หญิงสาวรำพึงในใจ ทว่าสติเพียงน้อนนิดไม่อาจแยกแยะความจริงหรือความฝัน ความรู้สึกเหมือนไฟดับแล้วสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง ภาพแห่งความทรงจำที่ทับซ้อนอยู่ในอดีต ผุดพรึ่บพรั่บขึ้นมาในการรับรู้ หากมันก็เร็วมากจนพร่าเลือนและลำดับไม่ได้ เมื่อน้ำค้างพยายามจะเพ่งมอง ทำให้รู้สึกว่าร่างกายของเธอเบาหวิว เป็นปัจจุบันขณะที่ว่างโหวง โงนเงน เสียการทรงตัวไปชั่วขณะสั้นๆ
ความรู้สึกว่าบางอย่างกำลังถูกส่งผ่านมาจากห้วงอดีต จากดวงตาสีสนิมเหล็กของชายหนุ่ม ไม่ชัดเจนนักว่าคืออะไร แต่รับรู้ได้รุนแรง
วูบหนึ่ง…ความทรงจำบอกว่าเธอเคยรู้จักชายผู้นี้ และก็วูบหนึ่งอีกเช่นกัน ที่เธอรู้สึกว่าเธอไม่รู้อะไรเลย เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
ในวินาทีนั้น หญิงสาวหารู้ไม่ว่ารอนนี่เองก็รู้สึกเช่นเดียวกับเธอ
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นความสงสัยของหญิงสาว ทว่ามันคือความสงสัยของรอนนี่เช่นกัน
“น้ำ…”
เสียงเพ็ญตะโกนลั่นมาจากทางด้านหลัง เมื่อเห็นเพื่อนสาวตกอยู่ในอาการเหม่อลอย แน่นิ่งไปชั่วขณะราวกับถูกมนต์สะกด ‘ชั่วขณะ’ ที่มีเพียงน้ำค้างและรอนนี่เท่านั้น ที่รับรู้ว่ามันยาวนาน รู้ว่าเธอเห็นอะไร? และเขาเห็นอะไร?
“เป็นอะไรไป…ไม่สบายหรือเปล่า”
เพ็ญละล่ำละลักถามด้วยความเป็นห่วง ขณะปรี่เข้าประคองร่างของเพื่อนสาวที่อยู่ในอาการโงนเงน
“คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
คนที่ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อครู่ ที่รับรู้ได้เพียงเธอกับเขา ยืนเก้ๆกังๆ ในใจอยากช่วยประคอง ทว่าช้ากว่าเพ็ญ
“อาการเหมือนจะเป็นลมค่ะ…บอกไม่ถูก รู้สึกว่าดวงตาพร่าไปชั่วขณะ มันเห็นภาพวูบวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นทุกอย่างก็หมุนคว้าง” น้ำค้างพยายามอธิบาย
รอนนี่อยากจะบอกว่าเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน
“เค้าเรียกว่าเห็นดาว”
เพ็ญเข้าใจว่ามันคืออาการตาพร่า วิงเวียนจนรู้สึกว่ามีแสงวูบๆ คล้ายอาการหน้ามืดกะทันหัน
“มันบอกไม่ถูก…ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน” น้ำค้างกล่าว
“อาการไมเกรนกำเริบหรือเปล่า…เอายาติดตัวมาด้วยมั้ย”
เพ็ญพยายามหาสาเหตุ เพราะรู้ว่าไมเกรนคือโรคประจำตัวของน้ำค้าง มันทำให้เธอปวดกระบอกตา หลายๆครั้งถึงขั้นตาพร่า เห็นแสงวูบวาบก็เคยมาแล้ว
“อาจเป็นได้…”
น้ำค้างเดาถึงอาการประหลาดเมื่อครู่ แต่ก็นึกค้านขึ้นในใจ หากเกิดจากไมเกรน เธอน่าจะปวดศีรษะ ทว่าคราวนี้อาการปวดศีรษะหรือปวดกระบอกตาก็หามีไม่ เธอพยายามจะอธิบายความรู้สึกในขณะนั้น ทว่าก็ดูสับสน วกวน จับต้นชนปลายไม่ถูก จนคนฟังหัวเราะ
“มันแปลกมาก…ภาพที่ผุดวาบขึ้นมา มันเหมือนภาพในความฝัน ไม่ใช่แค่ภาพ แต่มันคล้ายกับมีเสียงแทรกมาด้วย”
“เสียงอะไร?” เพ็ญขมวดคิ้ว
“เสียงบรรเลงดนตรีไทย ภาพศาลาริมน้ำ” น้ำค้างตอบ
“แน่ละสิ…โน่นไง เห็นการแสดงตรงโน้นมั้ย”
เพ็ญชี้ไปที่ลานสำหรับโชว์การละเล่นและการแสดงของตลาดน้ำ แลเห็นวงดนตรีไทยกำลังบรรเลงอยู่พอดี หากน้ำค้างรู้ดีว่าไม่ใช่ เสียงที่เธอได้ยินนั้นกังวานของมันเสนาะกว่านี้หลายร้อยเท่านัก
“ไปๆ…อย่างนี้ต้องนั่งพัก ตาลายจนลมออกหู อาการแบบนี้ฉันเคยเป็นบ่อยๆ”
เพ็ญสรุป พลางจูงมือเพื่อนสาวไปนั่งพักใต้ร่มหูกวางต้นใหญ่ ทอดเงาอันร่มรื่นให้นักท่องเที่ยวได้หลบแดดร้อน แลเห็นไอของมันเต้นระริกอยู่เหนือผิวน้ำในลำคลอง
ระหว่างที่เพ็ญกำลังสาละวนอยู่กับการยื่นยาหม่องยาดมให้น้ำค้าง รอนนี่หายตัวไปชั่วครู่ ก่อนจะกลับมาพร้อมกับขวดน้ำในมือ
“น้ำเย็นๆครับ”
รอนนี่ยื่นขวดน้ำให้น้ำค้างด้วยแววตาห่วงใย ทั้งที่ไม่แน่ใจนักว่าตัวเองคือต้นเหตุที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ จากนั้นก็ทรุดร่างสูงใหญ่ลงนั่งใกล้ๆ รอดูจนเห็นว่าอาการของน้ำค้างดีขึ้น ครั้นแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า
“ดีขึ้นมั้ยครับ”
“ค่ะ…ไม่เป็นไรแล้วคะ”
น้ำค้างตอบให้คนถามคลายกังวล เมื่อเห็นว่ารอนนี่เป็นห่วง
ได้ยินดังนั้น เขาจึงแยกตัวออกไปถ่ายภาพเรือ ปล่อยให้เพ็ญดูแลน้ำค้างไปพลางๆ
เมื่อนั่งพักจนเห็นว่าอาการของน้ำค้างดีขึ้น เพ็ญจึงชวนเพื่อนสาวออกไปเดินเที่ยวริมตลาดน้ำ ระหว่างที่เดินไปตามทางซึ่งปูเอาไว้ด้วยแผ่นไม้กระดานขนาดใหญ่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นหมอดูคนหนึ่ง นั่งอยู่ตรงหัวมุมของร้านขายขนมไทย เป็นหญิงชรา ใบหน้ากร้านเกรียมไปด้วยริ้วรอยแห่งชีวิต เส้นผมเป็นสีขาวโพลนไปทั้งศีรษะ ขมวดมวยเอาไว้เรียบร้อย สวมเสื้อผ้าฝ้ายสีดำ คล้องลูกประคำสีขาวซึ่งทำจากกระดูกสัตว์เอาไว้รอบลำคอซึ่งแลดูยาวผิดสัดส่วน ไม่สัมพันธ์กับไหล่และบ่า ใบหน้านั้นยาวรีได้รูปแบบหญิงโบราณก็จริง ทว่าสิ่งที่ทำให้มันดูแปลกๆ ก็เพราะดวงตา จมูก ปาก และคิ้วที่วางเอาไว้ไม่ได้ตำแหน่ง ผิดไปจากพิมพ์นิยมที่เรียกกันว่าความงาม
หญิงชราชำเลืองมาที่น้ำค้าง ขณะที่เธอกับเพ็ญกำลังจะเดินผ่านไปอยู่แล้วเชียว
“หนู…”
เสียงห้วน สั้น หากก็รับรู้ได้ถึงพลังในน้ำเสียงที่พยายามเหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้
น้ำค้างมองซ้ายมองขวา ลังเลใจว่าอาจจะไม่ใช่เธอ ทว่าเมื่อแลไปรอบๆก็ไม่เห็นใครอื่น อีกทั้งคนที่เรียกก็ยืนยันอีกครั้ง ชัดเจน เมื่อหญิงสาวหันไปสบสายตา
“หนูนั่นแหละ…”
“คะ”
น้ำค้างขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าเพ็ญเป็นเชิงขอความเห็น
คราวนี้หญิงชรากวักมือ พร้อมกับเรียกเบาๆอีกครั้ง น้ำเสียงนั้งฟังดูเกือบจะกลายเป็นกระซิบกระซาบ
“มาตรงนี้หน่อย”
น้ำค้างก้าวเข้าไปใกล้ อันที่จริงเธอไม่นิยมดูหมอ ต่างจากเพ็ญซึ่งมีทีท่าว่าสนใจมากกว่า สังเกตได้จากอาการที่เพ็ญฉุดมือของเพื่อนสาวเบาๆ
“นั่งสิ”
หญิงชราผายมือไปที่เก้าอี้ซึ่งมีโต๊ะพับกั้นกลางเอาไว้ บนโต๊ะคลุมด้วยผืนผ้าสีขาว ที่มุมโต๊ะด้านหนึ่งแลเห็นไพ่ยิปซีวางซ้อนกันเอาไว้
ไม่ทันที่น้ำค้างจะเอ่ยอะไร หมอดูเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นมาก่อน
“ขอดูมือหน่อย”
น้ำค้างเห็นว่าคงไม่เสียเวลาอะไรมาก จึงทรุดร่างลงนั่งที่เก้าอี้ ต่อหน้าหญิงชราผู้นั้น อีกทั้งเธอก็ไม่ได้แสดงความประสงค์ออกมาก่อน ว่าตกลงจะใช้บริการหมอดูแต่อย่างใด คิดในใจว่าหมอดูรายนี้อาจจะต้องการอวดความแม่นยำ ต้องการทายทักเพื่อโน้มน้าวใจเธอ จากนั้นคงเรียกค่าครู ถ้าตกลงจะดูโดยละเอียดต่อไป
หญิงชราเพ่งพินิจลายมือของน้ำค้าง มือกร้านสัมผัสมือนิ่มของหญิงสาว
ครู่สั้นๆก็ทักออกมาว่า
“หนูเป็นคนมีสัมผัสพิเศษ…”
เจ้าของลายมือไม่ได้แสดงอาการตกใจแต่อย่างใด แต่คนที่สงสัยจนต้องถามออกมาก็คือเพ็ญ
“ดูจากตรงไหนคะ?”
“กากบาทระหว่างเส้นชีวิตกับเส้นสมอง…ขอดูอีกมือซิ”
น้ำค้างแบมืออีกข้างให้ดู
“อืม…มีทั้งสองมือเสียด้วย” หญิงชราบอก
น้ำค้างขมวดคิ้ว ครุ่นคิด นับเป็นความรู้ใหม่ ที่ได้รู้ว่า ‘หากมีกากบาทระหว่างเส้นชีวิตกับเส้นสมอง จะเป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษ’
“สัมผัสที่หกใช่มั้ยคะ?” เพ็ญถาม
“…..” หมอดูพยักหน้า