Chapter 8
การลาจาก (1)
เช้าตรู่เดือนมกราคมที่ห่มคลุมด้วยอากาศเย็นยะเยือก เสียงนกขับขานพร่ำรำพันถ้อยคำรักดังหวานแว่ว มวลหมู่ดอกไม้ผลิบานชูช่อล้อเล่นลมหนาว ล่อหลอกให้เหล่าแมลงโผผินบินมาดอมดม...บนทางเดินหินเรียงที่ขนาบข้างด้วยพรรณไม้ดอกนานาพรรณ แทนไทเข็นรถเข็นคนป่วยไปอย่างช้า ๆ คล้ายกับต้องการให้คนที่นั่งอยู่บนรถซึมซับบรรยากาศสดชื่นยามเช้าเอาไว้ให้มากที่สุด
แววตาคมกล้ามองไปยังทิวเขาที่ทอดยาว หมอกจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียอยู่เหนือยอดเขา...ใจหายไม่น้อย เมื่อเขามีเวลาอยู่กับบิดาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง
หลังจากแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล เขาก็เตรียมตัวบินกลับอเมริกาทันที จากเหตุการณ์ไฟไหม้ผับทำให้เขาต้องลางานต่ออีกเป็นอาทิตย์ และเขาก็เกรงใจเจ้านายอยู่ไม่น้อย แม้ทางนั้นจะอนุญาตให้เขารักษาตัวจน
หายดีแล้วค่อยกลับไปทำงานก็ตาม
ชายหนุ่มหันหน้ารถเข็นไปทางภูเขา หวังให้คนป่วยได้ทอดสายตาซึมซับธรรมชาติอันแสนสวยงาม
หากแต่แววตาของท่านช่างเปล่า เหมือนร่างที่ยังหายใจแต่ไร้ซึ่งวิญญาณ เขาย่อกายลงนั่งข้าง ๆ คว้ามือกร้านโลกมาบีบเบาๆ
"คุณพ่อรับรู้ใช่ไหมครับว่าผมกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ"
เขาสบตากับคนที่นั่งคอพับอยู่บนรถเข็น ท่านเองก็สบตากลับ หากแต่ไร้ซึ่งการตอบรับใด ๆ ไม่มีแม้รอยยิ้ม หรือคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น
มีแต่จะแย่ลง ทั้งคนป่วยและสุขภาพของคนในบ้าน
เป็นแบบนี้มานานนับเดือน เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ในทุก ๆ วันเขาไม่เห็นทีท่าว่าอาการของบิดาจะดีขึ้นเลย
"ผม...จะกลับแล้วนะครับ คงอีกนาน...กว่าจะได้กลับมาเยี่ยมอีก"
จู่ ๆ เขาก็เสียงสั่น รอบขอบตาร้อนผ่าว พยายามกลืนก้อนที่แล่นมาจุกอกกลับลงไป ไม่น่าเชื่อว่าแค่ระยะ เวลาเดือนเศษ มันทำให้ความผูกพันที่เคยหลงลืมมันไปหวนกลับมา
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ต้องเดินต่อไปในเส้นทางที่ได้เลือกแล้ว เขามีความสุขกับงานในต่างแดน ไม่อยากกลับมารับรู้ปัญหาให้ต้องปวดหัว และที่สำคัญ เขาเคยลั่นวาจาเอาไว้ ว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับแพสชั่น ไวเนอรี แม้ตอนนี้จะเกิดสงครามภายในถึงขั้นเปลี่ยนมือผู้บริหาร
ความเงียบมาห่มคลุมจนได้ยินเสียงลมพัดโบกโบยยอดไม้เขียวรื่น ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่กับบิดาจนกระทั่งแสงแดดอ่อนทอประกายอาบไล้เรือนยอดไม้ คล้ายกับต้องการทดแทนช่วงเวลาที่ขาดหายไป เวลาที่เรียกคืนมาไม่ได้ และเขาไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้
นับสิบกว่าปีที่ความสัมพันธ์ของเขากับบิดามีรอยแตกร้าวจนห่างเหิน...ถามว่าเสียดายไหม...เขาเสียดายที่มีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกันน้อยเกินไป ตลอดสิบกว่าปีมานี้เขามัวทำอะไรอยู่ ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเอง
อยากจะทำดีให้แก่กันก็สายไปเสียแล้ว ในขณะที่เขาเติบโตขึ้นตามกาลเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง มันหมายถึงเวลาของ
บิดาที่น้อยลงไปทุกที
ที่ศาลาริมน้ำหลังเดิม แทนไทใช้ช่วงเวลาสุดท้ายฝังตัวเองอยู่ตรงนั้น เขาแต่งตัวพร้อมที่จะออกเดินทาง อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะได้เวลาไปสนามบิน
เสียงคล้ายฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มเหลือบตามอง เป็นนันท์ภัสสรที่ยืนยิ้มอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
หล่อนคงไม่แน่ใจ วันนี้เขาประทับทรงร่างไหน หากทะเล่อทะล่าเข้ามาแล้วเกิดถูกไล่ตะเพิด ก็จะร้องห่มร้องไห้วิ่งไปฟ้องธามไทเช่นเคย
"พี่สิงห์ไปตอนไหนคะ"
คนถามยืนรอดูท่าที ก้มลงมองกล่องของขวัญเล็กกะทัดรัดที่สองมือโอบอุ้มเอาไว้
เห็นเขาขยับข้อมือเพื่อดูเวลา ก่อนหันมาคุยด้วย
“อีกสักพักน่ะ"
น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉย หล่อนจึงกล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้ ยื่นกล่องของขวัญในมือไปให้เขา
มันคือจี้กังหันลมเพิ่มสิริมงคลให้กับชีวิตจากวัด
แชกงหมิว หล่อนได้มาเมื่อตอนไปเที่ยวฮ่องกง วัดนี้ขึ้นชื่อในหมู่คนไทย ความหมายของกังหันลมที่หมุนกลับทิศนั่นคือจะช่วยพัดพาเรื่องไม่ดีออกไปจากชีวิต หล่อนตั้งใจมอบให้เขา
ความหมายของใบพัดทั้งสี่คือใบที่หนึ่งเดินทางปลอดภัย ใบที่สองสุขภาพแข็งแรงและอายุยืน ใบที่สามเงินทองไหลมาเทมา และใบที่สี่คิดหวังสิ่งใดก็สมดั่งปรารถนา
สาว ๆ คนไหนที่มีแฟนเป็นนักธุรกิจ เมื่อไปเที่ยวฮ่องกงก็มักจะได้สิ่งนี้ติดมือมาเป็นของขวัญให้คนรัก และหล่อนได้มันมาเพราะซื้อตามคนอื่น นึกขึ้นได้จึงนำมาให้แทนไท
คือนิสัยส่วนตัวของนันท์ภัสสร หล่อนชอบเทคแคร์คนอื่น สนใจความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง ทำดีกับทุกคนแม้คน ๆ นั้นจะไม่น่าได้รับความปรารถนาดีก็ตาม...เช่นคนตรงหน้า
และหล่อนดีใจไม่น้อย ที่กลับมาคราวนี้เขายอมญาติดีด้วย
"มันคืออะไร"
หากเมื่อก่อนเขาคงปาคืนมาใส่หน้าหล่อนไปแล้ว บาง อย่างที่เปลี่ยนไปทำให้เขารับมาถือไว้เพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจ มันเบาจนเดาไม่ออกว่าคืออะไร
"ไว้ไปแกะดูทีโน่นนะคะ"
หล่อนฉีกยิ้มมาให้...ภาพซ้อนผุดขึ้นมาในความทรงจำ หลายปีก่อน เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเอากล่องของขวัญมาให้เขาก่อนจะจากกันไกล มันคือกันดั้มที่ผู้ชายหลายคนหลงใหล
หากแต่ไม่ใช่เขา ความเกลียดชังทำให้เขาโยนทิ้งลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำจนพังยับเยิน เขายิ่งสะใจ เมื่อเห็นหล่อนร้องไห้โฮจากการกระทำแสนไร้หัวใจ
ตอนนั้นฮอร์โมนเขากำลังพลุ่งพล่าน รักแรง เกลียดแรง แถมยังขี้อิจฉาอีกด้วย ยิ่งเห็นพี่ชายของเขาคอยโอ๋สองแฝด เขาเลยพานพะโรพี่ชายไปด้วย
เขาดึงสายตากลับมาจากใบหน้าของหล่อน จากอดีตจนปัจจุบัน ตัวตนหล่อนไม่เปลี่ยนไปเลยจริง ๆ
"เธอนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ ปลายฟ้า"
หล่อนเอียงหน้ามอง เมื่อจู่ ๆ เขาก็ยิ้มออกมาได้
"ยังไงคะ"
"จุ้นจ้าน เซ้าซี้ แล้วก็...ขี้แย"
หรือสิ่งเหล่านี้ที่หล่อหลอมเป็นตัวตน มันทำให้เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ แต่เป็นภัคภัสสร ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน ทำไมเขาจึงเลือกที่จะแกล้งคนพี่ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน
"พี่สิงห์จะบอกว่าฟ้าทำตัวน่ารำคาญ เหมือนที่พี่เสือชอบดุฟ้าอยู่บ่อย ๆ เขาบอกว่าฟ้าน่ารำคาญยิ่งกว่าใคร และก็ชอบทำอารมณ์เสียเวลาฟ้าเข้าใกล้"
เขาไม่ตอบ ได้แต่กระตุกยิ้มให้หล่อนเมื่อเอ่ยถึงธามไท "เธอทำเหมือนไม่รู้จักเขาเลยนะ ปากว่าตาขยิบสิไม่ว่า หมอนั่นน่ะ ร้ายยิ่งกว่าฉันอีกนะจะบอกให้ หึ"
"นี่ก็อีกคน เมื่อไหร่จะหันหน้าคุยกันดี ๆ เฮ้อ...ต้องให้ตายจากกันก่อนหรือไง"
หล่อนถอนหายใจ เพราะพูดถึงธามไททีไรคนตรงหน้าก็จิกกัดทุกครั้ง
ความเงียบมาเยือนเมื่อนันท์ภัสสรเงียบ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคาใจ เหตุใดเขาจึงยอมญาติดีด้วย และหล่อน
จะต้องรู้ให้ได้
"ฟ้าสงสัย ทำไมพี่สิงห์จึงยอมคุยด้วยคะ"
พูดไม่ขาดคำ หล่อนเซ้าซี้อีกแล้ว เขาหันมาทันควันจากคำถามของเจ้าหล่อน...จะให้ตอบยังไงดี เพราะบางทีก็ไม่มีเหตุผล
"เพราะฉันเคยอกหัก...ก็เลย...เข้าใจเธอมั้ง ความรักมันร้าย เธอคงซาบซึ้งกับมันดี"
หล่อนถึงกับหัวเราะ เขาเนี่ยนะเคยถูกทิ้ง ตอกย้ำว่าเชื่อคนอย่างเขาไม่ได้จริง ๆ
"พี่สิงห์น่ะเหรอคะที่จะอกหัก ไม่เชื่อหรอก"
"ฉันเคยคบผู้หญิงไทยคนนึงตอนเธอไปเรียนเมกา และเมื่อเธอเรียนจบ เราก็เลิกกัน"
หล่อนหูผึ่ง ฟังอย่างตั้งใจ เมื่อได้รู้ว่าเขาเคยมีแฟน เพราะเขาไม่เคยเปิดตัวมาก่อน
"เพราะความห่างไกลเหรอคะ ถึงต้องเลิกกัน"
พยายามที่จะไม่พูดถึงนิสัยของเขา บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจทนนิสัยแปลกประหลาดของเขาไม่ได้
"เปล่า...ฉันมารู้ทีหลังว่าเธอคบซ้อน นั่นล่ะ เราเลย
เลิกติดต่อกัน"
สีหน้าเขาดูเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องรัก...เหมือนเขายังลืมไม่ได้ นันท์ภัสสรเดาเอาจากแววตาคมกล้าที่กำลังหวั่นไหว
มิน่าล่ะ...เขาถึงดูเหมือนคนไม่ปกติตอนมาถึง ทำตัวเป็นหมาบ้าไล่กัดเขาไปทั่ว ที่แท้พิษรักก็แล่นไปทำลายสมองของเขานี่เอง
สาบานได้...จะไม่รักจนบ้าแบบเขา หล่อนบอกตัวเอง
มันคงจะจริงอย่างที่หล่อนคาดเดา เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้...ไม่มีใครรู้...เขาหอบใจที่บอบช้ำกลับมาบ้านด้วย พยายามซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ด้วยเปลือกนอกแข็งกระด้าง ไม่ยอมให้ใครเจาะเข้าถึงเนื้อแท้ข้างในได้ง่าย ๆ
แต่น่าแปลก ที่เขายอมเผยความลับให้นันท์ภัสสรได้รู้ หล่อนเก่ง...ที่ทลายกำแพงของเขาได้
"ตามหาตั้งนาน ที่แท้ก็แอบมาอยู่ตรงนี้!"
เสียงดังมาก่อนตัว แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร...ธามไท
เดินตามเข้ามาในศาลา
เขาจ้องหน้านันท์ภัสสรเขม็ง รู้สึกไม่ชอบใจเสียอย่างนั้น กับการที่เห็นหล่อนมีท่าทีสนิทสนมกับแทนไท
มีของขวัญแทนใจให้กันด้วย แววตาคมกล้าปรายมองไปยังกล่องเล็ก ๆ ที่วางอยู่ข้าง ๆ น้องชาย คล้ายอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงความคิด เขาทำทีเป็นหยิบกล่องมาถือไว้ สื่อให้รู้ว่าหวงแค่ไหนกับของขวัญแทนใจกล่องนี้
เลือกคนไหนเอาสักคน อย่าริทำตัวเป็นพระยาเทครัว คือสิ่งที่แทนไทอยากบอกพี่ชาย เพราะพฤติกรรมที่เป็นอยู่มันเหมือนอาการของคนรักพี่เสียดายน้องไม่มีผิด
ในความอึมครึม แววตาคู่คมสองคู่ที่จับจ้องกันและกัน มันมีความรู้สึกหลากหลายซ่อนอยู่ ใจหายและหวิวโหวงกับการจากลา และด้วยหยิ่งในศักดิ์ศรีกันทั้งคู่ จึงไม่มีใครยอมเผยความรู้สึกออกมา
คือสายใยแห่งความพันผูก เกิดและเติบโตมาด้วยกัน ไม่มีอะไรมาทำให้มันขาดสะบั้นลงได้
"ปลายฟ้า ขอเวลาส่วนตัวสักครู่ ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่ชายของเธอ"
แทนไทเป็นคนเอ่ยปาก ภัคภัสสรปลีกตัวออกไปอย่างว่าง่าย หล่อนเข้าใจ...ทั้งสองคงอยากคุยกันตามประสาผู้ชาย โดยไม่มีหล่อนยืนแทรกกลาง
เมื่ออยู่เพียงลำพัง แทนไทเป็นฝ่ายยอมเปิดปากก่อน "ความสัมพันธ์กับคุณแม่ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง"
ที่ถามก็เพราะรู้ว่าธามไทโกรธมารดามาก จากการที่ท่านยกมือโหวตเข้าร่วมไปกับเอกภพ คนเป็นแม่พยายามง้อ หากแต่ลูกชายกลับทำตัวห่างเหิน
"ฉันยังทำใจไม่ได้ นายไม่ต้องมาสั่งฉันหรอกว่าต้องทำยังไง มันคือความรู้สึกที่เสียไป และฉันกำลังจัดการมัน"
ธามไทมองหน้าน้องชาย เขากำลังจะบอกว่า มันก็ไม่ต่างไปจากที่อีกฝ่ายโกรธบิดาเป็นบ้าหลัง จนทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจางหายไปหมดหรือยัง
"ก็แค่...ไม่อยากให้เป็นแบบผม คนเราจะเห็นค่ากับอะไรสักอย่างก็เมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว"
เขาไม่พูดเยอะ ให้สิ่งที่เกิดขึ้นช่วยอธิบายแทน เช่นเขาที่เริ่มเห็นค่าของเวลา เขาปล่อยทิ้งมาเป็นสิบ ๆ ปี
"บางทีท่านอาจมีเหตุผล ทำไมไม่ลองเปิดใจคุยกัน"
แทนไทนึกไปถึงวันนั้น ที่เขาได้ยินมารดาคุยกับเอกภพ ท่านดูมีความลับซ่อนหลบ และเอกภพก็ยังทำเหมือนควบคุมมารดาเขาได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยปากขอภัคภัสสรไปทำเมีย...เขาเองก็ตะหงิดใจ ทั้งคู่มีความลับอะไรต่อกัน
ชายวัยห้าสิบกับสาวคราวหลาน หากมีงานแต่งระหว่างเอกภพและภัคภัสสรเกิดขึ้น เขาคงไม่มาร่วมงานแน่
แต่เอกภพนั้นดูแลตัวเองดี ภายนอกเขาจึงดูยังหนุ่มยังแน่น หลอกสายตาคนไม่รู้อายุที่แท้จริง ไม่แน่ว่าภัคภัสสรอาจจะแพ้ทางคนแก่ยอมแต่งงานก็เป็นได้ คิดมาถึงตรงนี้เขาเผลอกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
เขาอยากบอกพี่ชายเรื่องนี้ แต่คิดไปคิดมาไม่ยุ่งดีกว่า เพราะนั่นไม่ใช่ปัญหาของเขา แต่เป็นปัญหาของพี่ชาย
ดีเสียอีก หากแต่งงานกับเอกภพหล่อนก็จะได้ออกไปจากบ้านหลังนี้ มันคือความต้องการของเขาแต่แรกไม่ใช่หรือ
แทนไทเริ่มทบทวนตัวเอง สรุปตอนนี้เขาต้องการอะไรกันแน่ แค่เวลาไม่นานก็ทำเขาสับสนไปหมดจนระบบความคิดเริ่มรวน
"สรุปนายจะไม่ลาออกจริง ๆ ใช่ไหม"
เสียงดังขึ้น จากที่สื่อสารกันทางจิตมาสักพัก และเช่นเคย...แทนไทยังคงยืนยันคำเดิม
"ทุกอย่างกำลังไปได้สวย หากลาออกตอนนี้ทุกอย่างจะสะดุดทันที ถ้าไม่เริ่มสร้างตัวตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะไปเริ่มตอนไหน"
นั่นคือมุมมองของแทนไท ผู้ชายในวัยย่างเลขสามนั้นควรจะเริ่มสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้แล้ว เขามองไกลไปถึงอนาคต หากตัดสินใจร่วมชีวิตกับใครสักคน เขาจะต้องพร้อมปกป้องและดูแลเธอได้
จะไม่พาใครมาลุ่ม ๆ ดอน ๆ ด้วยเด็ดขาด ยิ่งคิดจะมีลูก เขาจะต้องมีเงินนอนในบัญชีหลักล้าน
ทุกวันนี้เขาใช้เงินต่อเงินด้วยการเล่นหุ้น ลงทุนหลาย ทาง เหตุนี้เขาจึงอยู่ในอเมริกาได้อย่างสบาย ไม่เคยต้องรบกวนทางบ้าน
ในขณะที่ธามไทคิดสวนทาง น้องชายของเขาทำตัวเหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร ทั้งที่มีบริษัทให้สานต่อ แต่อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะหันหลังให้ทุกคนเอง
หันหลังไม่พอ ยังหักหน้าเอกภพด้วยการเอาความรู้ระดับปริญญาโทไปสร้างสรรค์ผลงานให้บริษัทคู่แข่งเสียนี่
"ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเอง ฉันจะไม่บังคับนายล่ะ เอาที่สบายใจ"
ธามไทถอดใจเมื่อไม่อาจเปลี่ยนความคิดของน้องชายได้ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เขาเริ่มจะปลงและยอมรับกับสถานการณ์ที่ผันแปร คิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ เชื่อว่าหากปล่อยวางเสียบ้าง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
ได้เวลาที่ต้องลาจาก แทนไทเข้ามาลาบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ในห้องมีเพียงเขากับพยาบาลจนบรรยากาศดูเหงาและเศร้า เขากวาดตามองไปรอบ ๆ ห้อง รู้สึกใจหายไม่น้อย เมื่อคิดไปว่าคงอีกนานกว่าจะได้กลับมาเหยียบอีกครั้ง
คล้ายหางตาจะจับได้ถึงความผิดปกติ เหมือนมีใครมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่หน้าประตู และเพราะเห็นเขาก็เลยไม่
กล้าเข้ามา
คนที่ทำแบบนี้คงมีเพียงคนเดียว เห็นเขาเหมือนเห็นผี ชายหนุ่มรีบปรี่ไปยังประตูอย่างรวดเร็ว
แล้วก็จริง ๆ ภัคภัสสรกำลังก้าวเดินเร็ว ๆ หนีเขา ชายหนุ่มวิ่งตามไปทันที่ทางลงบันไดพอดี หล่อนลงไปได้สามขั้น ร่างก็ถูกกักเอาไว้ด้วยสองแขนแข็งแรงที่ยันไว้กับผนัง หล่อนถอยหนีไม่ได้อีกแล้ว เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับความเรียบแข็งจนหมดหนทางไป
เขาขยับเข้าหา จนหล่อนสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นสดชื่นที่มาจากกายแกร่ง Giorgio Armani มันช่างเป็นกลิ่นที่เข้ากับฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี
หล่อนยืนเกร็งตัวสั่นใจสั่น อยู่ภายใต้วงแขนของซาตานร้ายที่กำลังสยายปีก หากแต่ก็ยังคงไม่แสดงออกถึงความกลัวให้เขาได้ใจ หล่อนไม่ได้กลัวอะไร กลัวเพราะผู้ชายตรงหน้าบ้ากว่าที่คิด
อยู่ดี ๆ ก็อาจจะถูกเขาปล้นจูบไปอย่างหน้าตาเฉย เคยลวนลามในสระก็ทำมาแล้ว โชคดีของหล่อนแล้วที่เขาจะบินกลับ หากอยู่ต่ออีกสักเดือน หล่อนคงเสียท่าให้เขาในสักวัน
"ฉันกำลังจะไปแล้ว ใจคอเธอไม่คิดจะร่ำลากันเลยเหรอปลายฝน"
"กะ...ก็...ปะ...ไปสิคะ ขอให้เดินทางปลอดภัย"
"เท่านี้เองเหรอ ฉันอุตส่าห์ช่วยเธอให้รอดตายจากกองเพลิงนะ เธอควรทำมากกว่า…พูดออกมาแบบส่ง ๆ เพื่อให้จบ ๆ ไป"
เขาทวงบุญคุณ หากแต่หล่อนคิดคำพูดได้เท่านี้จริง ๆ และไม่มีอะไรจะให้เขาไว้แทนใจด้วย หล่อนเอี้ยวหน้าหนี เมื่อเขาจงใจแกล้งด้วยการโน้มใบหน้าลงต่ำ
แววตาเขามองมาแปลก ๆ ปลายนิ้วแกร่งจับปลายคางเรียวเอาไว้แล้วพลิกใบหน้าสวยไปมาคล้ายกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง และรอยยิ้มของเขาทำให้หล่อนเกลียด เขาชอบยิ้มเหมือนไม่ชอบมาพากล
"ถ้าพี่สิงห์ลวนลามฝนอีก ฝนจะถีบให้หงายหลังตกบันไดหัวฟาดจนตายเลยคอยดู!"
หล่อนขู่ฟ่อ แววตาขึงขังหน้าตึง
มิน่าล่ะ เอกภพถึงอยากได้นักหนา เขาคิดยามได้พินิจใกล้ ๆ ประกอบกับบุคลิกที่ดูเยอหยิ่งจองหองไม่ยอมคน ดึงดูดให้ผู้ชายอย่างเอกภพอยากปราบพยศให้อยู่หมัด
รวมถึงเขาด้วยหรือเปล่านั้น เขาตอบตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าถามเรื่องเกลียดเธอล่ะก็ เขาจะรีบยอมรับทันทีว่ายังเกลียดเหมือนเดิม
แต่ถือว่าเขายังปราณี ไม่อยากให้หล่อนตกไปอยู่ในอุ้งมือของคนอย่างเอกภพ
"ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไปต่อโทที่ต่างประเทศทันทีหลังเรียนจบ อนาคตขึ้นอยู่กับเธอแล้วปลายฝน"
"....."
"หรือชีวิตเธอจะวนเวียนอยู่แค่นี้ เรียนจบ มีผัว ท้อง หัวฟูเลี้ยงลูกอยู่บ้าน ในขณะที่ไอ้แก่ผัวเธอมันก็มีกิ๊กไปเรื่อยเพราะบ้าตัณหา เธอต้องการแบบนั้นใช่มั้ยปลายฝน"
อะไรของเขา เขากำลังพล่ามอะไร ภัคภัสสรยืนงงในวงแขนกว้าง นี่แหละเขา บางทีก็หาความเชื่อมโยงจากการกระทำแต่ละครั้งไม่ได้
"ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ โลกมันกว้างเกินกว่า
ที่เราจะหยุดค้นหา...สมมุตินะ...สมมุติเธอจบชีวิตตัวเองด้วยการแต่งงานกับชายแก่คราวพ่อ ซึ่งคน ๆ นั้นอาจจะเสื่อมสมรรถภาพไปแล้ว เรื่องบนเตียงลุ่ม ๆ ดอน ๆ เขาให้ความสุขเธอไม่ได้เหมือนที่เธอต้องการ ทั้งที่เธอยังสาวยังสวย เธอคิดว่ามันจะยังมีความสุขอยู่มั้ยกับชีวิตแบบนี้"
นี่ พี่สิงห์ เป็นบ้าอะไรคะ"
หล่อนหยุดหัวเราะไม่ได้จริง ๆ กับการที่เขาพูดไปถึงดาวอังคาร และเขารู้ได้ยังไงว่าหล่อนจะมีจุดจบแบบนั้น เรื่องแต่งงาน...มันไม่เคยอยู่ในหัวหล่อนแม้สักนิดเดียว
และหล่อนก็ไม่คิดว่านั่นคือความปรารถนาดีด้วยซ้ำ คนอย่างเขาไม่น่าจะรักใครมากกว่าตัวเอง และอยู่ดี ๆ ก็มากล่าวหาว่าหล่อนจะได้ผัวแก่ เรื่องนี้หล่อนยอมไม่ได้
"ชีวิตฝนจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับพี่สิงห์อยู่แล้ว แล้วไงคะ มีผัวแก่แล้วไง ในเมื่อทุกคนก็ต้องแก่ และพี่สิงห์ก็ต้องเป็นไอ้แก่เหมือนกันนั่นแหละ"
"เธอเรียกใครไอ้แก่ ฮึ!"
"ถ้าไม่ปล่อยฝนจะร้องให้ลั่นบ้านเลยคอยดู!"
หล่อนขัดขืนเมื่อเขาตรึงสองมือของตนไว้กับผนัง
เบียดสะโพกเข้าหาจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน เชื่อว่าหล่อนจะไม่กล้าแหกปากโวยวาย
"เอาสิ ตะโกนเลย ทีนี้ได้ยินไปถึงหูคุณพ่อแน่!"
"พี่สิงห์ ปล่อยฝน!"
"ฉันมีข้อเสนอ ก่อนที่เธอจะกลายเป็นเมียของตาแก่ตัณหากลับที่มันจ้องจะงาบเธอ"
"อะไร ใคร ตาแก่ไหน พี่สิงห์พูดถึงเรื่องอะไร!"
"ก็แค่ยอมเป็นเมียฉัน เป็นผู้หญิงของฉัน แล้วเธอจะรอด"
หล่อนถึงกับอึ้ง เมื่อเขาขอกันตรง ๆ ซึ่ง ๆ หน้าไม่ต้องอ้อมค้อม...ก็...เหมาะสมกันดีแล้วกับคนเช่นเขา
"บ้าไปแล้ว ไปขอคนอื่นไป นี่พี่สิงห์หาเมียด้วยการดักตีหัวเขาอย่างนี้เหรอคะ!"
หล่อนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น โดยเฉพาะกับเขา พยายามดิ้นรนขัดขืนหากแต่ก็ไม่กล้าแหกปาก กลัวเหมือนกัน หากคนที่นอนป่วยยังรับรู้ท่านก็จะได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้าน
เขากระตุกยิ้มใส่หน้าคนที่กำลังหวาดกลัว แววตา
เว้าวอนขออิสรภาพ
"และก่อนฉันจะไป เอายังงี้มั้ยล่ะ นอนกับฉัน แลกกับการที่เธอจะได้อยู่ต่อในบ้านหลังนี้ หากเธอยังหยิ่งผยอง สาบานได้ กลับมาคราวหน้าฉันจะเฉดหัวเธอไปจากที่นี่!"
ข้อเสนอของคนโฉด มีแต่ได้กับได้ เกมของเขาเริ่มอีกครั้ง หล่อนเข้าใจแล้ว ที่เขาหาเรื่องใกล้ชิด ก็เพราะต้องการแบบนี้นี่เอง
"ไม่! ฝนยอมตาย ถ้าต้องกลายเป็นเมียพี่สิงห์"
"เป็นเมียฉันไม่ดีตรงไหน ฉันสู้พี่เสือของเธอไม่ได้ตรงไหน ฮึ! ถ้าหากเขาเอ่ยปากขอ เธอก็คงจะนอนรอเลยใช่มั้ย!"
เมื่อเขาดูถูกรุนแรง หล่อนจึงโพล่งกลับอย่างเหลืออด
"ใช่! และก็บอกไว้เลย ชาตินี้พี่สิงห์คงไม่มีปัญญาทำแบบเขา นี่อดอยากปากแห้งมากี่ปีคะ ถึงได้ทำตัวเถื่อนถ่อยขนาดนี้!"
ในเมื่อหล่อนตราหน้าว่าเขาถ่อยเถื่อน เขาก็จะทำตัวเยี่ยงโจรป่าให้หล่อนได้รับรู้รสชาติของความป่าเถื่อนของจริง
เขาบอกไว้เลย ที่ผ่านมามันไม่ได้ครึ่ง กับสิ่งที่หล่อนกำลังจะเจอ
จะได้เลิกหยิ่งผยอง ยอมลดตัวมากอดขาเว้าวอนให้เขาเห็นใจ ไม่ใช่ทำอวดดีใส่แบบนี้
"อย่านะ จะทำอะไร จะกัดให้ลิ้นขาดเลยคอยดู!"