Chapter 7 ซ้อนรัก...รักซ้อน (2)

4420 คำ
Chapter 7 ซ้อนรัก...รักซ้อน (2) ย่างสี่ทุ่มในคืนสิ้นปี​ ความมืดโรยตัวห่มคลุมบ้านเสวกุล​ ไฟด้านล่างของตัวบ้านส่องสว่างทุกซอกทุกมุม...ธามไทเดินไปเดินมาไม่หยุด​ เขาร้อนรุ่มเพราะกลับเข้าบ้านมาในตอนค่ำแล้วได้รู้ว่านันท์ภัสสรออกไปกับแทนไทตั้งแต่ช่วงสาย​ ๆ​ และจนป่านนี้ทั้งสองยังไม่กลับมา "คิดยังไงถึงออกไปกับหมอนั่น​ ไม่อยากจะคิดต่อ​ แต่มันอดคิดไม่ได้จริง​ ๆ" เขาบ่นกับภัคภัสสร​ ติดเตลิดไปไกล กลัวแทนไทพานันท์ภัสสรเข้าโรงแรม เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าลึก​ ๆ​ แล้วเขาคอยแต่จะนึกถึงเรื่องคืนนั้น​ บางเวลาที่นึกออกก็อดคิดไม่ได้​ มันคาใจมาตลอด​ สรุปเขากับนันท์ภัสสรนอนด้วยกันแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงหรือไม่​ และถ้านันท์ภัสสรโกหก​ นั่นหมายถึงหล่อนไม่ได้มีสถานะเป็นแค่น้องสาวอีกต่อไปแล้ว หล่อนเป็นเมียเขา...หากแต่เป็นเมียที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจ​ และเขาไม่ได้เต็มใจด้วยซ้ำ แต่ก็หวง​ ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้​ ความรู้สึกที่ตีกันยุ่งเหยิงนี้ทำเขาจวนจะเป็นบ้า หากแต่ก็พยายามบอกตัวเอง​ ที่ร้อนรุ่มอยู่ตอนนี้เพียงเพราะแค่ไม่ไว้วางใจแทนไท​เท่านั้น ไม่รู้ว่านันท์ภัสสรถูกน้องชายของเขาล่อหลอกอะไรบ้าง​ ถึงได้ยอมออกไปด้วยกัน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ​ ที่จริงหล่อนต้องการประชดเขาเท่านั้น เมื่อทนรอต่อไปไม่ไหวจึงเช็คพิกัดเพื่อออกไปตามหล่อนกลับบ้าน​ และนั่นทำให้เขาโกรธจนหูอื้อเหมือนถูกตบเต็มแรง​ เมื่อพิกัดขึ้นแถว​ ๆ​ ผับแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ "สาบานได้​ วันนี้เธอตายแน่!" เขาเข่นเขี้ยวเนี้ยวฟัน​ ส่งเสียงขู่ให้ลอยตามลมไปถึงคนไกล​ เรื่องเข้าผับเขาไม่ซีเรียสเท่าไหร่​ แต่โกรธที่หล่อนไม่บอกกล่าวว่าจะไป แถมยังไปกับแทนไทอีกด้วย "แกเคยเห็นคุณเสือโกรธเป็นบ้าหลังขนาดนี้มั้ย" อาการองค์ลงของเจ้านายหนุ่ม​ ทำให้สาวใช้สองคนถึงกับต้องกระซิบกระซาบคุยกัน​ มันเหมือนอาการของคนเมียหายไม่มีผิด​ และนั่นทำให้เตือนใจถึงกับยกมือขึ้นทาบอก...หล่อนนึกไปถึงคืนที่ธามไทเมา​ หลังจากหล่อนปลีกตัวออกมาแล้ว​ ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นในห้องนอน "อย่าว่ายังงั้นยังงี้เลยนะ​ ฉันเคยเห็นคุณปลายฟ้าออกมาจากห้องนอนของคุณเสือ...ตอนเช้ามืด" ขนิษฐาซึ่งปิดปากเงียบมานาน​ ลางสังหรณ์ทำให้ต้องเปิดปากพูด ​ และมันเข้าเค้ากับความคิดของเตือนใจ​ และหล่อนคิดว่าน่าจะเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน "รีบไปตามน้องเถอะเสือ​ เดี๋ยวก็พากันเมากลับบ้านไม่ได้ทั้งคู่" ผกามาศเองก็เป็นห่วงไม่น้อย​ เพราะคนสองคนที่ไม่ลงรอยกัน​ อยู่ดี ๆ​ ออกไปด้วยกันมันออกจะแปลกไปสักนิด​ และนิสัยทั้งสองก็บ้าบิ่นพอ​ ๆ​ กัน​ ไปด้วยกันคงไม่มีใครห้ามใคร เป็นอันว่าแผนเค้าท์ดาวน์กับภัคภัสสรที่บ้านต้องเบรกเอาไว้ก่อน​ เมื่อธามไทคิดว่าควรจะตามไปลากแม่ตัวดีกลับบ้านก่อนหล่อนจะเสร็จเสือร้ายอย่างแทนไท​ ส่วนลึกร้องบอก​ ยอมไม่ได้หากทำนิ่งเฉยโดยไม่รีบไปฉุดเธอขึ้นมาจากอุ้งมือซาตานร้าย​ เรื่องนี้เขาจะขอสวมบทบาทพระเอกตัวจริง​ ส่วนแทนไทคือตัวร้ายที่บังเอิญเกิดมาเป็นฝาแฝดกันเท่านั้น "พี่จะออกไปตามปลายฟ้า​ เธอน่าจะอยู่ในผับนั่นล่ะ" "ฝนไปเป็นเพื่อนนะคะ​ เป็นห่วงฟ้าไม่น้อยไปกว่าพี่เสือ" ภัคภัสสรวิ่งตามคนที่ก้าวเร็ว​ ๆ​ ไปตามทางเดินที่พาไปสู่โรงรถ​ เขาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ​ หล่อนจึงตามเขาไปจนถึงรถ​ และเปิดประตูเข้าไปนั่งข้าง​ ๆ​ และเขาทำให้กลัวจนใจเต้นโครมคราม​นั่งเกร็งนิ้วจิกพื้น เพราะความเร็วที่ใช้ตั้งแต่ยังไม่พ้นจากรั้วบ้านจนกระทั่งวิ่งบนถนน มันเกินจากที่กฎหมายกำหนดไปมากทีเดียว ที่หน้าผับแห่งหนึ่ง​ มีโซนด้านนอกสำหรับนั่งฟังเพลงชิว ๆ​ และมีโซนด้านในสำหรับหนุ่มสาวที่รักความสนุกทั้งหลายที่มารวมตัวกันในค่ำคืนสุดท้ายของปีเก่า...นันท์ภัสสรยืนนิ่งอยู่หน้าร้าน​ ในขณะที่แทนไทเดินนำไปหลายก้าว​ เหมือนมีคนสะกิด​ เขาหันมามองและหยุดเดิน​ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนนิ่ง ชายหนุ่มเดินย้อนกลับมา​ เขาคว้าข้อมือเล็กแล้วออกแรงฉุดกระชาก นันท์ภัสสรกำลังทำตัวเหมือนเด็กที่ถูกหลอกมา "จะดีเหรอคะพี่สิงห์" "ดีสิ​ มาแล้วนี่" เขาลากหล่อนให้ตามเข้าไปด้านใน​ จากที่ให้หล่อนพามายังผับชื่อดังของเชียงใหม่​ ตกลงกันไว้ว่าจะเค้าท์ดาวน์ที่นี่ในค่ำคืนนี้​ โดยที่ไม่มีใครโทร.ไปบอกที่บ้านสักคนเดียว ดูเหมือนว่าตลอดทั้งวันที่อยู่ด้วยกัน​ มนต์เมืองเหนือจะละลายพฤติกรรมคนสองคนไปเสียแล้ว​ และดูเหมือนว่าจะคุยกันถูกคอเสียด้วย​ นันท์ภัสสรทำให้เขาสนุกจนลืมสิ้นซึ่งความชิงชังที่ฝังรากลึกอยู่ในใจ เพราะความสงสารและเห็นใจแท้​ ๆ​ มันเปลี่ยนเขาชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากจับจองพื้นที่ด้านในที่นักท่องราตรีค่อนข้างแน่นขนัด​ แทนไทเลือกสั่ง​ Old Fashioned เพราะไม่อยากดื่มจนเมาหัวทิ่มกลับบ้านไม่ได้​ เขาคิดเสมอว่าคนข้างกายคือผู้หญิง​ และเขาจะต้องดูแลเธอ เผื่อเกิดเหตุร้าย​ที่ไม่คาดฝัน​ เขาจะได้ครองสติเพื่อเอาตัวรอดไปได้​ คือเหตุผลในตัวของมันเองกับการเลือกสั่งเครื่องดื่มให้เข้ากับสถานการณ์ นันท์ภัสสรเลือกดื่มน้ำผลไม้ผสมโซดาที่เรียกว่าม็อกเทล ยังคงเว้นไว้ซึ่งระยะห่างระหว่างตนกับแทนไท​ แน่นอน...หล่อนยังคงไม่เชื่อเขาแบบสนิทใจ​ การหลีกเลี่ยงจากแอลกอฮอล์คือความไม่ประมาท​ และหล่อนกลัวจะไม่มีใครขับรถกลับบ้าน​ หากพากันเมาจนหัวทิ่มด้วยกันทั้งคู่ แอลกอฮอล์หล่อนดื่มได้เพราะที่บ้านไม่ซีเรียส​ หากแต่ไม่ลุ่มหลงมันเท่านั้นเอง​ ในความอึกทึกครึกโครมจากเสียงเพลงที่ดังก้อง​ สิ่งแรกที่แทนไททำหลังจากพาตัวเองเข้ามาอยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยง​ นั่นก็คือการกวาดตามองสำรวจไปโดยรอบ​ ด้านในของผับแห่งนี้มีสองชั้น​ โดยชั้นล่างปิดทึบทุกด้าน​ มีประตูเข้าออกแค่ทางเดียว​ มีหน้าต่างกระจกที่ชั้นสอง​ สิ่งที่เขาทำมันมาจากสัญชาตญาณติดตัว​ เพราะที่อเมริกามีการฝึกอบรมกันทุกปี สาเหตุมาจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่มักก่อเหตุเป็นประจำ​ บริษัทที่เขาทำงานอยู่จึงมีการฝึกอบรมให้พนักงานรู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขัน​ หากเกิดเหตุร้ายขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน ไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ให้วิ่งพล่านไปตามกระแสเลือดก็สนุกแบบสุดเหวี่ยงได้​ ท่ามกลางแสงสีเสียงที่สาดส่องในห้องปิดทึบ​ สองหนุ่มสาวต่างโยกย้ายร่างกายไปตามจังหวะดนตรีฮิปฮอปฝั่งตะวันตก​ เสียงเพลงช่วยบำบัดเรื่องราวรกสมองทั้งปวงให้หมดไป​ คือความสนุกสนานที่เข้ามาแทนในค่ำคืนส่งท้ายปี ในขณะที่ทั้งสองกำลังปล่อยกายและใจให้ล่องลอยไปตามอารมณ์...ธามไทเดินแหวกฝ่ากลุ่มคนมาด้านในเพื่อตามหานันท์ภัสสร​ และนับว่าการจับพิกัดจากโทรศัพท์ยังคงเชื่อถือได้ เมื่อไกลจากสายตาในระยะไม่กี่ก้าวเดิน​ เขาเห็นทั้งสองคนอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรที่อยู่ในแก้ว​ แต่การที่ทั้งสองกำลังชนแก้วกันแล้วยกขึ้นกรอกลงคอ​ มันทำให้เขาไม่อาจควบคุมอารมณ์หลากหลายได้...โกรธหรือหึงหวง​ ยามนี้ไม่อาจแยกได้เช่นกัน ลมหายใจธามไทร้อนรุ่ม เขาแหวกฝ่าวงล้อมจนแทบจะพุ่งพรวดเข้าไปหากทำได้​ ในขณะที่ภัคภัสสรตามหลังมาติด​ ๆ​ ดูเหมือนทั้งแทนไทและนันท์ภัสสรจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ​ ต่างกำลังตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่สนุกจนสุดเหวี่ยง​ ตรงกันข้ามกับธามไท​ เขาโกรธจนควันออกหูจนแทบกลายร่าง "ปลายฟ้า!" เสียงตะคอกที่ดังอยู่ด้านหลังมาพร้อมกับแรงกระชากที่ข้อมือ​ ทำให้นันท์ภัสสรหันไปมองไปด้วยความตกใจ​ และมันพุ่งขึ้นอีกทวีคูณ​จนแววตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นธามไท​ สีหน้าและแววตาของเขาบ่งบอกถึงอารมณ์ภายในได้เป็นอย่างดี มีเพียงคนเดียวที่ไม่รู้สึกรู้สา​ แทนไททำเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร "ก​ลับบ้าน​ เดี๋ยวนี้!" ธามไทเข่นเสียงรอดไรฟัน​ เขาโกรธจนพูดไม่ออก​ คิดว่ามีอะไรค่อยไปจัดการหล่อนที่บ้าน​ เขาฉุดกระชากลากถูนันท์ภัสสรฝ่ากลุ่มคนไปยังทางออก​ โดยทิ้งแทนไทเอาไว้อย่างนั้น คืนนี้หล่อนตายแน่ เขาคิดอาฆาตมาดร้าย​ ไม่เคยโกรธหล่อนเท่านี้มาก่อน​ ในขณะที่ภัคภัสสรยังคงไม่ตามออกไป​ หล่อนยืนจ้องหน้าแทนไทอย่างไม่หวั่นเกรง​ และไม่อาจคิดกับเขาในแง่ดีได้จริง​ ๆ "ฝนรู้นะคะ​ว่าพี่สิงห์มีแผนจะมอมเหล้าเธอ" แทนไทกระตุกยิ้ม​ เขาไล่มองคนตรงหน้าด้วยแววตาหยามเหยียด "ทีเธอยังออกไปหาความสุขใส่ตัวได้​ โดยไม่สนใจว่าการกระทำของตัวเองจะทำร้ายความรู้สึกของคน​ ๆ​ นึง" "ฝนทำอะไรคะ" ยังจะทำหน้าซื่อตาใส ​ แทนไทยิ้มเยาะ​ เขาไม่ตอบแต่กลับเดินเบียดไหล่ของหล่อนเพื่อจะตามนันท์ภัสสรออกไปห้ามทัพ​ กลัวว่าป่านนี้คงจะตีกันตายที่ด้านนอก​ โดยที่ไม่มีใครสนใจเลยว่า​ ความผิดปกติ​กำลังจะเกิดขึ้น ในขณะที่ด้านนอก​ นันท์ภัสสรพยายามขัดขืนด้วยการบิดมือหนี​ หากแต่ก็ไม่อาจสู้แรงช้างสารของอีกฝ่ายได้ "ปล่อยฟ้าเดี๋ยวนี้ ​ ฟ้าไม่กลับ​ ไม่อยากกลับ!" เริ่มมีคนมอง​ จากการที่นันท์ภัสสรเสียงดัง​ ในสายตาของคนนอก​ มันเหมือนผัวมาตามเมียกลับบ้านไม่มีผิด​ ด้วยอาการแง่งอนของฝ่ายหญิง "พี่เสือ​ ปล่อยฟ้าเดี๋ยวนี้!" "อยากลองดีก็วิ่งกลับไป ไปสิ​ ไปเลย!" เขาท้าทายหากแต่ยังคงไม่ปล่อยมือ​ กลับยิ่งออกแรงบีบมากขึ้น​ และในขณะที่กำลังยื้อยุดฉุดกระชากกันอยู่นั้น​ จู่​ ๆ​ ก็มีคนวิ่งตะโกนโหวกเหวกออกมาหน้าตาตื่น "ไฟไหม้ๆ!" ธามไทหยุดเดินแล้วหันกลับไปทางเก่า​ พลัน! ความวุ่นวายโกลาหลก็ตามมา​ เขาเห็นคนมากมายกรูกันออกมาอยู่ตรงประตูทางออก​ ต่างตะโกนร้องแข่งกันจนฟังไม่ได้ศัพท์​ บรรยากาศโดยรอบดูปั่นป่วนไปหมด​ จนแขกที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะด้านนอกต่างแตกฮือลุกหนีไปตาม​ ๆ​ กัน และเขาก็นึกขึ้นมาได้​ แทนไทและภัคภัสสรอยู่ไหน! "ปลายฝน​ สิงห์!" "อย่าค่ะ​ พี่เสือไม่ควรเข้าไป​ มันอันตราย!" "แต่สองคนอยู่ไหน​ พี่ไม่เห็น​ คงติดอยู่ในนั้น!" "แต่จะยิ่งไปเพิ่มภาระ​ เข้าไปแล้วอาจเป็นอันตรายได้​ ฟ้าเชื่อว่าพี่สิงห์ต้องเอาตัวรอดได้!" นันท์ภัสสรกอดแขนรั้งอีกฝ่ายเอาไว้​ การที่มีกลุ่มคนวิ่งสวนออกมาแบบนั้น​ หากเข้าไปก็มีแต่จะถูกเหยียบตายสถานเดียว ในขณะที่ด้านใน​ ควันไฟฟุ้งตลบอบอวลในเวลาอันรวดเร็ว​ ท่ามกลางความโกลาหลและเสียงกรีดร้อง​ แทนไทมองไปยังคานหลังคาที่เปลวไฟกำลังลามเลีย​ เขารู้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้มีการจุดพลุดอกไม้ไฟ​เพื่อฉลองรับวันใหม่ ทั้งที่มีข้อห้ามอย่างชัดเจนว่าหากใครนำเข้ามาจะถือว่ามีความผิด ไม่รู้ใครเกิดลูกบ้านำเข้ามาจุด​ พลอยทำให้เขาซวยไปด้วย เวลานี้ทุกคนต่างหนีตายเอาตัวรอด​ คิดเหมือน​ ๆ​ กันนั่นก็คือ​ การกรูไปที่ทางออกจนแทบเหยียบกันตาย​ และนั่นทำให้เส้นทางออกที่มีเพียงเส้นทางเดียวถูกปิดกั้น​จนตัน เขาจะไม่ทำเช่นนั้น​ มันเสี่ยงต่อการถูกเหยียบจนสำลักควันไฟตายอยู่ในนี้ จิตใต้สำนึกร้องสั่ง​ เขาไม่ควรเอาตัวรอดไปคนเดียวโดยทิ้งภัคภัสสรไว้ในนี้​ ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลของผู้คนที่วิ่งผ่านหน้า​ สายตาของเขามองหาเธอ เก็บหล่อนไว้ทรมานเล่นดีกว่าปล่อยให้ตายอย่างน่าสังเวชในนี้​ เมื่อนั้นเขาคงเหงาแย่​ ชายหนุ่มพยายามบอก ตัวเองแบบนั้น ภัคภัสสรพยายามลุกขึ้นตั้งหลักหลังจากที่ถูกผลักจนล้มลง​ ไม่มีใครสักคนจะเหลียวแลในช่วงเวลาความเป็นความตาย​ หากแต่ว่ากลับมีมือหนึ่งมาฉุดข้อมือหล่อนให้ลุกขึ้นได้อีกครั้ง คืออุ้งมือของซาตานร้ายชัด​ ๆ​ ไม่รู้จะฉุดหล่อนไปนรกหรือสวรรค์​ คิดขณะเขาลากหล่อนวิ่งสวนทางคนอื่น​ ๆ​ เข้าไปด้านใน "พี่สิงห์!​ ทางออกอยู่ทางโน้น" "ไปให้ถูกเหยียบตายรึไง!​ เชื่อฉัน​ ช่วยทำตัวสงบปากสงบคำ​ แล้วเธอจะรอด!" เขาแหกทฤษฎีคลานต่ำแล้วห้ามขึ้นที่สูง​ หากทำเช่นนั้นมีหวังถูกเหยียบตายก่อนจะได้ออกไป ชายหนุ่มถอดเสื้อแจ็กเก็ต​ Boy​ London ออก​ ก่อนจะตามมาด้วยเสื้อจั๊มเปอร์ตัวใน​ ควานหามีดเอนกประสงค์พกพาในกระเป๋ากางเกง​ ล้วงออกมากรีดชายเสื้อจั๊มเปอร์จนเป็นรอยบาก​ น้ำตาแทบไหล​ ไม่ใช่เพราะควันไฟเข้าตา​ แต่เพราะอาลัยอาวรณ์เสื้อราคาไม่ธรรมดา เขาไว้อาลัยให้กับจั๊มเปอร์ของคุณยายวิเวียน​ ตัดใจฉีกเสื้อราคาเหงื่อตกออกเป็นสองชิ้นอย่างไร้ซึ่งความปราณี​ ปากก็ร้องสั่งทั้งที่เริ่มแสบคอ "ช่วยหยิบขวดน้ำใกล้​ ๆ​ มาให้หน่อย​ เอามาเยอะ​ ๆ​ เลยนะ​ แค่ก​ ๆ" ภัคภัสสรทำตาม​ หล่อนกวาดขวดน้ำที่ระเนระนาดอยู่บนพื้นใกล้ตัวมายื่นให้เขา “ราดเสื้อให้เปียก​ แล้วเอาปิดปากปิดจมูกไว้" เขาโยนเสื้อมาให้หล่อนซีกหนึ่ง​ ชิ้นที่อยู่กับตัวเขาทำการเทน้ำจากขวดราดลงไปจนเปียกชุ่ม​ ภัคภัสสรทำตามเขาทุกอย่าง​ นำเสื้อเปียกน้ำมาปิดปากปิดจมูกโดยผูกไว้กับท้ายทอย Boy​ London ถูกคว้ามาสวมคลุมท่อนบนที่เปลือยเปล่า​ เขามองไปยังบันไดทางลงมาจากชั้นสอง​ ตรงนั้นมีกลุ่มคนยืนออกันเต็มไปหมด​ ไปไหนต่อไม่ได้เพราะทางออกที่แคบจนเกินไป​ มันไม่พอดีกับปริมาณคนที่ติดอยู่ด้านใน แต่เขาต้องการขึ้นไปชั้นสอง​ สวนทางกับกลุ่มคนเหล่านั้นที่ต่างกรูกันลงมาหวังหนีตาย ชายหนุ่มถลกเสื้อที่ปิดปากปิดจมูกขึ้นเล็กน้อย​ ก่อนร้องสั่ง "ช่วยฉันยกโต๊ะไปตรงนั้น!" เขาคว้าโต๊ะใกล้ตัวที่ล้มระเนระนาด​ จับขึ้นมาตั้งไว้​ ในขณะที่ภัคภัสสรช่วยอีกแรง​ ทั้งสองนำมันไปวางไว้ตรงตำแหน่งราวระเบียงชั้นสอง​ ก่อนที่แทนไทจะวิ่งกลับมาหยิบเก้าอี้แล้วนำไปตั้งไว้บนโต๊ะ ชายหนุ่มคะเนด้วยสายตา​ คิดว่าความสูงน่าจะเพียงพอให้ปีนขึ้นไปได้…ช่วงเวลาชุลมุนวุ่นวาย​ ควันไฟที่ลอยวนเริ่มทำให้ไอไม่หยุด เขาอุ้มร่างของภัคภัสสรให้ขึ้นไปยืนบนโต๊ะ "เหยียบเก้าอี้ขึ้นไป​ ลองดูสิว่าปีนถึงมั้ย!" ภัคภัสสรทำตามคำสั่งนั้น​ หล่อนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แล้วลองเขย่งปลายเท้า​ หากแต่ความสูงของหล่อนไม่เพียงพอ​ จึงดึงเสื้อที่ปิดปากออกเพื่อสื่อสารกับเขา "ไม่​ ไม่ถึง!​ แค่ก​ ๆ" "ยืนอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวฉั​นจะขึ้นไป! แค่ก​ ๆ" แทนไทเริ่มสำลักควัน​ มันทวีความร้ายกาจขึ้นเรื่อย​ ๆ เขารีบเอาเสื้อปิดปากปิดจมูกไว้ตามเดิม​ ก่อนจะขึ้นไปยืนบนเก้าอี้แทนภัคภัสสร​ ย่อกายลงนั่ง​ สองแขนรวบสะโพกของหล่อนแล้วอุ้มขึ้นมาเหมือนอุ้มเด็ก​ น้ำหนักไม่เกินห้าสิบกิโลกรัมของหล่อนสบายมากสำหรับเขา​ หากแต่ก็ต้องอาศัยความแข็งแรงของท่อนแขนไม่น้อย ดีที่การทรงตัวยังดีอยู่​ ไม่พากันล้มตกจากโต๊ะหน้าคะมำด้วยกันทั้งคู่ ภัคภัสสรไขว่คว้าเกาะราวระเบียงจากที่แทนไทช่วยอุ้มส่งหล่อนขึ้นไป กว่าจะสำเร็จก็ทุลักทุเลพอดู หล่อนปีนขึ้นไปได้สำเร็จ​ แทนไทรีบตามขึ้นไป​ ด้วยความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซ็นติเมตร​ จึงไม่เป็นปัญหาสำหรับเขากับการเกาะราวระเบียงแล้วปีนขึ้นไปบนนั้น ที่ชั้นสองตอนนี้โล่งเตียน​ ดูเหมือนจะไม่มีใครนึกถึง​ ทางออกสู่อิสรภาพตรงนี้ยังมี​ และโอกาสรอดมีมากกว่าทางออกที่ชั้นล่างด้วยซ้ำ ความร้อนจากโครงหลังคาเริ่มลามเลีย​ ชายหนุ่มมองหาตัวช่วย​ และนี่คือผลจากการที่เมืองไทยไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการให้ความรู้เมื่อเกิดเพลิงไหม้ ถังดับเพลิง จึงนอนนิ่งอยู่ที่้เดิม ติดพอเป็นพิธี​ หากแต่คนใช้งานเป็นแทบนับนิ้วได้​ มันก็ไม่ต่างจากท่อนเหล็กที่เอาไว้ฟาดเท่านั้น เขาวิ่งไปดึงมันออกมาจากผนัง​ หากแต่ไม่ได้นำมาใช้ดับไฟ​ เนื่องจากระยะห่างของฐานเปลวไฟนั้นไกลเกินไป​ แต่เขาจะนำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่นแทน ที่น่ากลัวกว่าเปลวเพลิงนั่นคือควันไฟที่ถูกขังอยู่ในพื้นที่จำกัด​ มันอาจทำลายปอดเขาจนพังได้ ถังดับเพลิงหนักสิบห้าปอนด์ถูกกระทุ้งลงบนบานหน้าต่างที่เป็นกระจกด้วยแรงของแทนไท​ เขาทำซ้ำ​ ๆ​ แข่งกับช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายจนมันเกิดรอยร้าว​ สักพักกระจกก็แตกออกจากกัน​ ชายหนุ่มใช้ถังเกลี่ยเศษกระจกจนเกิดช่องว่างที่พอจะลอดผ่านออกไปได้ หากแต่มันสูงเกินกว่าที่จะเสี่ยงกระโดดลงไป​ เขาจึงหันมาทางภัคภัสสร​ แววตาคมกล้าจ้องจนหล่อนต้องใช้สองมือปิดอกอิ่มเอาไว้​ ก่อนเขาจะดึงผ้าที่ปิดปากออกพอให้สื่อสารได้​ อยากจะบอกว่าแค่กำลังมองหาตัวช่วย​ ไม่ได้มองเพราะเกิด อารมณ์พิสวาสกลางไฟร้อนที่กำลังเผาไหม้ "ถอดเสื้อ!" "หืม?" อยู่ดี ๆ ก็ถูกสั่งให้ถอดผ้าถอดผ่อน ภัคภัสสรละล้าละลังยืนงง​ จนอีกฝ่ายต้องบังคับด้วยสายตาเกรี้ยวกราด "ฉันบอกให้ถอดเสื้อ​ จะรอให้หลังคามันถล่มลงมาก่อนรึไง! เร็ว ๆ" เมื่อถูกดุภัคภัสสรจึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก​แล้วส่งให้เขา​ แต่ดูเหมือนเขาจะยังไม่พอใจ "ถอดมาให้หมด!" "มะ​ หมดเลยเหรอคะ!" "ใช่​ ถอดมา!" เหมือนถูกเอามีดจ่อคอหอยจากโจรร้ายหน้าหล่อ ความ รู้สึกเหมือนกำลังถูกปล้น​ นั่นหมายถึงหล่อนต้องโป๊เปลือยต่อหน้าเขา​ การที่หล่อนทำลังเลเขาจึงตะคอกออกมาอีกครั้ง "แค่นี้ทำเป็นอาย​ มันต่างจากใส่ทูพีชเล่นน้ำตรงไหนฮึ!​ เลือกเอาว่าจะสำลักควันตายในนี้หรือจะรอดชีวิตออกไป หาพี่เสือของเธอ!" "แค่ก​ ๆ​ ดะ​ ได้!" "แค่ก​ ๆ​ เร็ว​ ๆ​ ถ้าไม่อยากมีสภาพเป็นแบบนั้น!" เขาพยักพเยิดไปทางด้านล่าง​ บนพื้นเริ่มมีคนนอนเกลื่อนกลาด​ จากการที่ถูกเหยียบและสำลักควันจนสลบ​ คนไปกระจุกกันอยู่ตรงทางออกจนคนข้างใน​ไม่อาจเบียดออกไปได้​ ช่างเป็นภาพที่น่าหดหู่ยิ่งนัก​ เสียงร่ำไห้ร้องขอความช่วยเหลือดังระงมไปทั่วห้องปิดทึบ บางคนอาจตายแล้ว​ แค่คิดก็ทำให้ภัคภัสสรใจเต้นแรงมากขึ้น​ หล่อนเบือนหน้าหนีเพราะทนมองต่อไปไม่ไหว​ ความกลัวทำให้ลืมอาย​ มือสั่น​ ๆ​ ถอดเสื้อตัวในให้เขาจนเหลือเพียงแต่บราตัวสวยปกปิดอกอิ่มเอาไว้ เขาไม่มีเวลามาใช้สายตาโลมเลีย​ แทนไทรับมาถือไว้ก่อนจะผูกเสื้อต่อกันเป็นทอด​ ๆ​ เพื่อใช้แทนเชือก​ รวมทั้ง​ Boy​ London และเข็มขัดที่ต้องตัดใจลา​ เรียกว่าทั้งตัวมีอะไรนาทีนี้ถูกเอาออกมาใช้หมด ลาก่อนวิเวียนและ​ Boy​ London ที่รัก​ เขาไว้อาลัยกับสมบัติส่วนตัวเป็นครั้งสุดท้าย แต่ถ้าหากยังไม่พอที่จะใช้โรยตัวลงไป​ เขาก็จะให้หล่อนโนบรา​ รวมทั้งถอดกางเกงมาให้เขาด้วย เขาลองผูกแขนเสื้อเข้ากับแกนกลางวงกบหน้าต่าง​ ห้อยปลายอีกด้านลงไปแล้วชะโงกหน้ามอง​ คะเนเอาว่าพอได้หรือยัง คงต้องเสี่ยงเอา​ ก็ยังดีที่ไม่ต้องถอดกางเกง​ ไม่งั้นมันจะน่าอดสูเกินไปเวลานักข่าวมาขอสัมภาษณ์​ เขายังไม่อยากดังเพราะรอดชีวิตจากอุบัติเหตุไฟไหม้มาด้วยวิธีการบ้าบิ่นสิ้นดี "แค่ก​ ๆ​ เอาละ​ ฉันจะลงไปก่อน​ แล้วจะรอรับเธอข้างล่าง​ เผื่อปลายอีกด้านมันสูงจากพื้นดินเกินไป" ภัคภัสสรพยักหน้า​ ใช้สายตาสื่อสารกับเขาแทนคำพูด​ ไม่อยากเปิดผ้าที่ปิดหน้าออกเพราะกลัวสำลักควัน หล่อนมองเขาโรยตัวไต่ลงไปอย่างคล่องแคล่ว​ ราวกับถูกฝึกมาจนเชี่ยวชาญ​ ไม่นานนักเขาก็พาตัวเองไปยืนอยู่บนพื้นได้สำเร็จ​ เหลือเพียงแต่หล่อนที่ยังยืนคว้างอยู่ข้างบนอย่างโดดเดี่ยว เมื่อเหลือคนเดียว​ จู่​ ๆ​ ก็กลัวความสูงขึ้นมาเสีย อย่างนั้น​ หล่อนชะโงกหน้าออกไปมอง​ เห็นเขากวักมือและพยักหน้าเรียกให้หล่อนตามลงไปโดยเร็ว​ ก่อนไฟจะลามเลียจนทุกอย่างพังพินาศ "ไต่เชือกลงมา​ ฉันรอรับเธออยู่!" หล่อนส่ายหน้า​ น้ำตารื้นเพราะความกลัว​ ขาสั่นจนแทบทรงตัวไม่ไหว​ ใจเต้นแรงจนหวิวโหวงในอก​ เหมือนจู่​ ๆ​ มือไม้ก็อ่อนแรงเสียดื้อ​ ๆ "ปลายฝน​ เธอทำได้" แทนไทเหงื่อตกไปทั้งตัว​ เมื่อเห็นหล่อนกลัวขนาดหนัก​ เขาส่งสายตาจริงจังไปให้เพื่อให้หล่อนเชื่อมั่น​ เชื่อว่าเขาจะพาหล่อนรอดชีวิตไปได้ "นึกถึงหน้าคนที่บ้านเข้าไว้ปลายฝน​ เร็วเข้า​ ไต่เชือกลงมา​ เธอทำได้!" ภัคภัสสรหลับตานิ่งสูดลมหายใจให้ลึกเพื่อตั้งสติ​ เมื่อลืมตาก็เห็นภาพน่าอนาจอีกครั้ง​ ตอนนี้ดูเหมือนจะนอนทับกันเกลื่อนมากกว่าเดิม​ ร่างที่สุมกันอยู่นั้นแน่นิ่งไม่ไหวติง​ เมื่อคิดว่าพวกเขาอาจตายแล้วหยาดน้ำตาก็ไหลรินออกมา และดูเหมือนควันไฟจะเริ่มแทรกผ่านผ้าที่ปิดปากเข้ามามากขึ้น​ มันทำให้หล่อนเริ่มแสบคอแสบตา​ ไอร้อนเริ่มทวีความรุนแรงจนแสบผิวไปหมด ไม่​ หล่อนจะต้องไม่พบจุดจบแบบนั้น​ เมื่อคิดได้จึงตัดสินใจเฮือกสุดท้าย​ กลั้นใจพาตัวเองลอดช่องหน้าต่างออกมา​ สัมผัสได้ถึงความร้อนที่ผิววัตถุ หากมัวช้ามันอาจทำมือพอง "ดีมากปลายฝน​ ค่อย​ ๆ​ ไต่ลงมานะ" แทนไทยืนให้กำลังใจอยู่ด้านล่าง​ ภัคภัสสรจับเสื้อที่ผูกเป็นเชือกเอาไว้มั่น​ มือของหล่อนชื้นไปด้วยเหงื่อ​ แววตาสั่นระริกเพ่งมองแต่ผนังอาคาร​ไม่กล้ามองลงไปข้างล่าง​ ค่อย​ ๆ​ โรยตัวไต่ลงมาโดยใช้เท้ายันไว้กับผนังเพื่อช่วยพยุง​ เลียนแบบที่แทนไททำ​ แล้วหล่อนก็ทำสำเร็จ​ ไต่ลงมาจนสุดปลายเชือก​ หากแต่มันอยู่สูงจากพื้นดินเกินไป​ และมีทางเดียวคือต้องกระโดดเท่านั้น "ปล่อยขาลงมา​เลย ฉันรอรับอยู่!" ชายหนุ่มตะโกนสั่ง​ เขากางสองแขนรอในท่าเตรียมพร้อม หล่อนทิ้งตัวตามที่เขาบอกจนเหลือเพียงสองมือที่โหนเชือกเอาไว้​ แทนไทขยับเข้าไปรวบสองขาของหล่อนแล้วร้องบอกให้ปล่อยมือ น้ำหนักที่ทิ้งตัวลงมาทำให้ทั้งสองล้มกลิ้งไปบนพื้น​ ซ้ำยังเป็นพื้นปูนเสียด้วย​ นั่นก็ไม่รู้ว่ามีส่วนไหนเป็นรอยถลอกจากแรงกระแทกบ้าง ในอ้อมแขนของคนตัวโตที่คล้ายเป็นเกราะบรรเทาแรงกระแทก แววตาสองคู่สบประสานด้วยความรู้สึกหลากหลาย​ ความที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ลุ้นระทึกมาหมาด​ ๆ​ มันทำให้หล่อนเผลอกอดเขาเอาไว้แล้วปล่อยโฮออกมา ความรู้สึกยามนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่​ คิดว่าจะถูกไฟคลอกตายอยู่ข้างในเสียแล้ว และแทนไทก็ทำในสิ่งไม่คาดฝัน​ เขาลูบศีรษะกลมทุยไปมาเพื่อปลอบประโลม​ ลืมไปสิ้นว่าคนที่กำลังปกป้องอยู่นั้นคือคนที่เขาเกลียดในทุกลมหายใจเข้าออก "มีคนรอดชีวิตอยู่ทางนี้!" เสียงตะโกนมาพร้อมไฟที่ส่องมายังร่างของทั้งคู่​ สองหนุ่มสาวคลี่ยิ้มให้กัน​ เมื่อเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อย​ ๆ คงเป็นทีมกู้ภัยที่กำลังเข้ามาช่วยเหลือ​ พวกเขาคงยังไม่รู้ว่าข้างในมีสภาพเป็นอย่างไร​ พรุ่งนี้คงเป็นข่าวใหญ่แน่นอน​ ภาพน่าสังเวชใจยังคงตามมาหลอกหลอนแทนไท​ เขาเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้คงไม่ใช่น้อย​ ๆ​ สาเหตุมาจากการไม่มีความรู้ที่เพียงพอในการเอาตัวรอด​ มันคือสิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรตื่นตัวเรื่องให้ความรู้แก่ประชาชนได้แล้ว อย่าปล่อยให้สูญเสียแล้วค่อยล้อมคอก​ เพราะชีวิตที่เสียไปนั้นไม่อาจเรียกคืนมาได้​
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม