Chapter​ 8 การลาจาก (1)

3862 คำ
Chapter​ 8 การลาจาก (1) เช้าตรู่เดือนมกราคมที่ห่มคลุมด้วยอากาศเย็นยะเยือก เสียงนกขับขานพร่ำรำพันถ้อยคำรักดังหวานแว่ว​ มวลหมู่ดอกไม้ผลิบานชูช่อล้อเล่นลม​หนาว​ ล่อหลอกให้เหล่าแมลงโผผินบินมาดอม​ดม...บนทางเดินหินเรียงที่ขนาบข้างด้วยพรรณไม้ดอกนานาพรรณ​ แทนไทเข็นรถเข็นคนป่วยไปอย่างช้า​ ๆ​ คล้ายกับต้องการให้คนที่นั่งอยู่บนรถซึมซับบรรยากาศสดชื่นยามเช้าเอาไว้ให้มากที่สุด​ แววตาคมกล้ามองไปยังทิวเขาที่ทอดยาว​ หมอกจาง​ ๆ​ ลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียอยู่เหนือยอดเขา...ใจหายไม่น้อย​ เมื่อเขามีเวลาอยู่กับบิดาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากแพทย์อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล​ เขาก็เตรียมตัวบินกลับอเมริกาทันที​ จากเหตุการณ์ไฟไหม้ผับทำให้เขาต้องลางานต่ออีกเป็นอาทิตย์​ และเขาก็เกรงใจเจ้านาย​อยู่ไม่น้อย​ แม้ทางนั้นจะอนุญาตให้เขารักษาตัวจน หายดีแล้วค่อยกลับไปทำงานก็ตาม ชายหนุ่มหันหน้ารถเข็นไปทางภูเขา​ หวังให้คนป่วยได้ทอดสายตาซึมซับธรรมชาติอันแสนสวยงาม หากแต่แววตาของท่านช่างเปล่า​ เหมือนร่างที่ยังหายใจแต่ไร้ซึ่งวิญญาณ​ เขาย่อกายลงนั่งข้าง ​ๆ​ คว้ามือกร้านโลกมาบีบเบา​ๆ "คุณพ่อรับรู้ใช่ไหมครับว่าผมกลับมาเยี่ยมคุณพ่อ" เขาสบตากับคนที่นั่งคอพับอยู่บนรถเข็น​ ท่านเองก็สบตากลับ​ หากแต่ไร้ซึ่งการตอบรับใด​ ๆ​ ไม่มีแม้รอยยิ้ม​ หรือคำพูดที่แสดงให้เห็นว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะดีขึ้น มีแต่จะแย่ลง​ ทั้งคนป่วยและสุขภาพของคนในบ้าน เป็นแบบนี้มานานนับเดือน​ เพราะตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านหลัง​นี้​ ในทุก​ ๆ​ วันเขาไม่เห็นทีท่าว่าอาการของบิดาจะดีขึ้นเลย "ผม...จะกลับแล้วนะครับ คงอีกนาน...กว่าจะได้กลับมาเยี่ยมอีก" จู่​ ๆ​ เขาก็เสียงสั่น​ รอบขอบตาร้อนผ่าว​ พยายามกลืนก้อนที่แล่นมาจุกอกกลับลงไป​ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ระยะ เวลาเดือนเศษ​ มันทำให้ความผูกพันที่เคยหลงลืมมันไปหวนกลับมา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร​ เขาก็ต้องเดินต่อไปในเส้นทางที่ได้เลือกแล้ว​ เขามีความสุขกับงานในต่างแดน​ ไม่อยากกลับมารับรู้ปัญหาให้ต้องปวดหัว​ และที่สำคัญ​ เขาเคยลั่นวาจาเอาไว้​ ว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับแพสชั่น​ ไวเนอรี​ แม้ตอนนี้จะเกิดสงครามภายในถึงขั้นเปลี่ยนมือผู้บริหาร ความเงียบมาห่มคลุมจนได้ยินเสียงลมพัดโบกโบยยอดไม้เขียวรื่น​ ชายหนุ่มใช้เวลาอยู่กับบิดาจนกระทั่งแสงแดดอ่อนทอประกายอาบไล้เรือนยอดไม้​ คล้ายกับต้องการทดแทนช่วงเวลาที่ขาดหายไป​ เวลาที่เรียกคืนมาไม่ได้​ และเขาไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้​ นับสิบกว่าปีที่ความสัมพันธ์ของเขากับบิดามีรอยแตกร้าวจนห่างเหิน...ถามว่าเสียดายไหม...เขาเสียดายที่มีช่วงเวลาดี​ ๆ​ ด้วยกันน้อยเกินไป​ ตลอดสิบกว่าปีมานี้เขามัวทำอะไรอยู่​ ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเอง อยากจะทำดีให้แก่กันก็สายไปเสียแล้ว​ ในขณะที่เขาเติบโตขึ้นตามกาลเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง ​ มันหมายถึงเวลาของ บิดาที่น้อยลงไปทุกที ที่ศาลาริมน้ำหลังเดิม​ แทนไทใช้ช่วงเวลาสุดท้ายฝังตัวเองอยู่ตรงนั้น​ เขาแต่งตัวพร้อมที่จะออกเดินทาง​ อีกหนึ่งชั่วโมงก็จะได้เวลาไปสนามบิน เสียงคล้ายฝีเท้าเดินมาหยุดอยู่ไม่ไกล​ ชายหนุ่มเหลือบตามอง​ เป็นนันท์ภัสสรที่ยืนยิ้มอย่างกล้า ๆ​ กลัว​ ๆ หล่อนคงไม่แน่ใจ​ วันนี้เขาประทับทรงร่างไหน​ หากทะเล่อทะล่าเข้ามาแล้วเกิดถูกไล่ตะเพิด​ ก็จะร้องห่มร้องไห้วิ่งไปฟ้องธามไทเช่นเคย "พี่สิงห์ไปตอนไหนคะ" คนถามยืนรอดูท่าที​ ก้มลงมองกล่องของขวัญเล็กกะทัดรัดที่สองมือโอบอุ้มเอาไว้ เห็นเขาขยับข้อมือเพื่อดูเวลา​ ก่อนหันมาคุยด้วย “อีกสักพักน่ะ" น้ำเสียงฟังดูเรียบเฉย​ หล่อนจึงกล้าที่จะเดินเข้าไปใกล้​ ยื่นกล่องของขวัญในมือไปให้เขา มันคือจี้กังหันลมเพิ่มสิริมงคลให้กับชีวิตจากวัด แชกงหมิว หล่อนได้มาเมื่อตอนไปเที่ยวฮ่องกง วัดนี้ขึ้นชื่อในหมู่คนไทย​ ความหมายของกังหันลมที่หมุนกลับทิศนั่นคือจะช่วยพัดพาเรื่องไม่ดีออกไปจากชีวิต​ หล่อนตั้งใจมอบให้เขา ความหมายของใบพัดทั้งสี่คือใบที่หนึ่งเดินทางปลอดภัย​ ใบที่สองสุขภาพแข็งแรงและอายุยืน ใบที่สามเงินทองไหลมาเทมา และใบที่สี่คิดหวังสิ่งใดก็สมดั่งปรารถนา สาว​ ๆ​ คนไหนที่มีแฟนเป็นนักธุรกิจ​ เมื่อไปเที่ยวฮ่องกงก็มักจะได้สิ่งนี้ติดมือมาเป็นของขวัญให้คนรัก​ และหล่อนได้มันมาเพราะซื้อตามคนอื่น​ นึกขึ้นได้จึงนำมาให้แทนไท คือนิสัยส่วนตัวของนันท์ภัสสร​ หล่อนชอบเทคแคร์คนอื่น​ สนใจความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง​ ทำดีกับทุกคนแม้คน​ ๆ​ นั้นจะไม่น่าได้รับความปรารถนาดีก็ตาม...เช่นคนตรงหน้า และหล่อนดีใจไม่น้อย​ ที่กลับมาคราวนี้เขายอมญาติดีด้วย​ "มันคืออะไร" หากเมื่อก่อนเขาคงปาคืนมาใส่หน้าหล่อนไปแล้ว​ บาง อย่างที่เปลี่ยนไปทำให้เขารับมาถือไว้เพราะไม่อยากให้เสียน้ำใจ​ มันเบาจนเดาไม่ออกว่าคืออะไร "ไว้ไปแกะดูทีโน่นนะคะ" หล่อนฉีกยิ้มมาให้...ภาพซ้อนผุดขึ้นมาในความทรงจำ​ หลายปีก่อน​ เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเอากล่องของขวัญมาให้เขาก่อนจะจากกันไกล​ มันคือกันดั้ม​ที่ผู้ชายหลายคนหลงใหล หากแต่ไม่ใช่เขา​ ความเกลียดชังทำให้เขาโยนทิ้งลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำจนพังยับเยิน​ เขายิ่งสะใจ​ เมื่อเห็นหล่อนร้องไห้โฮจากการกระทำแสนไร้หัวใจ​ ตอนนั้นฮอร์โมนเขากำลังพลุ่งพล่าน​ รักแรง​ เกลียดแรง​ แถมยังขี้อิจฉาอีกด้วย​ ยิ่งเห็นพี่ชายของเขาคอยโอ๋สองแฝด​ เขาเลยพานพะโรพี่ชายไปด้วย เขาดึงสายตากลับมาจากใบหน้าของหล่อน​ จากอดีตจนปัจจุบัน​ ตัวตนหล่อนไม่เปลี่ยนไปเลยจริง​ ๆ "เธอนี่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ​ ปลายฟ้า" หล่อนเอียงหน้ามอง​ เมื่อจู่​ ๆ​ เขาก็ยิ้มออกมาได้ "ยังไงคะ" "จุ้นจ้าน​ เซ้าซี้​ แล้วก็...ขี้แย" หรือสิ่งเหล่านี้ที่หล่อหลอมเป็นตัวตน​ มันทำให้เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ​ แต่เป็นภัคภัสสร​ ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน​ ทำไมเขาจึงเลือกที่จะแกล้งคนพี่ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน "พี่สิงห์จะบอกว่าฟ้าทำตัวน่ารำคาญ​ เหมือนที่พี่เสือชอบดุฟ้าอยู่บ่อย​ ๆ​ เขาบอกว่าฟ้าน่ารำคาญยิ่งกว่าใคร​ และก็ชอบทำอารมณ์เสียเวลาฟ้าเข้าใกล้" เขาไม่ตอบ​ ได้แต่กระตุกยิ้มให้หล่อนเมื่อเอ่ยถึงธามไท "เธอทำเหมือนไม่รู้จักเขาเลยนะ​ ป​ากว่าตาขยิบสิไม่ว่า​ หมอนั่นน่ะ​ ร้ายยิ่งกว่าฉันอีกนะจะบอกให้​ หึ" "นี่ก็อีกคน​ เมื่อไหร่จะหันหน้าคุยกันดี​ ๆ​ เฮ้อ...ต้องให้ตายจากกันก่อนหรือไง" หล่อนถอนหายใจ​ เพราะพูดถึงธามไททีไรคนตรงหน้าก็จิกกัดทุกครั้ง ความเงียบมาเยือน​เมื่อนันท์ภัสสรเงียบ​ แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคาใจ​ เหตุใดเขาจึงยอมญาติดีด้วย​ และหล่อน จะต้องรู้ให้ได้ "ฟ้าสงสัย​ ทำไมพี่สิงห์จึงยอมคุยด้วยคะ" พูดไม่ขาดคำ​ หล่อนเซ้าซี้อีกแล้ว​ เขาหันมาทันควัน​จากคำถามของ​เจ้าหล่อน...จะให้ตอบยังไงดี​ เพราะบางทีก็ไม่มีเหตุผล "เพราะฉันเคยอกหัก...ก็เลย...เข้าใจเธอมั้ง​ ความรักมันร้าย​ เธอคงซาบซึ้งกับมันดี" หล่อนถึงกับหัวเราะ​ เขาเนี่ยนะเคยถูกทิ้ง​ ตอกย้ำว่าเชื่อคนอย่างเขาไม่ได้จริง​ ๆ "พี่สิงห์น่ะเหรอคะที่จะอกหัก​ ไม่เชื่อหรอก" "ฉันเคยคบผู้หญิงไทยคนนึงตอนเธอไปเรียนเมกา และเมื่อเธอเรียนจบ​ เราก็เลิกกัน" หล่อนหูผึ่ง​ ฟังอย่างตั้งใจ​ เมื่อได้รู้ว่าเขาเคยมีแฟน​ เพราะเขาไม่เคยเปิดตัวมาก่อน "เพราะความห่างไกลเหรอคะ ถึงต้องเลิกกัน" พยายามที่จะไม่พูดถึงนิสัยของเขา​ บางทีผู้หญิงคนนั้นอาจทนนิสัยแปลกประหลาดของเขาไม่ได้ "เปล่า...ฉันมารู้ทีหลังว่าเธอคบซ้อน​ นั่นล่ะ เราเลย เลิกติดต่อกัน" สีหน้าเขาดูเครียด​ขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องรัก...เหมือนเขายังลืมไม่ได้​ นันท์ภัสสรเดาเอาจากแววตาคมกล้าที่กำลังหวั่นไหว มิน่าล่ะ...เขาถึงดูเหมือนคนไม่ปกติตอนมาถึง​ ทำตัวเป็นหมาบ้าไล่กัดเขาไปทั่ว​ ที่แท้พิษรักก็แล่นไปทำลายสมองของเขานี่เอง สาบานได้...จะไม่รักจนบ้าแบบเขา​ หล่อนบอกตัวเอง มันคงจะจริงอย่างที่หล่อนคาดเดา​ เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้...ไม่มีใครรู้...เขาหอบใจที่บอบช้ำกลับมาบ้านด้วย​ พยายามซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ด้วยเปลือกนอกแข็งกระด้าง​ ไม่ยอมให้ใครเจาะเข้าถึงเนื้อแท้ข้างในได้ง่าย​ ๆ แต่น่าแปลก​ ที่เขายอมเผยความลับให้นันท์ภัสสรได้รู้ หล่อนเก่ง...ที่ทลายกำแพงของเขาได้ "ตามหาตั้งนาน​ ที่แท้ก็แอบมาอยู่ตรงนี้!" เสียงดังมาก่อนตัว​ แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร...ธามไท เดินตามเข้ามาในศาลา เขาจ้องหน้านันท์ภัสสรเขม็ง​ รู้สึกไม่ชอบใจเสียอย่างนั้น​ กับการที่เห็นหล่อนมีท่าทีสนิทสนมกับแทนไท มีของขวัญแทนใจให้กันด้วย แววตาคมกล้าปรายมองไปยังกล่องเล็ก​ ๆ​ ที่วางอยู่ข้าง​ ๆ​ น้องชาย​ คล้ายอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงความคิด​ เขาทำทีเป็นหยิบกล่องมาถือไว้​ สื่อให้รู้ว่าหวงแค่ไหนกับของขวัญแทนใจกล่องนี้ เลือกคนไหนเอาสักคน​ อย่าริทำตัวเป็นพระยาเทครัว​ คือสิ่งที่แทนไทอยากบอกพี่ชาย​ เพราะพฤติกรรมที่เป็นอยู่มันเหมือนอาการของคนรักพี่เสียดายน้องไม่มีผิด ในความอึมครึม​ แววตาคู่คมสองคู่ที่จับจ้องกันและกัน​ มันมีความรู้สึกหลากหลายซ่อนอยู่​ ใจหายและหวิวโหวง​กับการจากลา และด้วยหยิ่งในศักดิ์ศรีกันทั้งคู่​ จึงไม่มีใครยอมเผยความรู้สึกออกมา คือสายใยแห่งความพันผูก​ เกิดและเติบโตมาด้วยกัน​ ไม่มีอะไรมาทำให้มันขาดสะบั้นลงได้ "ปลายฟ้า​ ขอเวลาส่วนตัวสักครู่​ ฉันมีเรื่องจะคุยกับพี่ชายของเธอ" แทนไทเป็นคนเอ่ยปาก​ ภัคภัสสรปลีกตัวออกไปอย่างว่าง่าย​ หล่อนเข้าใจ...ทั้งสองคงอยากคุยกันตามประสาผู้ชาย​ โดยไม่มีหล่อนยืนแทรกกลาง เมื่ออยู่เพียงลำพัง​ แทนไทเป็นฝ่ายยอมเปิดปากก่อน​ "ความสัมพันธ์กับคุณแม่ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง" ที่ถามก็เพราะรู้ว่าธามไทโกรธมารดามาก​ จากการที่ท่านยกมือโหวตเข้าร่วมไปกับเอกภพ​ คนเป็นแม่พยายามง้อ​ หากแต่ลูกชายกลับทำตัวห่างเหิน "ฉันยังทำใจไม่ได้​ นายไม่ต้องมาสั่งฉันหรอก​ว่าต้องทำยังไง มันคือความรู้สึกที่เสียไป​ และฉันกำลังจัดการมัน" ธามไทมองหน้าน้องชาย​ เขากำลังจะบอกว่า​ มันก็ไม่ต่างไปจากที่อีกฝ่ายโกรธบิดาเป็นบ้าหลัง​ จนทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่ามันจางหายไปหมดหรือยัง "ก็แค่...ไม่อยากให้เป็นแบบผม​ คนเราจะเห็นค่ากับอะไรสักอย่างก็เมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว" เขาไม่พูดเยอะ​ ให้สิ่งที่เกิดขึ้นช่วยอธิบายแทน​ เช่นเขาที่เริ่มเห็นค่าของเวลา​ เขาปล่อยทิ้งมาเป็นสิบ​ ๆ​ ปี​ "บางทีท่านอาจมีเหตุผล​ ทำไมไม่ลองเปิดใจคุยกัน" แทนไทนึกไปถึงวันนั้น​ ที่เขาได้ยินมารดาคุยกับเอกภพ​ ท่านดูมีความลับซ่อนหลบ​ และเอกภพก็ยังทำเหมือนควบคุมมารดาเขาได้​ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าเอ่ยปากขอภัคภัสสรไปทำเมีย...เขาเองก็ตะหงิดใจ​ ทั้งคู่มีความลับอะไรต่อกัน ชายวัยห้าสิบกับสาวคราวหลาน​ หากมีงานแต่งระหว่างเอกภพและภัคภัสสรเกิดขึ้น​ เขาคงไม่มาร่วมงาน​แน่ แต่เอกภพนั้นดูแลตัวเองดี​ ภายนอกเขาจึงดูยังหนุ่มยังแน่น​ หลอกสายตาคนไม่รู้อายุที่แท้จริง​ ไม่แน่ว่าภัคภัสสรอาจจะแพ้ทางคนแก่ยอมแต่งงานก็เป็นได้​ คิดมาถึงตรงนี้เขาเผลอกระตุกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว เขาอยากบอกพี่ชายเรื่องนี้​ แต่คิดไปคิดมาไม่ยุ่งดีกว่า​ เพราะนั่นไม่ใช่ปัญหาของเขา​ แต่เป็นปัญหาของพี่ชาย ดีเสียอีก​ หากแต่งงานกับเอกภพหล่อนก็จะได้ออกไปจากบ้านหลังนี้​ มันคือความต้องการของเขาแต่แรกไม่ใช่หรือ แทนไทเริ่มทบทวนตัวเอง​ สรุปตอนนี้เขาต้องการอะไรกันแน่​ แค่เวลาไม่นานก็ทำเขาสับสนไปหมด​จนระบบความคิดเริ่มรวน "สรุปนายจะไม่ลาออกจริง ๆ​ ใช่ไหม" เสียงดังขึ้น​ จากที่สื่อสารกันทางจิตมาสักพัก​ และเช่นเคย...แทนไทยังคงยืนยันคำเดิม "ทุกอย่างกำลังไปได้สวย​ หากลาออกตอนนี้ทุกอย่างจะสะดุด​ทันที​ ถ้าไม่เริ่มสร้างตัวตั้งแต่ตอนนี้​ แล้วจะไปเริ่มตอนไหน" นั่นคือมุมมองของแทนไท​ ผู้ชายในวัยย่างเลขสามนั้นควรจะเริ่มสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้แล้ว​ เขามองไกลไปถึงอนาคต​ หากตัดสินใจร่วมชีวิตกับใครสักคน​ เขาจะต้องพร้อมปกป้องและดูแลเธอได้ จะไม่พาใครมาลุ่ม​ ๆ​ ดอน​ ๆ​ ด้วยเด็ดขาด​ ยิ่งคิดจะมีลูก​ เขาจะต้องมีเงินนอนในบัญชีหลักล้าน ทุกวันนี้เขาใช้เงินต่อเงินด้วยการเล่นหุ้น​ ลงทุนหลาย​ ทาง​ เหตุนี้เขาจึงอยู่ในอเมริกาได้อย่างสบาย ไม่เคยต้องรบกวนทางบ้าน ในขณะที่ธามไทคิดสวนทาง​ น้องชายของเขาทำตัวเหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร​ ทั้งที่มีบริษัทให้สานต่อ​ แต่อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะหันหลังให้ทุกคนเอง หันหลังไม่พอ​ ยังหักหน้าเอกภพด้วยการเอาความรู้ระดับปริญญาโทไปสร้างสรรค์ผลงานให้บริษัทคู่แข่งเสียนี่ "ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเอง​ ฉันจะไม่บังคับนายล่ะ​ เอาที่สบายใจ" ธามไทถอดใจ​เมื่อไม่อาจเปลี่ยนความคิดของน้องชายได้​ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด​ เขาเริ่มจะปลงและยอมรับกับสถานการณ์ที่ผันแปร​ คิดแค่ว่าทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ​ เชื่อว่าหากปล่อยวางเสียบ้าง​ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง ได้เวลาที่ต้องลาจาก​ แทนไทเข้ามาลาบิดาเป็นครั้งสุดท้าย​ ในห้องมีเพียงเขากับพยาบาล​จนบรรยากาศดูเหงาและเศร้า เขากวาดตามองไปรอบ​ ๆ​ ห้อง​ รู้สึกใจหายไม่น้อย​ เมื่อคิดไปว่าคงอีกนานกว่าจะได้กลับมาเหยียบอีกครั้ง คล้ายหางตาจะจับได้ถึงความผิดปกติ​ เหมือนมีใครมาทำลับ​ ๆ​ ล่อ​ ๆ​ อยู่หน้าประตู​ และเพราะเห็นเขาก็เลยไม่ กล้าเข้ามา คนที่ทำแบบนี้คงมีเพียงคนเดียว​ เห็นเขาเหมือนเห็นผี​ ชายหนุ่มรีบปรี่ไปยังประตูอย่างรวดเร็ว แล้วก็จริง​ ๆ​ ภัคภัสสรกำลังก้าวเดินเร็ว​ ๆ​ หนีเขา​ ชายหนุ่มวิ่งตามไปทันที่ทางลงบันไดพอดี​ หล่อนลงไปได้สามขั้น​ ร่างก็ถูกกักเอาไว้ด้วยสองแขนแข็งแรงที่ยันไว้กับผนัง​ หล่อนถอยหนีไม่ได้อีกแล้ว​ เมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับความเรียบแข็งจนหมดหนทางไป เขาขยับเข้าหา​ จนหล่อนสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นสดชื่นที่มาจากกายแกร่ง​ Giorgio​ Armani​ มันช่างเป็นกลิ่นที่เข้ากับฤดูหนาวได้เป็นอย่างดี หล่อนยืนเกร็งตัวสั่นใจสั่น​ อยู่ภายใต้วงแขนของซาตานร้ายที่กำลังสยายปีก​ หากแต่ก็ยังคงไม่แสดงออกถึงความกลัว​ให้เขาได้ใจ หล่อนไม่ได้กลัวอะไร​ กลัวเพราะผู้ชายตรงหน้าบ้ากว่าที่คิด อยู่ดี​ ๆ​ ก็อาจจะถูกเขาปล้นจูบ​ไปอย่างหน้าตาเฉย​ เคยลวนลามในสระก็ทำมาแล้ว​ โชคดีของหล่อนแล้วที่เขาจะบินกลับ​ หากอยู่ต่ออีกสักเดือน​ หล่อนคงเสียท่าให้เขาในสักวัน "ฉันกำลังจะไปแล้ว​ ใจคอเธอไม่คิดจะร่ำลากันเลยเหรอปลายฝน" "กะ...ก็...ปะ...ไปสิคะ​ ขอให้เดินทางปลอดภัย" "เท่านี้เองเหรอ​ ฉันอุตส่าห์ช่วยเธอให้รอดตายจากกองเพลิงนะ เธอควรทำมากกว่า…พูดออกมาแบบส่ง ๆ เพื่อให้จบ ๆ ไป" เขาทวงบุญคุณ​ หากแต่หล่อนคิดคำพูดได้เท่านี้จริง​ ๆ​ และไม่มีอะไรจะให้เขาไว้แทนใจด้วย​ หล่อนเอี้ยวหน้าหนี​ เมื่อเขาจงใจแกล้งด้วยการโน้มใบหน้าลงต่ำ แววตาเขามองมาแปลก​ ๆ​ ปลายนิ้วแกร่งจับปลายคางเรียวเอาไว้แล้วพลิกใบหน้าสวยไปมาคล้ายกับกำลังสำรวจอะไรบางอย่าง​ และรอยยิ้มของเขาทำให้หล่อนเกลียด​ เขาชอบยิ้มเหมือนไม่ชอบมาพากล "ถ้าพี่สิงห์ลวนลามฝนอีก​ ฝนจะถีบให้หงายหลังตกบันได​หัวฟาดจนตายเลยคอยดู!" หล่อนขู่ฟ่อ แววตาขึงขังหน้าตึง มิน่าล่ะ​ เอกภพถึงอยากได้นักหนา​ เขาคิดยามได้พินิจใกล้​ ๆ​ ประกอบกับบุคลิกที่ดูเยอหยิ่งจองหองไม่ยอมคน​ ดึงดูดให้ผู้ชายอย่างเอกภพอยากปราบพยศให้อยู่หมัด รวมถึงเขาด้วยหรือเปล่านั้น​ เขาตอบตัวเองไม่ได้ ​ แต่ถ้าถามเรื่องเกลียดเธอล่ะก็​ ​เขาจะรีบยอมรับทันทีว่ายังเกลียดเหมือนเดิม แต่ถือว่าเขายังปราณี​ ไม่อยากให้หล่อนตกไปอยู่ในอุ้งมือของคนอย่างเอกภพ "ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไปต่อโทที่ต่างประเทศทันทีหลังเรียนจบ​ อนาคตขึ้นอยู่กับเธอแล้วปลายฝน" "....." "หรือชีวิตเธอจะวนเวียนอยู่แค่นี้​ เรียนจบ​ มีผัว​ ท้อง​ หัวฟูเลี้ยงลูกอยู่บ้าน​ ในขณะที่ไอ้แก่ผัวเธอมันก็มีกิ๊กไปเรื่อยเพราะบ้าตัณหา​ เธอต้องการแบบนั้นใช่มั้ยปลายฝน" อะไรของเขา​ เขากำลังพล่ามอะไร​ ภัคภัสสรยืนงงในวงแขนกว้าง​ นี่แหละเขา​ บางทีก็หาความเชื่อมโยงจากการกระทำแต่ละครั้งไม่ได้ "ชีวิตยังมีอะไรให้ทำอีกตั้งเยอะ​ โลกมันกว้างเกินกว่า ที่เราจะหยุดค้นหา...สมมุตินะ...สมมุติเธอจบชีวิตตัวเองด้วยการแต่งงานกับชายแก่​คราวพ่อ ซึ่งคน​ ๆ​ นั้นอาจจะเสื่อมสมรรถภาพไปแล้ว​ เรื่องบนเตียงลุ่ม​ ๆ​ ดอน​ ๆ​ เขาให้ความสุขเธอไม่ได้​เหมือนที่เธอต้องการ​ ทั้งที่เธอยังสาวยังสวย เธอคิดว่ามันจะยังมีความสุขอยู่มั้ยกับชีวิตแบบนี้"​ นี่​ พี่สิงห์​ เป็นบ้าอะไรคะ" หล่อนหยุดหัวเราะไม่ได้จริง​ ๆ​ กับการที่เขาพูดไปถึงดาวอังคาร​ และเขารู้ได้ยังไงว่าหล่อนจะมีจุดจบแบบนั้น ​ เรื่องแต่งงาน...มันไม่เคยอยู่ในหัวหล่อนแม้สักนิดเดียว และหล่อนก็ไม่คิดว่านั่นคือความปรารถนาดีด้วยซ้ำ​ คนอย่างเขาไม่น่าจะรักใครมากกว่าตัวเอง​ และอยู่ดี​ ๆ​ ก็มากล่าวหาว่าหล่อนจะได้ผัวแก่​ เรื่องนี้หล่อนยอมไม่ได้ "ชีวิตฝนจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับพี่สิงห์อยู่แล้ว​ แล้วไงคะ มีผัวแก่แล้วไง ในเมื่อทุกคนก็ต้องแก่​ และพี่สิงห์ก็ต้องเป็นไอ้แก่เหมือนกันนั่นแหละ" "เธอเรียกใครไอ้แก่​ ฮึ!" "ถ้าไม่ปล่อยฝนจะร้องให้ลั่นบ้านเลยคอยดู!" หล่อนขัดขืนเมื่อเขาตรึงสองมือของตนไว้กับผนัง​ เบียดสะโพกเข้าหาจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้อากาศลอดผ่าน​ เชื่อว่าหล่อนจะไม่กล้าแหกปากโวยวาย "เอาสิ​ ตะโกนเลย​ ทีนี้ได้ยินไปถึงหูคุณพ่อแน่!" "พี่สิงห์​ ปล่อยฝน!" "ฉันมีข้อเสนอ​ ก่อนที่เธอจะกลายเป็นเมียของตาแก่ตัณหากลับ​​ที่มันจ้องจะงาบเธอ" "อะไร​ ใคร​ ตาแก่ไหน​ พี่สิงห์พูดถึงเรื่องอะไร!" "ก็แค่​ยอมเป็นเมียฉัน​ เป็นผู้หญิงของฉัน​ แล้วเธอจะรอด" หล่อนถึงกับอึ้ง​ เมื่อเขาขอกันตรง​ ๆ​ ซึ่ง​ ๆ​ หน้า​ไม่ต้องอ้อมค้อม...ก็...เหมาะสมกันดีแล้วกับคนเช่นเขา​ "บ้าไปแล้ว​ ไปขอคนอื่นไป นี่พี่สิงห์หาเมียด้วยการดักตีหัวเขาอย่างนี้เหรอคะ!" หล่อนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น​ โดยเฉพาะกับเขา​ พยายามดิ้นรนขัดขืนหากแต่ก็ไม่กล้าแหกปาก​ กลัวเหมือนกัน​ หากคนที่นอนป่วยยังรับรู้ท่านก็จะได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้าน เขากระตุกยิ้มใส่หน้าคนที่กำลังหวาดกลัว​ แววตา เว้าวอนขออิสรภาพ "และก่อนฉันจะไป​ เอายังงี้มั้ยล่ะ ​นอนกับฉัน​ แลกกับการที่เธอจะได้อยู่ต่อในบ้านหลังนี้​ หากเธอยังหยิ่งผยอง​ สาบานได้​ กลับมาคราวหน้าฉันจะเฉดหัวเธอไปจากที่นี่!" ข้อเสนอของคนโฉด​ มีแต่ได้กับได้​ เกมของเขาเริ่มอีกครั้ง​ หล่อนเข้าใจแล้ว​ ที่เขาหาเรื่องใกล้ชิด​ ก็เพราะต้องการแบบนี้นี่เอง "ไม่! ฝนยอมตาย​ ถ้าต้องกลายเป็นเมียพี่สิงห์" "เป็นเมียฉันไม่ดีตรงไหน ฉันสู้พี่เสือของเธอไม่ได้ตรงไหน​ ฮึ! ถ้าหากเขาเอ่ยปากขอ​ เธอก็คงจะนอนรอเลยใช่มั้ย!" เมื่อเขาดูถูกรุนแรง​ หล่อนจึงโพล่งกลับอย่างเหลืออด "ใช่! และก็บอกไว้เลย​ ชาตินี้พี่สิงห์คงไม่มีปัญญาทำแบบเขา​ นี่อดอยากปากแห้งมากี่ปีคะ​ ถึงได้ทำตัวเถื่อนถ่อยขนาดนี้!" ในเมื่อหล่อนตราหน้าว่าเขาถ่อยเถื่อน​ เขาก็จะทำตัวเยี่ยงโจรป่าให้หล่อนได้รับรู้รสชาติของความป่าเถื่อนของจริง เขาบอกไว้เลย​ ที่ผ่านมามันไม่ได้ครึ่ง​ กับสิ่งที่หล่อนกำลังจะเจอ จะได้เลิกหยิ่งผยอง​ ยอมลดตัวมากอดขาเว้าวอนให้เขาเห็นใจ​ ไม่ใช่ทำอวดดีใส่แบบนี้ "อย่านะ​ จะทำอะไร​ จะกัดให้ลิ้นขาดเลยคอยดู!"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม