เหม่ยอิงสวมชุดสีชมพูอ่อน ใบหน้างดงามแลดูอ่อนหวาน ทุกก้าวย่างที่เดินจากเรือนใหญ่ไปที่หน้าจวนเสนาบดีล้วนทำให้ทุกคนในบริเวณนั้นตกอยู่ในภาวะตะลึงนิ่งงันอยู่ไม่น้อย “นั่นคุณหนูรองหรือ ช่างมีรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อยอ่อนหวานยิ่งนัก” เสียงซุบซิบจากบ่าวรับใช้ชายหญิงที่แอบลอบมองคุณหนูรองตอนที่หญิงสาวกำลังเดินผ่านไป และเมื่อเดินมาถึงหน้าจวนเสนาบดีก็มีรถม้ามาจอดรอรับอยู่นานแล้ว มีพ่อบ้านเหล่ยยืนรออยู่
“เชิญคุณหนูรองขึ้นรถม้าขอรับ” พ่อบ้านเหล่ยเอ่ยบอกพร้อมกับก้มตัวลงเล็กน้อยให้คุณหนูรองด้วยท่าทีนอบน้อม เหม่ยอิงยืนลังเล เริ่มขบคิดได้ว่าเหตุใดพ่อบ้านที่ไม่เคยสนใจไยดีลูกเมียรองคนนี้มาก่อนถึงมาทำดีด้วย แม้แต่บ่าวรับใช้หลายคนก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปจากที่เคยปฏิบัติต่อนาง อย่างละเลยก็หันกลับมาสนใจและพูดจานอบน้อมผิดปกติวิสัยจากเดิม
“เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบขึ้นรถม้า อย่าให้ท่านอ๋องแปดต้องรอนาน” เสนาบดีเซี่ย หรือบิดาของเหม่ยอิงเดินออกมาจากเรือน แต่งกายด้วยชุดพิธีการเต็มยศพร้อมเข้าวัง เหม่ยอิงหันหน้าไปมองบิดาด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย แต่ไม่อยากจะทำตัวมากเรื่องจึงยอมก้าวเท้าขึ้นรถม้าแต่โดยดี
“ฉิงเจียไปด้วยไม่ได้ รักษาตัวด้วยนะเจ้าคะ” สาวรับใช้ยืนส่งรถม้าที่ค่อย ๆ เดินทางออกไปจากจวนเสนาบดีจนลับสายตา
ภายในรถม้าเป็นห้องโดยสารขนาดใหญ่ สามารถนั่งสองคนได้อย่างสบาย เหม่ยอิงจึงแอบลอบมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นบิดาอย่างพิจารณา
‘ชายผู้นี้หน้าตาหล่อเหลาท่าทางองอาจอยู่ไม่น้อย ไม่แปลกใจว่าทำไมเหม่ยอิงถึงมีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้’ อิงอิงครุ่นคิดอยู่ในใจ ส่วนท่านเสนาบดีที่ถูกลอบมองอยู่ก่อนหน้านี้รู้สึกตัวดีว่ากำลังถูกลูกสาวคนรองที่ตนไม่ค่อยสนใจไยดีแอบสำรวจกิริยาท่าทางของเขาอยู่
“เจ้ามีสิ่งใดจะพูดกับข้าเช่นนั้นหรือ” ผู้เป็นบิดาหันมองสบตากับลูกสาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง เหม่ยอิงอ้ำอึ้งไปเพราะไม่คิดว่าคนผู้นี้จะช่างสังเกตอยู่ไม่น้อย ‘อย่างนี้สิถึงจะสมเป็นท่านพ่อของข้า’
“ลูกอยากจะถามท่านพ่อว่าเหตุใดถึงพาข้าเข้าวังมาด้วยเจ้าคะ คงไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของพี่ใหญ่ใช่หรือไม่” หญิงสาวทำหน้าใสซื่อมองตอบผู้เป็นบิดา ส่วนเสนาบดีเซี่ยก็หรี่ตามองโฉมสะคราญตรงหน้าด้วยสายตาประเมิน ‘แม้นางจะมีใบหน้าคล้ายข้าอยู่มากถึงหกในสิบส่วน แถมความเฉลียวฉลาดก็ยังได้จากข้าไปอยู่ไม่น้อย มิคาดคิดเลยว่าลูกสาวที่ข้าไม่เคยใส่ใจจะน่าสนใจถึงเพียงนี้’ บุรุษวัยกลางคนครุ่นคิดทบทวนอยู่ในใจ จึงตอบอย่างอ้อมค้อมไปว่า
“เมื่อไปถึงเจ้าจะรู้เอง…”
เหม่ยอิงได้แต่นั่งเกร็งไปทั้งตัว ความรู้สึกเหมือนเพิ่งตายเมื่อไม่นานมานี้แต่กลับได้มาเกิดใหม่แบบกะทันหันแถมยังข้ามขั้นไม่ต้องเป็นทารก แต่กลับโตเป็นสาวอายุสิบแปดหนาวที่มีหน้าตางดงามพร้อมนำพาภัยมาหาตัวได้ทุกเมื่อ และมีชีวิตครอบครัวที่น่ารันทด ช่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก รถม้าหรูหราวิ่งผ่านตัวเมืองที่มีผู้คนเนืองแน่นอย่างคึกคัก หญิงสาวที่ไม่เคยได้ออกมาพบปะโลกภายนอกเพียงสักหนก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย นางใช้มือแง้มผ้าม่านในรถม้าแอบมองผู้คนตามรายทาง ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นานก็มาถึงหน้าพระราชวัง เหม่ยอิงเดินก้มหน้าก้มตาเดินตามบิดาเข้าไปในบริเวณราชวังที่โอ่อ่ากว้างขวาง หญิงสาวพยายามแอบมองตามข้างทาง เห็นนางกำนัลแต่งตัวสวยงามเดินสวนไปมา ต่างหยุดทำความเคารพท่านเสนาบดีด้วยความนอบน้อม มินานนักทั้งคู่ก็เดินมาถึงตำหนักหนึ่งซึ่งมีความสวยงามดูหรูหราอย่างมากถ้าเทียบกับจวนเสนาบดีของพวกเขา
“ท่านเสนาบดีขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีที่ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักขานบอกคนด้านใน และสักพักก็มีเสียงตอบกลับ
“ให้เข้ามาได้” เสียงของชายหนุ่มที่ฟังดูแล้วยังไม่แก่นัก อายุน่าจะประมาณสามสิบปลาย ๆ เอ่ยตอบกลับมา
เสนาบดีเซี่ยกำลังจะก้าวเท้าขึ้นเรือนก็หันมามองหน้าบุตรีที่ยืนชะเง้อมองทางโน่นทีมองทางนี้ทีอย่างไม่รักษากิริยามารยาทคุณหนูตระกูลใหญ่ “เจ้าไม่ขึ้นมาหรือ” บิดาทำเสียงดุใส่ลูกสาวคนรอง
เหม่ยอิงจึงทำหน้างุนงงและยกมือซ้ายชี้เข้าหาตนเองแล้วถามออกไปว่า “ข้าต้องเข้าไปด้วยหรือเจ้าคะ” ท่านเสนาบดีขมวดคิ้วแล้วหันหลังเดินเข้าตำหนักไปทันทีโดยไม่พูดสิ่งใดอีก สตรีเลยต้องจำใจเดินก้มหน้าตามเข้าไป
“ท่านเสนาบดีไม่ต้องมากพิธี ที่นี่ไม่ใช่ท้องพระโรง ทำตัวตามสบายเถิด” เสียงปริศนาจากชายหนุ่มอายุราวสามสิบตอนปลายพูดขึ้น เหม่ยอิงที่ยืนก้มหน้าก้มตาไม่สบตากับผู้ใดเห็นบิดานั่งลงจึงรีบนั่งลงตาม แม้ในใจของนางอยากจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้ามากก็ตามแต่ก็ไม่อยากจะเสี่ยง เพราะที่นี่เป็นสมัยโบราณ ไม่เหมือนกับสมัยใหม่ที่นางจากมา ธรรมเนียมและการปฏิบัติก็ยุ่งยากมากพิธี
“เจ้าคือคุณหนูใหญ่ใช่หรือไม่” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าสอบถาม เหม่ยอิงจึงเงยหน้าขึ้น แต่พอได้สบตากับชายตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกตกใจราวกับว่ากำลังเห็นผี
“จางหลี่เหอ ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่!” เหม่ยอิงลุกขึ้นยืนชี้หน้าชายตรงหน้าด้วยท่าทีตกใจอย่างมาก
“บังอาจ! เจ้ากำลังทำอะไร รีบขอประทานอภัยฮ่องเต้เดี๋ยวนี้” เสนาบดีเซี่ยเห็นเหม่ยอิงลุกยืนชี้หน้าพระพักตร์อย่างไม่สะทกสะท้านจึงต่อว่าเพื่อให้นางหยุดการกระทำนั้นลง ชายหนุ่มที่ถูกเรียกชื่อห้วน ๆ ก็ได้แต่ยกยิ้มขึ้นและโบกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าไม่เป็นอันใดให้ทุกคน
“นานแล้วที่ไม่มีใครพูดชื่อนี้ให้ข้าได้ยิน” จางหลี่เหอหรือฮ่องเต้ยกยิ้มสรวลด้วยความยินดี
“เจ้ารู้ชื่อนี้ของข้าได้เช่นไร” ฮ่องเต้เอ่ยถามหญิงสาวที่ตอนนี้นั่งหมอบตัวอยู่ตรงหน้า เหม่ยอิงนึกอยากตบปากตัวเองสักพันครั้งว่าเหตุใดถึงได้ใจร้อนวู่วามเช่นนี้ จึงได้แต่ย้ำบอกตนเองว่าที่นี่ไม่ใช่โลกที่จากมา ต่อให้ทั้งคู่จะมีหน้าตาที่เหมือนกันเช่นไร อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ไม่ใช่จางหลี่เหอคนนั้นเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นเหม่ยอิงเลยรีบพูดเอาตัวรอดทันที
“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท” สตรีหมอบตัว ก้มหน้าลงมองพื้น พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ ท่าทีช่างแตกต่างจากเมื่อสองจิบชานี้ยิ่งนัก ฮ่องเต้เลิกคิ้วขึ้น สีหน้าแววตาคล้ายขบขัน แม้จะรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้านี้รู้สึกหวาดกลัวเขามากเพียงใด แต่ก็ไม่อยากให้การพบปะกันครั้งแรกต้องเสียบรรยากาศมากไปกว่านี้ จึงเอ่ยประทานอภัยให้อย่างง่ายดาย ผิดกับนิสัยที่เด็ดขาดของพระองค์ จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักอดแปลกใจมิได้
“ข้าอภัยให้เจ้าและไม่ถือสาเอาความอันใด แต่รู้หรือไม่ว่าเหตุใดวันนี้ข้าถึงเรียกพบเจ้า” ฮ่องเต้ยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
เหม่ยอิงรีบกล่าวขอบคุณทันทีแล้วเงยหน้าขึ้นนั่งตัวตรง “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” พอกล่าวขอบคุณเสร็จก็ไม่กล้าตอบคำถามต่อไปของฮ่องเต้ จึงได้แต่หันหน้าพร้อมกับส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากบิดาที่นั่งอยู่ข้างกัน ท่านเสนาบดีจึงยอมออกหน้าแทน รีบหันไปหาองค์ฮ่องเต้และยกมือทั้งสองขึ้นประสานอยู่ระดับสายตา
“กระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ บุตรีผู้นี้ชื่อเหม่ยอิง เป็นเพียงคุณหนูรองจากฮูหยินรองพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นคำกล่าวนั้น ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่พอพระทัยอย่างมากจนขันทีที่อยู่เคียงข้างพระวรกายเอ่ยตำหนิท่านเสนาบดีแทนพระองค์
“บังอาจนัก! นี่ท่านกล้าพาคุณหนูรองมาแทนคุณหนูใหญ่เช่นนั้นหรือ” ขันทีเฒ่าตำหนิเสนาบดีเซี่ยเสียงดังลั่น ทั่วทั้งตำหนักเงียบเสียงลงทันที ไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเห็นหรือแต่กระทั่งจะหายใจเสียงดัง