“แหม...เสี่ยค๊ะเสี่ยขา เพิ่งเจอหน้ากันก็จะชวน ‘ค้าง’ เลยหรอค๊ะ”
หญิงสาวใส่จริตจก้านในน้ำเสียงฉอเลาะได้อย่างน่ารัก ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ตีสำนวนตอบโต้ไม่ลดละ เพียงเท่านั้นก็เรียกเสียงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงหัวเราะของผู้คนที่นั่งอยู่ภายในรถ พลอยทำให้รอนนี่หัวเราะตามไปด้วย ทั้งที่บางประโยคเขาก็ฟังไม่เข้าใจนัก
ไม่แปลกที่ลูกค้าหลายๆรายที่เคยร่วมทัวร์ภายใต้การนำของน้ำค้าง จะรู้สึกประทับใจในตัวเธอ เพราะขณะทำงาน บุคลิกภาพของน้ำค้างจะเปลี่ยนไปเป็นผู้หญิงอีกคนที่มีความเป็นเอ็นเตอร์เทนเนอร์สูง เต็มไปด้วยความร่าเริงและอารมณ์ขัน มุกตลกโปกฮาเธอขนมาไม่อั้น และที่สำคัญคือเธอเอาใจใส่ต่อลูกทัวร์ทุกคนเป็นอย่างดี ขนาดพี่สมศรีที่เป็นเจ้าของบริษัท ถึงกับเอ่ยชมขึ้นกลางห้องประชุมบ่อยๆว่า ‘ถ้าพนักงานคนไหนอยากรู้ว่าการทำงานโดยมีจิตวิญญาณของไกด์นั้นเป็นเช่นไร? ให้ดูน้ำค้างเป็นตัวอย่าง’
รถยังคงแล่นเรื่อยมาตามถนน เสียงใสๆของเธอยังคงแว่วกังวานผ่านโทรโข่งอยู่เป็นระยะๆ
“ภายในตลาดน้ำมีบ้านไม้ทรงไทยโบราณที่หาชมได้ยาก มีลานแสดงการละเล่นของไทยด้วยนะคะ ตลาดน้ำอโยธยาเป็นตลาดน้ำที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดอยุธยา เพิ่งเปิดเมื่อไม่นาน จำได้ว่าเดือนธันวาคม ปี 2554 นี้เองค่ะ ใช้เวลาเดินเล่นกันราวๆ 40 นาทีพอมั้ยคะ? จากนั้นเราจะแวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านแห่งหนึ่ง อยู่ในตลาดน้ำนั่นละค่ะ เป็นร้านที่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติความอร่อย ใครที่มาตลาดน้ำเป็นอันต้องแวะ น้ำเชื่อว่าตอนนี้มีหลายคนเริ่มออกอาการท้องร้องเพราะหิวข้าวแล้วกระมังคะ เสร็จจากอาหารกลางวันค่อยไปต่อกันที่ลพบุรี เยี่ยมชมความสวยงามของพระนารายณ์ราชนิเวศน์ จากนั้นก็มุ่งตรงไปที่สุโขทัย”
ด้วยน้ำเสียงหวานใสและกิริยาท่าทางอันมีเสน่ห์ของน้ำค้าง ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาที่เธอ จึงมองเห็นแต่ความสดใสน่ารัก พูดจาฉะฉาน น้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าสวยหวานประดับรอยยิ้มราวจะแย้มอยู่ตลอดเวลา
ทว่าบางครั้ง…ใบหน้าเดียวกันนั้นก็เต็มไปด้วยเสน่ห์อันลึกลับ น่าค้นหา ด้วยอุปนิสัยที่เป็นคนสนุกสนานกับการทำงาน เธอสามารถทำให้คนฟังรู้สึกเป็นสุขในขณะที่เธอกำลังพูด อารมณ์ทะเล้นน้อยๆของเธอ เรียกรอยยิ้มและเสียงฮาจากลูกทัวร์ได้เป็นระยะๆ ตลอดเวลาที่โทรโข่งอยู่ในมือของเธอ
“คุณรอนนั่น…อุ๊ย! ขอโทษค่ะ มันคล้ายๆกัน คุณรอน ‘นี่’ ไม่ใช่รอน ‘นั่น’ เคยมาเมืองไทยแล้วหรือยังคะ” เธอหันไปชวนคุย เมื่อเห็นว่าเขานั่งอยู่ไม่ไกลจากที่เธอยืนอยู่ และดูเหมือนว่าทุกคนกำลังให้ความสนใจในตัวเขา ซึ่งเจ้าตัวได้แต่ยิ้ม เพราะไม่เข้าใจนักที่เธอเอาชื่อของเขามาแซวเล่น ว่ามันตลกอย่างไร? จึงมีบางคนหัวเราะ
“เป็นครั้งแรกครับ”
“งั้นก็แสดงว่ายังไม่เคยเห็นตลาดน้ำของเมืองไทยมาก่อน”
“ครับ” เขาตอบสั้นๆ
“อีกอึดใจเดียวนะคะคุณรอนนี่ รับรองได้เห็นแน่ อันที่จริงตลาดน้ำในเมืองไทยก็มีอยู่หลายที่นะคะ อยู่เที่ยวเมืองไทยต่อไปอีกสักพัก คุณจะได้เห็นเอง”
“เวนิสตะวันออก”
จู่ๆรอนนี่ก็กล่าวขึ้นมา
“ถูกของคุณรอนนี่ค่ะ อาจจะมีหลายคนที่ไม่รู้ หรืออาจจะเคยรู้ แต่ก็ลืมไปว่าเมื่อ 100 ปีก่อน กรุงเทพฯของเรานี่แหละค่ะ ที่ได้ขึ้นชื่อว่า ‘เสนิสตะวันออก’ ยุคสมัยนั้นยังไม่มีถนน เมืองไทยล้วนเต็มไปด้วยแม่น้ำลำคลอง มองไปทางไหนก็คลาคล่ำไปด้วยเรือแพนานาชนิด การคมนาคมเดินทางเพื่อติดต่อค้าขายในอดีตกาล จึงต้องพึ่งพาแม่น้ำลำคลองเป็นหลัก เรือแพเรือพายจึงขวักไขว่ไม่ต่างอะไรกับเมืองเวนิสในประเทศอิตาลี”
ภายในพระราชวังบางปะอิน รอนนี่เดินตามติดๆไปกับหมู่คณะ แทบไม่ห่างจากน้ำค้าง ซึ่งหญิงสาวเชื่อว่าเหตุผลที่เขาเลือกจะเดินตามเธอนั้น คงเป็นเพราะเธอสามารถไขข้อสงสัยให้กับเขาได้ ในบางจุดที่ไม่มีเจ้าหน้าที่นำชม ไม่มีคนคอยอธิบายให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของสถานที่ และมีบางครั้งที่เจ้าหน้าที่พูดเร็วเกินไป รอนนี่จับใจความไม่ทัน เขาก็มักจะหันมาถามน้ำค้างทุกครั้ง ซึ่งเธอก็สามารถให้ความกระจ่างกับเขาได้ด้วยภาษาอังกฤษ
ท่าทางของรอนนี่ดูมีความสุขมาก เขาทอดสายตามองดูโบราณสถานภายในพระราชวังบางปะอินอย่างให้ความสนใจ โดยไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อหน่ายแต่อย่างใด
เมื่อคณะทัวร์เดินตามๆกันมาถึงพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ปราสาทโถงกลางน้ำในแบบจตุรมุข ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรชิ้นเอกแห่งหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ตระหง่านอยู่กลางสระน้ำขนาดใหญ่ ถัดไปก็คือหอวิฑูรทัศนา พระที่นั่งหอสูงยอดมน ตั้งอยู่กลางเกาะ ที่สร้างเป็นหอสูงก็เพื่อเอาไว้ส่องกล้องชมความสวยงามของภูมิทัศน์รายรอบพระราชวังแห่งนั้น
เสร็จจากเที่ยวชมพระราชวังบางปะอิน ชั่วอึดใจใหญ่ๆรถก็แล่นมาถึงตลาดน้ำอโยธยาซึ่งระยะทางไม่ไกลกันนักกับจุดแรกที่ทัวร์แวะ จากนั้นก็ปล่อยให้ลูกทัวร์ได้เดินเล่นและซื้อของกันตามอัธยาศัย บ้างก็สนุกสนานกับการถ่ายภาพในภูมิทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจกับวิถีชีวิตริมน้ำ
ก่อนแยกตัวออกมาจากลูกทัวร์ น้ำค้างนัดหมายว่าอีกครึ่งชั่วโมงให้ทุกคนมาเจอกันตรงสะพานข้ามคลอง เพื่อรับประทานอาหารกลางวันร่วมกันในเรือนหลังเล็กๆริมน้ำ ที่แลเห็นลานระเบียงโล่งกว้างอยู่ไม่ไกล
“ชอบตลาดน้ำมั้ยคะคุณรอน”
น้ำค้างถาม ในจังหวะหนึ่งที่สายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่ของเขา
รอนนี่ยังคงเดินตามหลังเธอ และหลายครั้งที่เธอสังเกตเห็นว่าเขาแอบถ่ายภาพเธอ
“ชอบมากๆครับ”
เขาตอบพร้อมๆกับส่งยิ้มให้ แล้วก็หันไปบันทึกภาพของตลาดน้ำด้วยกล้องถ่ายรูปที่นำติดตัวมาก ปากกระบอกเลนส์ดูใหญ่แปลกตา เหมือนกับที่พวกช่างภาพมืออาชีพชอบใช้ รอนนี่ถ่ายภาพราวกับว่ากำลังทำงาน ท่วงท่าทะทัดทะเมง ดูคล่องแคล่วราวกับมืออาชีพ ทำให้หญิงสาวไม่อาจเก็บความสงสัยเอาไว้ได้
“คุณเป็นช่างภาพรึเปล่าคะ?”
“ใช่ครับ” เขาตอบยิ้มๆ
จริงอย่างที่เธอสงสัย
“เป็นช่างภาพประเภทไหนคะ” เธอถามอีก
“ช่างภาพสารคดีครับ”
รอนนี่เป็นช่างภาพอิสระที่เคยฝากฝีมือเอาไว้บนหน้านิตยสาร National Geographic มานับครั้งไม่ถ้วน สาเหตุที่เขาเลือกถ่ายภาพสารคดี ก็เพราะเขาหลงใหลในสภาพของความเป็นจริงที่ตาเห็น มากกว่าจะชื่นชมกับภาพที่จัดฉากกันขึ้นในสตูดิโออย่างงานถ่ายภาพแฟชั่นหรือโฆษณาทั่วๆไป เพราะเขาเชื่อว่า ‘สารคดี’ มีความท้าทายในตัวของมันเอง ภาพทุกภาพที่ถูกบันทึก จะเป็นประวัติศาสตร์ที่นำมาอ้างอิงถึงความมีอยู่จริงของมันได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เมื่อไม่มีการปรุงแต่ง ความจริงจึงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างไม่บิดเบี้ยว
แม้เขาจะเคยเริ่มอาชีพช่างภาพด้วยการถ่ายภาพแฟชั่นมาก่อนก็ตาม ทว่าภายหลังจากที่ได้สัมผัสกับงานแฟชั่นมาได้ระยะหนึ่ง เขากลับค้นพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เขาค้นหา แม้รายได้จากอาชีพช่างภาพสารคดี ไม่อาจเทียบได้เลยกับช่างภาพในแนวแฟชั่นหรือโฆษณาที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทว่ารอนนี่ไม่ใช่คนที่เดือดร้อนเรื่องเงิน เพราะเขาคือทายาทคนเดียวของมหาเศรษฐีชาวสเปนที่ถือหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทผลิตรถยนต์แบรนด์ดังของยุโรป
“น่าสนใจนะคะ”
เธอหมายถึงอาชีพของเขา ชายหนุ่มยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไร
“เพิ่งมาถึงเมืองไทยได้ไม่นาน…คุณรอนนี่ติดนิสัยคนไทยมาอย่างหนึ่งแล้วนะคะ…รู้ตัวมั้ย” ปลายเสียงตวัดสูงเป็นเชิงถาม
“นิสัยอะไรครับ” เขาชำเลืองมองเธอ ขณะที่เดินเคียงคู่กันไป
“ยิ้มเก่งค่ะ”
รอนนี่ได้ฟังที่น้ำค้างพูดจบ เขาก็ยิ้มให้เธออีกครั้ง ราวจะยืนยันว่าเธอพูดถูก ทว่าครั้งนี้…ที่ต่างไปก็คือรอยยิ้มนั้นดูหวานและตั้งใจมากกว่าทุกๆครั้ง
“น้ำค้าง”
รอนนี่รู้สึกคล้ายกับว่ามีอำนาจบางอย่าง สั่งให้เขาเรียกชื่อเธอ เขาเปล่งเสียงออกมาช้าๆ ราวจะสะกดเธอด้วยถ้อยคำของเขา
หญิงสาวหันมามองตาเขา วูบหนึ่งที่สายลมพัดผ่าน แพรผมสีดำขลับระยับอยู่ในเปลวแดด
อีกแล้ว…กลิ่นลีลาวดีละลิ่วลอยมาจากแห่งใดก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
ในวงสีน้ำตาลสนิมเหล็กกลางดวงตายาวรีคู่นั้นของรอนนี่ จู่ๆ…แวบหนึ่งที่มันประสานเข้ากับดวงตาของเธอ ราวกับว่าประกายสีน้ำตาลในดวงตาของเขา กำลังหลอมละลาย
“รอน…”
หญิงสาวเรียกชื่อเขาออกมาเบาๆ ราวกับว่ามีใครบางคนสั่งให้เธอทำ
ในวินาทีที่รู้สึกราวกับว่าโลกรอบตัวได้หยุดนิ่ง ตรงรอยต่อระหว่างความเป็นจริงและความฝัน สิ่งที่เคลื่อนไหวมีเฉพาะเธอกับเขา
หญิงสาวรู้สึกราวกับว่าม่านตาของเธอกำลังถูกแสกน เหมือนที่เห็นบ่อยๆในภาพยนตร์ไซไฟ เมื่อดวงตาของชายหนุ่มตรวจเจอลักษณะเฉพาะทางกายภาพบางอย่างที่ตรงกัน สีน้ำตาลในดวงตาของเธอและเขาหมุนช้าๆเหมือนภาพสโลโมชั่นของม่านชัตเตอร์ที่เคลื่อนเข้าสู่ศูนย์กลางเรตินา ก่อนจะหมุนเร็วขึ้นๆ จนหมุนติ้วแล้วปรากฏเป็นแสงวาบเหมือนไฟแฟลช
‘เกิดอะไรขึ้น’