ่มอกกรึ่มใจ ลมเย็นพัดโชย คลอไปกับเสียงเพลงสไตล์ป็อปร็อกจังหวะไม่รุนแรงแต่บีบคั้นความรู้สึก โดยเฉพาะกับคนที่กำลังกลัดกลุ้มกับความรัก
แสงจ้องมองแก้วเบียร์สีเหลืองจาง ไอน้ำเกาะไหลเป็นสายซึมลงบนพื้น แวบเดียวก็หยิบมาดื่มแล้ววาง ทำซ้ำไปมาอยู่หลายรอบ ก่อนถูกเสียงเฮฮาปาร์ตี้ของเพื่อนเรียกร้องความสนใจ
“อ้าวเฮ้ยชนโว้ย! ”
เกิดเสียงกระทบแก้วเบาๆ อยู่ตรงกลางโต๊ะ ก่อนจะแยกย้ายกันในเวลาอันรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงกลืนเบียร์ลงคอแข่งกันอย่างสนุกสนาน แสงไม่รู้สึกอินไปกับบรรยากาศ ร่างสูงวางมือที่ถือแก้วลงบนโต๊ะอย่างกับไร้เรี่ยวแรง สายตาเหม่อมองไปข้างหน้าไม่มีจุดหมาย จ่อมจมอยู่ในโลกของตัวเองไม่สนใจคนรอบข้าง เพื่อนคนหนึ่งสังเกตเห็น เข้ามาคุยด้วยความเป็นห่วง
“เฮ้ยเป็นไรวะ มึงไหวนะ กินก็ไม่เยอะนี่หว่า อย่าบอกนะว่าเมา”
“เปล่า” แสงพ่นลมหายใจยาว เบือนหน้าไปทางอื่นเหมือนไม่อยากคุย เพราะแค่นึกก็เหมือนมีใบมีดกรีดลึกในหัวใจ แต่เพื่อนคนนั้นกลับจดจ้องแสงเหมือนลังเลอะไรสักอย่าง จนแสงรู้สึกผิดสังเกตหันกลับมามองใบหน้าพิพักพิพ่วนของเพื่อนอย่างสงสัย
“มีไรวะ”
“เปล่าไม่มี”
“ไม่เนียนสัส มีอะไรก็พูดมา อ้ำอึ้งอยู่นั่น หรือมึงเป็นเกย์”
“เกย์พ่อมึงสิ กูแค่จะบอกว่าเห็นคนหน้าเหมือนเมียมึงขึ้นรถบีเอ็มสีเหลืองเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่กูว่ากูคงตาฝาด อย่าคิดมาก”
“บีเอ็มสีเหลืองออสตินติดสติ๊กเกอร์เรดซัน” แสงเค้นเสียงยะเยือกผ่านลำคอ เพื่อนคนนั้นกำลังจะผละจากไปหันขวับมามองอย่างอึ้งๆ
“มึง... รู้ได้ไงวะ”
“แถวนี้จะมีบีเอ็มสีเหลืองสักกี่คัน” แสงเอ่ยอย่างคับข้องใจ รถเด่นขนาดนั้นย่อมถูกเพ่งเล็งจากสายตาคนอื่นเป็นธรรมดา ขับไปไหนก็เตะตาชาวบ้านไปทั่ว
“ก็จริงของมึง แล้วตกลงใช่เทียนหรือเปล่าวะ” เพื่อนลองเลียบเคียงถาม เห็นใบหน้าแสงเงียบขรึมลงทันใดก็ไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ ยิ้มแห้ง แยกตัวออกไปเงียบๆ ปล่อยให้แสงจมอยู่ในห้วงความคิดตัวเองต่อไป
ท่ามกลางบรรยากาศชิวๆ เวลาล่วงเลยถึงตีหนึ่ง นักร้องบนเวลาทีร้องอำลาเพลงสุดท้ายด้วยเพลงรักหวานๆ ก่อนจาก แสงไม่ได้สนใจ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดดูภาพถ่ายที่น้องสาวส่งมาให้อีกรอบ เป็นภาพของเทียนเปิดประตูขึ้นรถบีเอ็มดับเบิลยูสีเหลืองออสตินออกไป แววตาของแสงรวดร้าวราวกับมีเข็มสักล้านเล่มทิ่มแทง เขาไม่อยากเชื่อสักนิด แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเทียนอาจจะกำลังปั่นหัวเขาอยู่
แม่งโว้ย!
เป็นเวลาเกือบเที่ยงที่แสงกลับมาที่ห้อง หลังลานเบียร์ปิดเขาก็ถูกลากไปต่อที่ห้องของเพื่อนคนหนึ่ง ตามจริงจะปฏิเสธก็ได้ แต่ในตอนนั้นไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงได้บ้าไปกับพวกมัน แสงสะบัดศีรษะไล่ความมึนทีหนึ่ง ไขประตูเปิด ภายในห้องเงียบกริบ ไร้วี่แววแฟนสาว เขาถอดรองเท้าไว้บนชั้น สวมสลิปเปอร์เดินตรงเข้ามาในห้องตามปกติ
ความเงียบสงบนี้ช่างเวิ้งว้าง แสงปรายตามองไปรอบๆ อย่างไร้ความหมาย โยนกระเป๋าสตางค์โทรศัพท์มือถือหน้าจอดำมืดลงบนเตียง อารมณ์หนักอึ้งกดทับโสตประสาทไม่รู้เป็นเพราะยังไม่สร่างเมาหรือเครียดเรื่องแฟน เขาค่อนข้างหงุดหงิดกับสภาพที่เป็นอยู่ เดินไปฉวยผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ ปิดประตูดังปังอย่างใส่อารมณ์
หลังอาบน้ำเสร็จอารมณ์กรุ่นจึงจางลง เขาสวมกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว หยิบโทรศัพท์กับสายชาร์ตเดินเข้ามาในครัว แซนวิสทำเองสองชิ้นวางอยู่ในจานถูกพันไว้ด้วยฟิล์มถนอมอาหาร มีกระดาษโน้ตแปะไว้ด้านบน มุมปากแสงยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เดินเข้าไปดึงโน้ตขึ้นมาอ่าน
‘เทียนมีเรียน กลับแล้วโทรหาเทียนด้วยนะคะ เป็นห่วงมาก’
แสงใจอ่อนยวบขึ้นมาทันที มองแซนวิสที่เทียนทำให้อย่างรู้สึกผิด รีบเสียบแบตเปิดเครื่องเคาะนิ้วนั่งรอสักพักหน้าจอก็สว่างวาบ หยิบแซนวิสขึ้นมากินไปพลาง ไม่นานหน้าจอก็กลับมาใช้งานได้ปกติ ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือโทรหาเทียน บอกเธอว่ากลับถึงห้องแล้วและขอโทษที่เมื่อคืนไม่ได้โทรหา แต่ยังไม่ทันจะโทรออกไลน์พะแพงก็เด้งเตือนขึ้นมา แสงเปิดอ่านแบบไม่ได้ตั้งใจ
หนังศีรษะชายหนุ่มชาวาบ ดวงตาแข็งค้างจ้องมองภาพบนจอ ภายในรู้สึกปั่นป่วน
รูปถ่ายหลายรูปถูกส่งเข้ามารัวๆ เป็นรูปถ่ายนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่งภายในร้านกาแฟของมหาลัยจนกระทั่งภาพตอนเดินโอบเอวกันออกจากร้านก็ถูกถ่ายส่งมา รวมแล้วเกือบสิบภาพ
พะแพง : ควงกันโต้งๆ ขนาดนี้ยังไม่เชื่อก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว พี่น่ะถูกหลอก รีบๆ ตื่นสักทีเถอะพี่แสง
เทียน
Exo Coffee Shop
ภายในร้านกาแฟไม่ใหญ่มาก มองปราดเดียวก็เห็นเขานั่งโดดเด่นอยู่บนโต๊ะนั่นคนเดียว ข้างหน้ามีกาแฟร้อนแก้วเล็กกับน้ำเปล่าหนึ่งขวด สายตาที่กำลังมองวิวนอกกระจกตวัดกลับมาเมื่อรู้สึกว่ามีคนเดินมาหา
“....” เรซหรี่ตาลงอย่างประหลาดใจที่เห็นฉันแต่สีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่ง เบนสายตามองไปด้านหลังฉันเหมือนกำลังหาใครบางคน
“คะนิ้งกลับไปแล้ว”
เรซเข้าใจทันที เขาไม่มีท่าทางแปลกใจสักนิด ลุกขึ้นยืนเอามือล้วงถุงกางเกงหนึ่งข้างแล้วโน้มหน้าลงมาถามใกล้ “งั้นเธอจะไปกับฉัน?”
ลมหายใจหยาบกระด้างที่เกือบจะรดผิวแก้มทำฉันร้อนวูบ ถอยหลังออกมาอย่างนึกรังเกียจ
“ฉันจะคุยกับนายเรื่องเมื่อคืน”
“อ้อ...” เรซทำเสียงในลำคอ ดวงตาคมกริบเหลือบมองรอบๆ แวบหนึ่ง ทำให้ฉันตระหนักถึงสายตารอบข้างที่กำลังมองพวกเราสองคนอย่างสนอกสนใจ
เทียบกับดาราดังที่เรียนที่นี่ เรซไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรมาก แต่ด้วยใบหน้าหล่อเหลา แต่งตัวดูดี ภาพลักษณ์คุณชายหัวสูงจอมหยิ่งย่อมสะดุดตาคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ชายหนึ่งในสี่ของมหาลัยรู้จักเรซเพราะสนใจรถ และผู้หญิงอีกเกือบครึ่งมหาลัยอยากควงเขาเพราะรูปร่างหน้าตา
ก่อนเกิดเรื่องที่หัวหินฉันพอได้ยินเรื่องของเรซจากวงสนทนาในกลุ่มเพื่อนๆ พี่แสงมาบ้าง รู้ว่าเขาเปลี่ยนรถหรูขับเป็นว่าเล่น... อยู่ในวงการแข่งรถ... ควงผู้หญิงใหม่ไม่ซ้ำแต่ละคนเด็ดๆ ทั้งนั้น... ก็เหมือนเวลาพวกผู้หญิงเกาะกลุ่มนินทาคนที่เพอร์เฟคกว่านั่นแหละ ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่ฟังแบบผ่านๆ ไม่เคยคิดอะไร จนรู้ว่าคะนิ้งคบหากับริกกี้ตอนนั้นฉันอึ้งมากเพราะได้ยินเรื่องราวของริกกี้ในวงสนทนามาพอๆ กับเรซ ไม่นึกว่าคนที่ท่าทางร้อนแรง เกรี้ยวกราดราวพายุดีเปรสชั่นแบบนั้นจะมาลงเอยกับเพื่อนในกลุ่มที่ทั้งใสสะอาดและเรียบร้อยเหมือนผืนน้ำนิ่ง
ตอนรู้ว่าไปเที่ยวหัวหินกับพวกนั้นฉันเองก็แอบตื่นเต้นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ ถึงขนาดเอาชุดบิกินี่ไปด้วย แต่ฉันสาบานได้ว่าไม่ได้คิดจะอ่อยใคร แค่อยากรู้ว่าอย่างฉันจะทำให้คนเหล่านั้นหวั่นไหวได้หรือเปล่า และฉันก็ได้รู้ว่าผู้ชายจะแวดวงไหนก็เหมือนกันหมด ยังจำสายตาและท่าทางกระสับกระส่ายของแฮคกับเฮียหมูได้ สองคนนั้นแทบจะอ่อนระทวยอยู่ใต้บิกินี่ของฉัน แต่เรซกับริกกี้ไม่ใช่ พวกเขาไม่แม้แต่จะชายตามองฉันด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายผู้ชายก็เหมือนกันหมด
“ออกไปคุยกันข้างนอก”
เรซเอ่ยอย่างรำคาญ ท่าทางเขาไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาชาวบ้าน เหอะ! หน้าอย่างนายมีอะไรให้เสียหายด้วยหรือไง ฝั่งฉันต่างหากที่มีแต่เสียกับเสีย และถ้าไม่ติดตรงที่กลัวว่าจะมีใครเอาเรื่องฉันกับนายไปเป่าหูพี่แสงละก็ฉันไม่มีทางตามน้ำอย่างนี้เด็ดขาด
“ก็ดี จะได้คุยกันได้ถนัด”
ฉันหันหน้าไปทางประตูร้าน ยังไม่ทันจะก้าวไปข้างหน้า ฝ่ามือหนาก็ยื่นมาโอบเอวจากด้านหลัง
“เฮ้! อะไรของนาย ปล่อยนะ” ฉันจ้องเรซนัยน์ตาขวาง กระซิบบอกอย่างไม่พอใจ รีบแกะมือที่เกาะเอวออกแต่หมอนั่นกลับกระชับแน่นขึ้นกว่าเดิม พูดออกมาหน้าตาย
“หรือจะให้อุ้ม”
ฉันอ้าปากค้าง พูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปชั่วขณะ เรซเหลือบลงมองข้อเท้าที่ถูกพันด้วยผ้ากอซของฉันแวบหนึ่ง
“รถจอดไกล ขืนปล่อยเธอเดินเอง ปีหน้าจะถึงมั้ย”
“เว่อร์! ฉันเดินได้ ไม่ต้องมาจับ”
ฉันเหวี่ยงเรซออก หอบหายใจรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง จ้องเขาอย่างโกรธๆ
“ไม่ต้องมาทำเป็นหวังดี เมื่อคืนนายยังไม่สนใจฉันเลย”
“แล้วใครใช้ให้ข้ามถนนไม่ดูรถ โชคดีแค่ไหนที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้”
เขาไม่ได้สำนึกเลยสักนิด หน้าฉันแดงซ่านด้วยความโกรธที่พุ่งทะยาน อ้าปากจะเถียงแต่เรซก็เข้ามาคว้าเอวฉันกึ่งลากกึ่งประคองออกจากร้านอย่างฉับไวไม่เปิดโอกาสให้ฉันได้พูดอะไรอีก