หลังจากกดตัดสายโทรศัพท์มือถือจากน้องสาวได้ไม่นาน เปรมมิกาก็เงยหน้าขึ้นไปมองหนุ่มหน้าหวานที่เธอมานั่งรอเกือบชั่วโมง กำลังเดินผ่านหน้ารถเธอไป หญิงสาวเลยรีบเปิดประตูรถออกเพื่อเรียกให้น้องชายหยุดเดิน แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากเรียก ก็มีกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามา แล้วผลักร่างน้องชายของเธอจนเซไปชนกับรถที่จอดอยู่ด้านหน้ารถเธอเสียก่อน ใบหน้าคมสวยเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นฉับพลัน สายตามองไปยังกลุ่มวัยรุ่นด้วยความไม่พอใจ
“แกคือ...ปรัชญา มเหศวร...ใช่ไหม”
หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงคุกคามอย่างเปิดเผย สายตาแข็งกร้าวจ้องมองผู้ชายที่ลูกค้ารายหนึ่ง จ้างพวกเขามาสั่งสอน โทษฐานที่กล้ายุ่งกับคนรักของเธอ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้แต่นึกแปลกใจว่าเพราะเหตุใด
ลูกค้าสาวรายนั้นถึงสั่งให้เขาทำลายใบหน้าของผู้ชายคนนี้ พอได้มาเห็นกับตา ก็เลยเข้าใจว่าเพราะอะไรถึงบอกให้เขาทำลายแต่ใบหน้าของผู้ชายคนนี้ เขาพูดได้เต็มปากเลยว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าหน้าตาดีกว่าผู้หญิงเสียอีก แถมยังสวยกว่าลูกค้าสาวรายนั้นด้วย
‘แมร่งเฮ้ย!...ไอ้หมอนี่หน้าตาสวยกว่าผู้หญิงอีก กูไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนั้นกลัวจะถูกแย่งแฟนไป’
หลังจากทรงตัวได้แล้ว ปรัชญาก็หันมามองกลุ่มวัยรุ่นตรงหน้าด้วยความแปลกใจระคนสงสัย เหตุใดวัยรุ่นกลุ่มนี้ถึงรู้จักชื่อและนามสกุลของเขาได้ หรือจะเป็นฝีมือของชาลินี คนรักของเพทาย
ถ้าเขาจำไม่ผิด เมื่อหลายวันก่อนชาลินีประกาศออกมาซะดังลั่นเลยว่าห้ามเขาไปยุ่งกับเพทาย
แล้วถ้าเขาไม่เชื่อ เธอก็จะทำตามคำขู่ที่ให้เขาเอาไว้ด้วย หรือนี่จะเป็นคำขู่ของชาลินี
“ไม่ได้ยินที่กูถามหรือไง!”
“แล้วพวกคุณล่ะเป็นใคร? ทำไม...ถึงอยากเจอ...ปรัชญา มเหศวร”
มานิตาถามกลับอย่างไม่พอใจ มองจากการแต่งตัวของวัยรุ่นกลุ่มนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่าปรัชญากำลังตกอยู่ในอันตราย เธอนึกไม่ถึงด้วยว่าชาลินีจะเล่นแรงขนาดนี้ ทั้งที่ความจริงคนที่ก่อเรื่องไม่ใช่เพื่อนสนิทเธอเสียหน่อย แล้วทำไมคนที่ถูกหาเรื่องถึงกลายเป็นเพื่อนของเธอไปได้
“มันเรื่องของพวกกู มึงอย่าเสือก!”
หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นตวาดใส่นักศึกษาสาวอย่างหัวเสีย พวกเขาต้องการสั่งสอนแค่ผู้ชายหน้าสวยที่ลูกค้าสาวจ้างมาให้ทำร้ายเท่านั้น แต่ถ้าผู้หญิงคนนี้เข้ามาวุ่นวาย เห็นทีค่าตอบแทนคงต้องมีการเปลี่ยนแปลง
“ตากลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง”
ปรัชญาหันมาบอกเพื่อนสนิท เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเกี่ยวกับเขากับชาลินีและเพทาย เขาไม่อยากเอาใครเข้ามาพัวพันกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้ ที่สำคัญเขาไม่ต้องการให้มานิตาได้รับอันตราย
“ไม่ล่ะ! ฉันเป็นห่วงนาย กลับก็ต้องกลับด้วยกันสิ”
มานิตาพูดใส่หน้าปรัชญาอย่างไม่พอใจ เธอไม่ใช่ผู้หญิงเห็นแก่ตัว ที่พอเห็นเพื่อนมีปัญหาและได้รับอันตราย แล้วจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
“ไม่มีอะไรหรอกน่า เธอคิดมากไปหรือเปล่าตา”
“ฉันไม่ได้คิดมากนะปรัช แล้วฉันก็มั่นใจด้วยว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้คงถูกชาลินีจ้างมาทำร้ายนาย”
มานิตาพูดเสียงดังพร้อมกับชี้ไปยังกลุ่มวัยรุ่นที่ยืนทำหน้าเหี้ยม คุกคามเธอกับปรัชญา มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ในเมื่อคนที่มีเรื่องกับปรัชญามีแต่ผู้หญิงของเพทายเท่านั้น เธอจึงเชื่อและมั่นใจว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้คงถูกชาลินีจ้างมาทำร้ายปรัชญา
“ไม่เอาน่าตา อย่ามีเรื่อง”
ปรัชญายื่นมือไปเขย่าแขนเพื่อนสนิทเพื่อเตือนสติ กลุ่มวัยรุ่นที่ยืนขวางทางเขาอยู่น่ากลัวจะตายไป นิสัยบวกกับท่าทางแล้วก็คำพูดแสดงให้รู้เลยว่าวัยรุ่นกลุ่มนี้มาหาเรื่องเขาโดยเฉพาะ
“ฉันไม่ได้อยากมีเรื่องนะ แต่วัยรุ่นกลุ่มนี้ต่างหากที่อยากมีเรื่องกับพวกเรา หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ยัยชาลินีส่งวัยรุ่นกลุ่มนี้มาทำร้ายแกไงปรัช”
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกมั้ง ยังไงฉันก็เป็นพี่ชายของเพทายนะตา”
“ชาลินีไม่ได้คิดว่าแกเป็นพี่ชายของเพทาย แต่ยัยนั่นคิดว่าแกเป็นศัตรูหัวใจเว้ย แกยอมรับความจริงเสียทีเถอะ”
“จะบ้าเหรอตา ฉันเป็นพี่ชายของเพทาย ที่สำคัญฉันก็เป็นผู้ชาย แล้วก็ชอบผู้หญิงด้วย”
ปรัชญาโวยขึ้นมาอย่างเหลืออด ถึงใครๆ จะบอกว่าเขาหน้าตาเหมือนผู้หญิง แต่เขาก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง แล้วเขาก็ชอบผู้หญิง ไม่เข้าใจว่าทำไมใครๆ ถึงอยากให้เขาชอบผู้ชายแทนที่จะเป็นผู้หญิง
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่แกชอบหรือไม่ชอบผู้ชาย แต่ปัญหามันอยู่ที่เพทายมันชอบแกต่างหาก”
บทสนทนาของมานิตากับปรัชญาสร้างความฉงนให้กับกลุ่มวัยรุ่นที่เข้ามาหาเรื่องไม่น้อย เพราะข้อมูลที่เขาได้มาจากลูกค้าสาวมันต่างจากที่พวกเขากำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้มากทีเดียว และหนึ่งในกลุ่มที่ยืนเงียบมาตลอดก็ตัดสินใจถามในสิ่งที่ตนสงสัยมาตลอด
“ตกลงใครแย่งใครกันแน่วะไอ้ชัย ก็ไหนผู้หญิงคนนั้นบอกว่าผู้ชายในรูปแย่งผู้ชายคนไปนี้ แต่ที่กูกับมึงได้ยินนี่มันคนละเรื่องกันเลยนะโว้ย”
“พวกเราคิดผิดหรือเปล่าวะที่รับทำงานนี้ ถึงเงินจะดีแค่ไหนก็เถอะ”
“กูเห็นด้วยกับไอ้ชินนะไอ้พล ถึงผู้ชายในรูปจะหน้าตาเหมือนผู้หญิงก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นกะเทยหรือเกย์นี่หว่า”
ตอนที่เห็นรูปถ่ายของปรัชญา มเหศวร เขาก็คิดว่ามันต้องเป็นเกย์อย่างที่ลูกค้าสาวคนนั้นบอก
“กูว่าพวกเรากลับกันเถอะ”
ชินหรือทรงสิทธิ์ตัดสินใจชวนเพื่อนกลับ ก่อนหน้านี้เขาได้ปฏิเสธที่จะรับทำงานนี้ จะเรียกว่ารับงานก็คงไม่ใช่ เพราะเพื่อนในกลุ่มของเขาดันไปก่อเรื่องใหญ่เอาไว้ จนต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้หญิงคนนั้นยื่นข้อเสนอที่จะช่วยเรื่องเงิน พวกเขาก็เลยตกลงรับทำงานนี้
“แต่ถ้าพวกเราไม่ทำ พวกเราก็ไม่ได้เงินไปช่วยไอ้พลนะไอ้ชิน”
“หาวิธีอื่นก็ได้ กูไม่ชอบวิธีหาเงินแบบนี้ พวกมึงก็ได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ? ถึงผู้ชายคนนี้จะหน้าตาคล้ายผู้หญิงก็เถอะ แต่คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด กูว่าเป็นแฟนของผู้หญิงคนนั้นมากกว่า”
“แต่พวกเรารับเงินจากผู้หญิงคนนั้นมาครึ่งหนึ่งแล้วนะไอ้ชิน”
เกรียงไกรพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่ชอบใจกับคำพูดของทรงสิทธิ์ เพราะต้องใช้เงินเยอะไม่ใช่หรือไง ถึงต้องรับงานที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางแบบนี้ แล้วนี่ก็ไม่ใช่งานแรกที่พวกเขาทำกันเสียหน่อย จะมามีสำนึกของคนดีอะไรตอนนี้
“ก็เอาไปคืนสิว่ะ ไม่จะยากตรงไหนเลย”
ทรงสิทธิ์หันมาบอกไอ้ตัวก่อเรื่องอย่างเหลืออด ไปมีเรื่องกับนักเลงกลุ่มอื่นแล้วยังทำให้เพื่อนในกลุ่มมีปัญหาจนแทบจะเอาตัวกันไม่รอด ยังจะก่อเรื่องเพิ่มขึ้นมาอีก
“มึงรู้จักหรือเคยได้ยินนามสกุล...มเหศวร บ้างหรือเปล่าไอ้ไตร”
“ไม่เคย! ไอ้นามสกุล...มเหศวร นี่มันยิ่งใหญ่มากนักหรือไง”
เกรียงไกรย้อนถามทรงสิทธิ์เสียงแข็ง จะมานึกกลัวอะไรตอนนี้กัน ทุกครั้งที่รับทำงานสกปรก เขาก็ไม่เห็นทรงสิทธิ์จะเรื่องมากหรือแสดงความไม่พอใจสักครั้ง ทำไมครั้งนี้ถึงได้เรื่องมากนัก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรงสิทธิ์ห้าม ก่อนรับงานทรงสิทธิ์ก็ห้ามเขามาทีหนึ่งแล้ว
“ใหญ่ไม่ใหญ่ กูไม่รู้ แต่ที่กูรู้ก็คือ ตระกูลมเหศวรของไอ้หน้าหวานนี่ สามารถทำให้มึงหรือพวกกูติดคุกสัก 20 ปีหรือตลอดชีวิตได้เลยนะเว้ย”
ทรงสิทธิ์บอกเกรียงไกรและเพื่อนคนอื่นๆ อย่างเหลืออด เขารู้สึกคุ้นหูนามสกุลมเหศวรตั้งแต่ครั้งแรกที่ผู้หญิงคนนั้นพูด แต่เขาก็นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินนามสกุลมเหศวรที่ไหน เขาพึ่งนึกออกเมื่อกี้นี่เอง เพราะเคยมีนักการเมืองคนหนึ่งนามสกุลมเหศวร แล้วยังมีนักธุรกิจอีกหลายคนที่ใช้นามสกุลนี้ จึงเป็นไปได้สูงที่ไอ้หนุ่มหน้าหวานคนนี้จะเป็นลูกหลานของคนในตระกูลมเหศวร ถ้าเป็นอย่างที่เขาคิด งานนี้มีแต่ตายกับตายสถานเดียว
...โปรดติดตามตอนต่อไป...