“เอ่อ…หมายถึงจะเห็นผีใช่ไหมคะ” เพ็ญยังไม่หายสงสัย
“เจ้าของลายมือนี้จะสามารถสื่อสารกับโลกของวิญญาณ รวมไปถึงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ มักจะมีลางสังหรณ์รุนแรงและแม่นยำเสมอ” หมอดูตอบยิ้มๆ
น้ำค้างไม่ได้แสดงความรู้สึกตื่นเต้นตกใจ หรือต้องการจะออกความเห็นต่อคำทำนายของหมอดูแต่อย่างใด
ขณะกำลังจะชักมือกลับและจากไป หมอดูรีบทักขึ้นอีกประโยค
“เส้นลายมือนี้มีเนื้อคู่เป็นคนต่างชาติ”
เมื่อหมอดูพูดจบ คนที่มีอาการตกใจกับคำทำนายกลับไม่ใช่เจ้าของลายมือ ทว่าเป็นเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆอีกนั่นแหละ
“อุ๊ย…อยากรู้บ้างจัง เอ่อ…ว่าเส้นเนื้อคู่ของหนู มีบ้างมั้ยคะหมอ” เพ็ญถามอายๆ
ทว่าในขณะที่กำลังจะแบมือให้หมอดู น้ำค้างชิงตัดหน้าด้วยการกล่าวขอบคุณหญิงชราเพียงสั้นๆ สำหรับคำทำนายทายทัก จากนั้นก็หยัดร่างขึ้นจากเก้าอี้ ฉุดมือเพื่อนสาวให้ก้าวออกมาจากตรงนั้นทันที
“เฮ้ย…ดะ..ดะ…เดี๋ยว ทำไมล่ะน้ำ จะรีบไปไหน”
เพ็ญยังห่วงเรื่องลายมือ อยากรู้ว่าเส้นไหน? ที่บอกว่าจะได้เนื้อคู่เป็นชาวต่างชาติ เผื่อว่าเธออาจจะมีกับเขาบ้าง
“รีบไปเถอะ…ลูกทัวร์รอแล้ว”
น้ำค้างตัดบท ราวกับว่าเรื่องที่หมอดูทำนายทายทักเมื่อครู่ ล้วนงมงาย ยืนยันด้วยประโยคที่เธอรำพึงขึ้นลอยๆว่า “หมอดูคู่กับหมอเดา…อย่าไปจริงจังอะไรนัก”
“ซะงั้น…แหม กำลังอยากรู้อยู่เชียว” เพ็ญทำหน้าเสียดาย
“อยากรู้อะไรหรอ” น้ำค้างหันกลับมาถาม
“อยากรู้ว่าฉันจะมีเนื้อคู่เป็นชาวต่างชาติกับเค้าบ้างหรือเปล่า” เพ็ญกล่าวเขินๆ
“มีสิ…” น้ำค้างให้กำลังใจ
“จริงหรอ…รู้ได้ยังไง” เพ็ญย่นหน้าผาก ท่าทางตื่นเต้น
“ถ้าชอบก็ไม่ยาก ทำทัวร์มานาน เจอฝรั่งทุกวี่ทุกวัน…แกก็จีบจริงๆจังๆสักคนสิ” น้ำค้างแนะ
“เคยมีหมอดูคนนึงทักเอาไว้ เมื่อนานมาแล้ว” เพ็ญนึกย้อนไปถึงครั้งอดีต
“ว่า…”
“ว่าฉันจะมีเนื้อคู่เป็นชาวต่างชาติ”
“แล้วแม่นมั้ย”
“ถ้าแม่นก็คงไม่โสดมาจนถึงป่านนี้…หรือไม่หมอดูก็บอกไม่ละเอียด ที่ว่าจะมีเนื้อคู่เป็นชาวต่างชาติ หมายความว่า ‘ฉันอยู่ชาตินี้’ แต่ ‘เนื้อคู่อยู่ชาติหน้า’ รึเปล่านะ?”
“คิดได้ยังไง” น้ำค้างทั้งขำ ทั้งเห็นใจเพื่อน
“ก็เห็นๆกันอยู่ว่าจนป่านนี้ ยังไม่มีฝรั่งหน้าไหนมาปิ๊งปั๊งฉันเลยสักราย…แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะได้ลงจากคานเสียทีล่ะเพื่อน” เพ็ญทำหน้าเศร้า ตัดพ้อตัวเองว่าไม่มีดวงเรื่องความรักเอาเสียเลย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เมื่อลูกทัวร์พากันก้าวเข้ามาภายใต้ชายคามุงแฝกของร้านอาหารจนพร้อมเพรียง ตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายเอาไว้ เพ็ญกวาดสายตานับจำนวนลูกทัวร์คร่าวๆ แล้วหันไปพยักหน้าเป็นสัญญาณให้กับน้ำค้าง
“มากันครบแล้วใช่ไหมเอ่ย…ใครหายไปช่วยบอกด้วยนะคะ” น้ำค้างตะโกนผ่านโทรโข่งที่ถืออยู่ในมือ
“ยังไม่ครบครับ”
เสียงดังมาจากลูกทัวร์คนหนึ่ง
“ขาดใครเอ่ย”
น้ำค้างย่นหน้าผาก
“ขาดคุณรอนนี่สุดหล่อค่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกนบอก
“ตายจริง...แล้วนี่มีใครเห็นคุณรอนนี่สุดหล่อบ้างมั้ยคะ” น้ำค้างทำตาโต
“เมื่อสักพักเห็นว่ากำลังถ่ายรูปเรืออยู่ทางฟากกระโน้นค่ะ” คุณป้าคนนึงร้องบอก
เห็นดังนั้นน้ำค้างจึงยื่นโทรโข่งให้เพ็ญ ฝากให้ช่วยดูแลลูกทัวร์ เธอจะไปตามรอนนี่ ก่อนที่เขาจะเดินเพลินจนพลัดหลงไปอีกทาง ขณะที่ทุกคนกำลังกระจายตัวไปนั่งตามโต๊ะที่แยกเอาไว้เป็นกลุ่ม
อีกฝากของฝั่งคลอง น้ำค้างส่ายสายตามองหาอยู่ชั่วครู่ ก็เหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ที่ปะปนอยู่กับผู้คนบนสะพานไม้ กำลังลั่นชัตเตอร์อย่างเพลิดเพลิน บันทึกภาพเรือพายหลายลำที่ล่องเรื่อยมาตามลำน้ำ จำลองภาพบรรยากาศการค้าขายทางน้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“เฮ้...รอนนี่ ทางนี้ค่ะ”
หญิงสาวกระโดดโบกไม้โบกมือให้สัญญาณ รอนนี่หันมาตามเสียงใส ทว่าแทนที่จะรีบก้าวลงมาจากสะพาน เขากลับเล็งกระบอกเสนส์มาที่เธอ แล้วเสียงชัตเตอร์ก็ลั่นรัว เก็บภาพของเธอเอาไว้ จนหญิงสาวต้องกะโกนบอกอีกครั้ง
“รอนนี่...ได้เวลาอาหารเที่ยงแล้วค่ะ มัวแต่ถ่ายภาพ ข้าวหมดไม่รู้ด้วยนะ”
รอนนี่ได้ยินไม่ชัดนัก ทว่าก็รีบก้าวลงมาจากสะพาน แล้วเดินตรงมาที่น้ำค้างในทันที
“คุณว่าอะไรนะครับ...ผมฟังไม่ได้ยิน” เขาเอียงใบหน้าถาม เมื่อเดินมาถึง
“ได้เวลาทานข้าวเที่ยงแล้วค่ะ”
“ขอโทษที่ทำให้คุณต้องมาตาม...ผมมัวแต่เพลิน ที่นี่สวยมากๆเลยครับ”
“ชอบใช่ไหมคะ”
“ชอบมากครับ”
คำตอบของรอนนี่ เรียกรอยยิ้มจากใบหน้าของหญิงสาวขึ้นมาอีกครั้ง การที่ได้รู้ว่าลูกทัวร์มีความสุขกับสิ่งที่เธอตั้งใจพาเขามาเที่ยวชม ก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตของเธอด้วยเช่นกัน
ออกจากอยุธยาได้ไม่นานก็เดินทางมาถึงลพบุรี รถทัวร์จอดใต้ร่มฉำฉาต้นใหญ่ สูงตระหง่านอยู่ข้างกำแพงวัง จากนั้นก็พาลูกทัวร์เที่ยวชมพระนารายณ์ราชนิเวศน์ ซึ่งชาวเมืองลพบุรีมักจะเรียกกันติดปากว่า ‘วังนารายณ์’ แล้วแวะให้อาหารฝูงลิงที่อาศัยอยู่รอบๆพระปรางค์อันมีลักษณะเป็นปราสาทเขมรในศิลปะบายน รู้จักโดยทั่วกันว่า ‘พระปรางค์สามยอด’ ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย เข้าพักที่โฮมสเตย์แห่งหนึ่งของเมืองเชลียง ซึ่งเป็นชื่อเดิมของอำเภอศรีสัชนาลัย ภายใต้บรรยากาศแบบบ้านสวนริมน้ำ มีคลองเล็กๆหลายสายเชื่อมมาจากแม่น้ำยม เอื่อยไหลมาหล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนสองฟากฝั่งของลำน้ำ
ตอนที่รถทัวร์เข้ามาถึงที่พัก บรรยากาศในตอนนั้นก็โพล้เพล้ จวนเจียนจะค่ำ ลักษณะของห้องพักเป็นเรือนไม้หลังเล็กๆ ปลูกอยู่ริมคลอง ในสภาพแวดล้อมที่อิงแอบไปกับธรรมชาติ เรือนพักทุกหลังจะมีระเบียงที่ด้านหลัง ยื่นออกไปสู่บึงบัว เพราะมีหนองน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่โอบอยู่ด้านหลังโฮมสเตย์แห่งนั้น
ใกล้ๆกับที่รถทัวร์จอด น้ำค้างกวาดสายตาสำรวจดูความเรียบร้อยของประเป๋าสัมภาระซึ่งพนักงานของโฮมเสตย์กำลังช่วยกันทยอยนำลงจากรถด้วยความขะมักเขม้น เอาไปส่งให้ถึงเรือนพัก ตามหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนแผ่นป้ายกระดาษที่ผูกติดเอาไว้กับกระเป๋าแต่ละใบ ด้วยหมายเลขกระเป๋าตรงกันกับหมายเลขของเรือนพักแต่ละหลัง ทำให้ใช้เวลาไม่นานนัก ในการลำเลียงสัมภาระ
เจ้าของที่พักพร้อมด้วยภรรยา เดินออกมาทักทายคณะทัวร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“สวัสดีค่ะ”
น้ำค้างยกมือไหว้ลุงเกษม ก่อนจะหันไปสวมกอดป้าสำอางซึ่งเป็นพี่สาวแท้ๆของแม่ด้วยท่าทางสนิทสนม
“แวะเมืองเก่ากันมาแล้วรึ”
ป้าสำอางถาม ‘เมืองเก่า’ ในความหมายของแกก็คืออุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยนั่นเอง
“ค่ะป้า…ออกจากเมืองเก่าก็ตรงมาที่นี่เลย” หลานสาวตอบ
“ลุงคิดว่าจะมาถึงกันตอนค่ำๆ”
ลุงเกษมเอ่ย จากนั้นก็หันไปทักทายเพ็ญและลุงแหลมผู้เป็นโชเฟอร์ด้วยท่าทีรู้จักมักคุ้น เพราะน้ำค้างพาลูกทัวร์มาพักที่โฮมสเตย์แห่งนี้เป็นประจำ
“ถึงเร็วเพราะรถวิ่งได้เร็วขึ้นค่ะลุง ทีแรกก็คิดว่าจะค่ำเหมือนกัน”
ที่น้ำค้างกล่าวเช่นนั้น เป็นเพราะเมื่อสองเดือนก่อน ถนนหนทางหลายเส้นถูกทำลายเพราะน้ำหลาก ทำให้การเดินทางเข้าไปในบางอำเภอของจังหวัดสุโขทัย โดยเฉพาะในแถบถิ่นอันเป็นที่ตั้งโฮมสเตย์ของลุงเกษม จึงเป็นไปด้วยความขลุกขลักทุลักทุเล ถนนหนทางที่เคยชำรุดเป็นหลุมบ่อ เพิ่งได้รับการซ่อมแซมเมื่อไม่นานมานี้เอง ทำให้การเดินทางสะดวกขึ้น ทว่าลึกๆในใจของน้ำค้าง กลับ