Chapter 7
ซ้อนรัก...รักซ้อน(1)
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้ครบกำหนดวันลาของแทนไท อีกไม่กี่วันเขาก็ต้องกลับไปทำงานที่อเมริกา ตลอดเวลาที่้เขากลับมาเยี่ยมบิดานั้น อาการของท่านไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลย
ในยามบ่ายแก่ ๆ ที่ความหนาวถูกบรรเทาด้วยแสงแดดอุ่น ระหว่างที่เขากำลังคุยงานกับซีอีโอผ่านโซเชียลอยู่ที่มุมพักผ่อนในสวนร่มรื่น เวลาส่วนตัวของเขาถูกขัดจังหวะด้วยการมาของใครบางคน
ชายหนุ่มเหลือบตามอง ก่อนจะทำเป็นไม่ใส่ใจ เพราะนั่นเป็นคนที่ความสัมพันธ์กับเขาไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่นัก
"ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย"
ธามไทเป็นฝ่ายทลายกำแพงเสียเอง จากที่ปั้นปึงกันมานับตั้งแต่เกิดเรื่องคราวนั้น
"ว่ามาสิ"
หากแต่แทนไทก็ยังเอาแต่สนใจแม็คบุ๊คตรงหน้า จนอีกฝ่ายต้องยื่นมือมาก้าวก่าย ด้วยการปิดมันเสีย แลกมาด้วยการถอนหายใจยาวคล้ายเด็กถูกขัดใจ
"นายก็รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์บริษัทเป็นเช่นไร"
"อือฮึ"
"คุณพ่อถูกปลดจากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม นายไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ"
คนฟังยักไหล่ สื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่านั่นไม่ใช่เรื่องของเขา "มันเป็นเรื่องธรรมดา ในเมื่อไร้ความสามารถที่จะบริหารต่อไปได้ ก็ต้องมีคนใหม่เข้ามาแทน"
"แต่นั่นพ่อนายนะ และมันคือบริษัทที่คุณพ่อสร้างมากับมือ ถ้าหากคนในบ้านรักษามันไว้ไม่ได้ ฉันคิดว่ามันคือความน่าอดสูอย่างถึงที่สุด"
"นั่นก็ขึ้นอยู่กับพี่แล้ว ใช้ความสามารถของตัวเองกอบกู้คืนมาสิ"
"ตอนนี้ฉันกับคุณแม่ถูกบีบให้ไปดูในส่วนงานที่ถูกลดบทบาทลงไปมาก คงยากที่จะทำอะไรอาภพได้ นอกเสียจากว่า...เรา...จะ...เอ่อ...ร่วมมือกัน"
แทนไทแค่นหัวเราะ เมื่ออีกฝ่ายใช้คำว่าเรา นาทีนี้เขาไม่อยากแท็กทีมกับใครหน้าไหนทั้งสิ้น
“คงไม่ได้หมายถึงผม"
"ใช่ ฉันมาขอร้องนายให้ลาออกจากงาน แล้วกลับมาช่วยกันกอบกู้บริษัท ฉันไม่เคยต้องขอร้องใคร ขอร้องล่ะ ถือว่าทำเพื่อคุณพ่อ เป็นการทำในสิ่งที่ดี ๆ แก่ท่าน ก่อนวาระสุดท้ายจะมาถึง"
"เลิกพูดเถอะ ผมไม่อยากฟัง!"
แทนไทลุกพรวดขึ้น ทำท่าหอบแม็คบุ๊คจะเดินหนีไปทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ที่จริงเขาแสลงใจ ไม่อยากคิดด้วยซ้ำว่าบิดาจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน
ส่วนเขาก็ยังคงต้องเดินต่อไป ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่หยุดนิ่ง
"ฉันจะไม่พูดซ้ำ หากคิดว่าเลือกแล้วก็ตามสบาย เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่จิตสำนึก!"
ธามไทตะโกนไล่หลังน้องชาย จับจ้องแผ่นหลังกว้างแสนหยิ่งผยองด้วยแววตากรุ่นโกรธ คุยกับแทนไททีไร ต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างสูง
อีกฝ่ายหยุดเดินแล้วหันกลับมา กระตุกยิ้มใส่หน้าคนที่ยืนนิ่งอยู่ในศาลาเรือนกะทัดรัด
"ก่อนจะคิดเรื่องโค่นอาภพ เอาเรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ดีกว่าไหม"
"หมายถึงอะไร!"
"เคยเห็นมดแดงแฝงพวงมะม่วงมั้ย เฝ้ารอให้มะม่วงสุกงอมเพื่อหวังจะได้ลิ้มรส หากแต่ก็ต้องอด เพราะมีมือดีมาชิงเด็ดไปเสียก่อน"
คนพูดหัวเราะอยู่ในลำคอเพื่อทิ้งท้าย ก่อนจะเดินปลีกตัวเข้าบ้าน ปล่อยให้ธามไทยืนงงอยู่ตรงที่เดิม
น้องชายเขาหมายถึงใคร...และเกี่ยวอะไรกับเขาถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มันทำให้เขาอยากจะตามเข้าไปคาดคั้นเพื่อให้หายคาใจ หากแต่ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอก็ทำให้เขาเลือกที่จะทำเป็นไม่ใส่ใจ แค่เดินมาง้อให้ลาออกจากงานก็ถือว่าดีเท่าไหร่แล้ว
และสุดท้ายก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ลงเอยด้วยความไม่เข้าใจ
บ้านเสวกุลยามสาย แสงแดดอ่อนอาบไล้เรือนยอดไม้เขียวอร่าม ภายในบ้านหลังใหญ่โดดเด่นที่มีฉากหลังเป็นทิวเขาทอดยาว ที่ชั้นล่างของตัวบ้าน คนสองคนกำลังมีท่าทีรีบร้อนที่จะออกจากบ้าน คล้ายกับกลัวว่าหากมัวชักช้าจะไม่ทันการ
"พี่เสือ ฝน จะไปไหนกันเหรอ"
เสียงที่ดังมาก่อนตัวรั้งสองขาของทั้งคู่ให้หยุดเดิน หันไปมองก็เห็นนันส์ภัสสรกำลังวิ่งลงบันไดมาจากชั้นบน
แววตาสองคู่สบประสาน ต่างส่งยิ้มปร่าแปร่งไปให้คนที่สาวเท้าเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ แววตาของเจ้าหล่อนออกแนวน้อยเนื้อต่ำใจ
นันท์ภัสสรมองสองคนสลับกันไปมา ดูการแต่งตัวก็รู้ คงไม่ชวนกันออกไปเดินเล่นรอบบ้านแน่ หล่อนจึงพยายามข่มเสียงไม่ให้สั่นเพราะรู้ในคำตอบ
"จะรีบไปไหนกันคะ"
"เอ่อ...ก็...ไปดูหนังไง ชวนแล้วไม่ไปเองไม่ใช่เหรอ"
ภัคภัสสรออกหน้า แต่หล่อนพูดความจริง ก่อนหน้านั้นเคยชวนแล้วน้องสาวไม่ไป
"ก็คิดว่าเราจะไปกันแค่สองคน ไม่นึกว่าพี่เสือจะไปด้วย"
"เพราะฟ้าไม่ไป ฝนก็เลยชวนพี่เสือแทนน่ะ"
นันท์ภัสสรนิ่งเงียบ หล่อนผิดเองที่เปิดทางให้คนสองคนได้ใกล้ชิดกัน แววตาคู่สวยเหลือบมองธามไท ยกยิ้มให้เขาอย่างรู้เท่าทัน นั่นคือโอกาสของเขาแล้ว เรื่องอะไรจะปฏิเสธ
แววตาของน้องสาวทำให้ภัคภัสสรนึกสงสาร หล่อนยกข้อมือขึ้นมาดูเวลา มันเฉียดฉิวอยู่มากทีเดียว
"เอ่อ...จะเปลี่ยนใจไปด้วยกันมั้ยล่ะ"
ยังไม่ทันจะตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงดุ ๆ ก็ขัดขึ้น
"ถ้ารอก็ไม่น่าจะทัน แล้วก็ซื้อตั๋วไปแล้วด้วย เลื่อนตั๋วไปดูรอบใหม่ไม่ได้ด้วยนะ"
ดับฝันนันท์ภัสสร หล่อนขบกรามแน่นข่มความรู้สึกเมื่อถูกธามไทปิดทาง
"หรือเราจะทิ้งตั๋ว เลื่อนไป..."
ไม่ทันพูดจบ เขาก็ตัดบท
"ไหนเธอบอกนัดเพื่อนไว้ไง ไม่ไปกับเพื่อนแล้วเหรอปลายฟ้า ฮึ!"
ในมุมมองของธามไท เขาคิดว่านันท์ภัสสรกำลังทำตัวงี่เง่าด้วยการเรียกร้องความสนใจ และเขาไม่ชอบที่หล่อนตามติดทุกฝีก้าวขนาดนี้
เมื่อเขาออกตัวแรงขนาดนี้ นันท์ภัสสรจึงหันไปยิ้มให้พี่สาว ทำทุกอย่างให้เป็นปกติ บอกตัวเองในใจ ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว
"อ๋อ เอ้อ ใช่ ๆ ลืมไปเลยว่านัดเพื่อนไว้ ฝนไปกับพี่เสือเถอะ ดูหนังให้สนุกนะ"
ใช้รอยยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึก แสดงออกให้ทั้งสองเห็นว่าหล่อนไม่ได้อยากไปด้วยแม้สักนิดเดียว ส่วนเรื่องนัดเพื่อนไว้นั้นก็คือคำโกหก ความจริงแล้วเพื่อนของหล่อนติดธุระด่วนกับทางบ้าน ก็เลยยกเลิกนัดกันไปเมื่อวันก่อน
ไม่คิดด้วยซ้ำว่าการที่ตนปฏิเสธ ภัคภัสสรจะไปชวนธามไทให้ไปเป็นเพื่อนดูหนังแทนตน
หล่อนมองตามหลังสองคนที่เดินเคียงคู่กันไปจนพ้นประตูบ้าน...ความเงียบงันมาเยือนเมื่ออยู่เพียงลำพัง และความเหงาก็เข้ามาแทนที่ เป็นอีกครั้งที่ความเจ็บปวดแทรกลึกไปทุกอณูของความรู้สึก
เมื่อเห็นแม่บ้านเดินผ่านมา หล่อนก็เดินตาแดง ๆ ร้อนผ่าวหลบไปทางข้างบ้าน ด้วยกลัวอีกฝ่ายจะถามไถ่แล้วเผลอร้องไห้ออกมา
ศาลาริมน้ำที่หลังคาปกคลุมด้วยเถากระดังงา มันอยู่ไม่ไกล หากแต่หล่อนเดินยังไม่ทันถึงหยาดน้ำตาก็รินไหล สองขาก้าวเร็ว ๆ เข้าไปหลบอยู่ใต้ร่มหลังคา เพียงเท่านั้น หล่อนก็ปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
มันเจ็บเหลือเกิน เมื่อไหร่ถึงจะหลุดพ้นจากความทรมานนี้เสียที หล่อนถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า...คงต้องหยุดรักเขา เสียงหนึ่งกระซิบแว่วแทรกสลับอารมณ์อาดูร
คล้ายเสียงร่ำไห้จะแว่วเข้าไปในโสตประสาท หรืออาจเป็นเพราะเขาเดินผ่านมาพอดีเพื่อจับจองพื้นที่ปลีกวิเวก แทนไทจึงได้มาเห็นภาพที่ทำให้หัวใจแกร่งสั่นไหว
จริงอยู่ที่เขาชิงชังหล่อน หากแต่เวลานี้นันท์ภัสสรช่างน่าสงสาร เขาเข้าใจดี ความเจ็บปวดจากรักนั้นร้ายกาจ มันอาจฆ่าคนให้ตายทั้งเป็น
นี่เขากลายเป็นคนอ่อนไหวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แทนไทเริ่มไม่เข้าใจตัวเอง
"ต่อให้เธอร้องไห้จนน้ำตาท่วมโลก เขาก็ไม่รับรู้หรอกปลายฟ้า"
“…..!”
เสียงสะอื้นต้องเงียบลงเมื่อเสียงคุ้น ๆ ดังแทรก หล่อนหันไปมองผ่านม่านน้ำตาที่พร่าเลือน เห็นแทนไทเดินตรงมาที่ศาลา การมาของเขาทำให้หล่อนรีบปาดน้ำตาทิ้งไปด้วยหลังมือ
เขาเดินมาจ้องหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา นันท์ภัสสรไม่มีอารมณ์มาคิดถึงเรื่องอื่น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะตามมาหาเรื่องอะไรอีก
"อื้อหืม...หันไปทางอื่นเลยนะพี่สิงห์" หล่อนโบกมือไปมาเพื่อไล่ควันบุหรี่ไฟฟ้าที่เขาพ่นใส่หน้า คล้ายจงใจจะแกล้งให้หล่อนหนีไปที่อื่น และเขาก็จะจับจองตรงนี้แทน
หล่อนปรายตามองแท่งบุหรี่ในมือของเขา กำลังคิดว่าผู้ชายคนนี้ทำตัวผิดกฎหมาย น่าแจ้งเบาะแสไปทางหน่วยงานที่รับผิดชอบยิ่งนัก
"ที่เมกาห้ามสูบแล้วไม่ใช่เหรอคะ แล้วก็เมืองไทยห้ามนำเข้าทำไมถึงพกมาได้"
เขาทำตัวเป็นสิงห์อมควัน อัดควันบุหรี่เข้าปอดจนสุดลมหายใจ ก่อนปล่อยมันออกมาใส่หน้าหล่อนอีกครั้ง ควันจากน้ำยาฟุ้งกระจายล่องลอยไปในอากาศ แววตาคมกล้าหลุบมองวัตถุที่คีบอยู่ในมือ
"ห้ามนำเข้า แต่ไม่ได้ห้ามครอบครอง ทำไมฉันจะหามาสูบไม่ได้ล่ะฮึ"
"ถ้ามีคนขาย ก็แสดงว่ายังมีการลักลอบนำเข้ามา"
"ฉันจะไปรู้ด้วยเหรอ ก็เป็นแค่ผู้ซื้อเท่านั้น มันจะเข้าประเทศมาได้ยังไงฉันไม่รู้ด้วยหรอก"
คล้ายจะแขวะเรื่องช่องโหว่ของกฎหมายในไทย หล่อนเกลียดรอยยิ้มของมนุษย์ผู้ชายตรงหน้า มันช่างกวนประสาทสิ้นดี
"ขอให้ปอดพัง ถ้ายังไม่เลิก ตายเพราะบุหรี่ไฟฟ้ากันมาเท่าไหร่แล้ว จนทั่วโลกเริ่มออกกฎหมายแบน ก็ยังจะไม่กลัว"
หล่อนแช่งชักหักกระดูก เมื่อเขายังคงมาปล่อยควันแถว ๆ นี้จนคละคลุ้งไปหมด เหมือนควันท้ายรถสิบล้อที่คนขับเมายาบ้า ในขณะเดียวกันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเพิ่งจะเห็นเขาใช้มัน ระยะเวลาเป็นเดือน ๆ ที่เขาอยู่ที่นี่ ไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง
หรือเขาจะใช้มันเฉพาะเวลาเครียด บางทีมันอาจช่วยบำบัด สร้างความสุขจนลืมสิ้นซึ่งความทุกข์ หล่อนคิดไปเอง พลางหรี่ตามองไปยังบุหรี่ไฟฟ้าที่เขาคีบอยู่ในมือ
ไวเท่าความคิด มือยื่นไปดึงออกมาจากมือของเขา ก่อนนำมาสูดแรง ๆ เข้าปอดทั้งที่ไม่เคยศึกษาการใช้มาก่อน ท่ามกลางความตกตะลึงของแทนไท
"ทำบ้าอะไรน่ะ ของเล่นรึไง!"
"แค่ก ๆ"
แทนไทแย่งมันกลับมาจากมือนุ่ม หล่อนสำลักควันเพราะไม่เคยใช้มันมาก่อน และมันทำให้เขารู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
"ก็อยากลืมไงคะ...บางทีมันอาจช่วยได้"
หล่อนพูดสลับไอเพราะยังไม่หยุดสำลัก จนเขาต้องช่วยลูบหลังให้ทั้งที่มันขัดกับตัวตน เกิดมาไม่เคยต้องมานั่งโอ๋ใคร แต่กลับพาตัวเองเข้ามายุ่งกับปัญหาส่วนตัวของคนที่ปากเขาพร่ำว่าเกลียดหล่อนแม้กระทั่งยามนอน
และนั่นทำให้เขาต้องโยนบุหรี่ทิ้งไป มันจมหายไปกับสายน้ำ อาจจะนอนนิ่งอยู่ก้นสระตรงไหนสักแห่ง
"พี่สิงห์! โยนทิ้งทำไมคะ"
"เดี๋ยวเธอขโมยสูบ ทิ้งไปซะก็สิ้นเรื่อง"
"ทีพี่สิงห์ยังสูบได้ ห้ามคนอื่นแต่ตัวเองก็ทำตัวไม่เป็นตัวอย่างที่ดี"
ปากหล่อนยังร้ายกาจเหมือนเดิม ตอกกลับจนเขาหน้าชา เถียงไม่ขึ้นเพราะดันมาสูบให้เด็กเห็น
"แต่ไม่ไปยุ่งกับมันก็ดีอยู่แล้ว เธออยากติดมันรึไง มีผู้ชายสักกี่คนในโลกนี้ที่รับผู้หญิงสิงห์อมควันได้น่ะ ฮึ!"
น้ำเสียงเขาจริงจัง เมื่อนั้นความเงียบก็มาห่มคลุม และอยู่ดี ๆ หล่อนก็ทำหน้าคล้ายจะร้องไห้อีกครั้ง แววตาแดง ๆ ทำให้แทนไทรีบเปลี่ยนสถานการณ์
"พรุ่งนี้ฉันก็จะบินกลับแล้ว ตั้งแต่กลับบ้านมาก็ไม่ได้ออกไปไหน พาฉันออกไปเที่ยวหน่อยสิ"
หล่อนถึงกับมองหน้าเขาคล้ายไม่เชื่อหู คนอย่าง
แทนไทมาทำญาติดีด้วยซ้ำยังชวนออกไปข้างนอก มันทำให้หล่อนคิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าต้องไปทำลายสมองของเขาแน่ ๆ วันนี้เขาถึงมาแปลกที่ไม่หาเรื่องแกล้งกันเช่นเคย
หรือนี่อาจเป็นร่างโคลนแทนไท เกิดผิดพลาดในขั้นตอนการโคลนนิ่ง ก็เลยได้คนที่นิสัยต่างกันสุดขั้วออกมา
คราแรกจะปฏิเสธเพราะยังคงไม่ไว้ใจเขา แต่เมื่อใบหน้าของธามไทที่แวบเข้ามาพอดี ก็ทำให้หล่อนรีบเปลี่ยนใจ
"ก็ได้ค่ะ"
มันเป็นการตัดสินใจที่บ้าสิ้นดี กับการออกไปกับคนที่ปากบอกทุกเช้าค่ำว่าเกลียดตน โดยที่ไม่รู้เลยว่าเขามีแผนอะไรอีก แต่ยามนี้หล่อนไม่คิดอะไรมากไปกว่าการได้ประชดใครบางคน อยากแสดงให้เขาเห็นว่า ในเมื่อเขาออกไปได้ หล่อนก็มีสิทธิ์ที่จะไปกับใครก็ได้เช่นกัน