3 เข้าวัง

1763 คำ
ครู่ต่อมาฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองก็รีบเดินเข้ามา ทั้งสองเห็นเหตุการณ์โกลาหลตรงหน้าจึงรีบวิ่งไปหาลูกสาวของตนทันที “เหตุใดใบหน้าถึงเป็นเช่นนี้ ใครก็ได้ตามท่านหมอมาเดี๋ยวนี้!” ฮูหยินใหญ่วิ่งเข้าไปประคองบุตรีที่นั่งตัวสั่นอยู่บนพื้นดิน ใบหน้าของนางมีแผลเหวอะหวะ น้ำตานองหน้า กำลังส่งสายตาอาฆาตแค้นไปให้คุณหนูรองที่ยืนเหม่อลอยซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสามวา ผู้เป็นมารดามองตามสายตาของบุตรไปจนเจอเข้ากับเหม่ยอิงจึงบันดาลโทสะขึ้นมาทันที “นี่เจ้ากล้าทำร้ายบุตรีข้าเช่นนั้นหรือ พวกเจ้าจับมันมัดเดี๋ยวนี้” ฮูหยินใหญ่ตะโกนสั่งบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่บริเวณนั้นเสียงดังลั่น ส่วนฮูหยินรองที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าไม่ค่อยสู้ดีนักจึงรีบเข้าไปประคองเหม่ยอิงแล้วจะพานางเดินออกจากที่นี่ไป แต่แล้วก็ถูกบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งเดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังไว้เสียก่อน “เจ้าจะพานางไปที่ใดกัน” ฮูหยินใหญ่ที่ประคองพากุ้ยเหนียงลุกขึ้นยืนเพื่อเดินไปดักหน้าสองแม่ลูกคู่นั้นไม่ให้หนีไปที่ใดได้ “ขะ ข้า…” ฮูหยินรองก้มหน้าหลบสายตาของฮูหยินใหญ่ เหม่ยอิงที่หายตกใจกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้มาก็รีบหันมาเผชิญหน้ากับสองแม่ลูกที่มีจิตใจเหมือนกับนางมารนั้นด้วยแววตาแข็งกล้า ไม่เกรงกลัวเหมือนอย่างที่เคย “กล้ามองหน้าข้าด้วยสายตาเช่นนี้แล้วหรือ” ฮูหยินใหญ่ยกฝ่ามือเงื้อขึ้นหมายจะตบหน้าลูกเมียรอง แต่ฮูหยินรองก็เข้ามาขวางไว้ได้ทันจึงโดนตบแทนผู้เป็นบุตรี “ท่านแม่!” เหม่ยอิงตกใจที่ฮูหยินรองเข้ามารับฝ่ามือแทนนาง “โวยวายอันใดกัน” น้ำเสียงอันทรงพลังของเสนาบดีเซี่ยดังขึ้น ชายวัยกลางคนรีบเดินเข้ามาขัดขวางเหตุการณ์ที่กำลังจะบานปลาย บ่าวรับใช้ทั้งหมดแหวกทางให้ท่านเสนาบดีเดินเข้ามา และทุกคนต่างก็ยืนก้มหน้าลงกันหมด “รีบบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ เกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุใดใบหน้าเจ้าถึงเป็นเช่นนั้น” บิดาของคุณหนูทั้งสองเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ มีหน้าตาหล่อเหลา อายุไม่เกินสี่สิบหนาว กล่าวขึ้น “เหม่ยอิงมีใจอิจฉาริษยาเพราะเห็นว่าท่านให้ความรักต่อข้ามากกว่า นางจึงนำเหล็กนาบเผาไฟร้อนมาทำให้ข้าเสียโฉมเจ้าค่ะ ฮือ ๆ ท่านต้องให้ความยุติธรรมต่อข้านะเจ้าคะ” กุ้ยเหนียงเล่นงิ้วฉากใหญ่ ฟ้องผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าแสนเศร้าแลดูน่าสงสารอย่างยิ่ง เมื่อเสนาบดีเซี่ยได้ยินคำของกุ้ยเหนียงเสร็จก็รีบหันหน้าดุดันไปมองที่เหม่ยอิงทันที “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ” เสนาบดีเซี่ยถามฮูหยินรองที่ยืนก้มหน้าลงนิ่งตัวสั่นเทา เหตุเพราะนางนั้นเกรงกลัวสามีและเกรงใจฮูหยินใหญ่อยู่เป็นทุนเดิม แม้ว่าในใจอยากจะแย้งคำที่คุณหนูใหญ่พูดว่าเรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง แต่สุดท้ายแล้วก็คิดได้เพียงว่าต่อให้พูดความจริงไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเหม่ยอิงก็ไม่พ้นถูกลงโทษอยู่ดี เมื่อผู้เป็นภรรยารองกำลังจะเอ่ยปากตอบผู้เป็นสามีก็ถูกเหม่ยอิงพูดขัดขึ้นเสียก่อน “จริงหรือไม่ ท่านย่อมรู้อยู่แก่ใจ” คุณหนูรองดันตัวผู้เป็นมารดาที่กำลังยืนกุมใบหน้าที่ถูกตบจนแดงก่ำนั้นให้ไปยืนที่ด้านหลังตนเอง แสดงออกว่าปกป้องอย่างชัดเจนจนผู้เป็นบิดาเลิกคิ้วขึ้นเพราะตกตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกสาวคนรองอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่อยากจะพูดอะไรมากไปกว่านี้จึงหันไปสั่งบ่าวรับใช้ว่า “พาคุณหนูรองไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ข้าจะพานางเข้าวังเดี๋ยวนี้” เสนาบดีเซี่ยกล่าวจบก็เดินออกจากบริเวณนี้ไปทันทีโดยไม่สนใจบุตรสาวคนโตเหมือนดังเดิม เหม่ยอิงงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถูกบ่าวรับใช้พาตัวไปที่เรือนใหญ่ทันที ส่วนกุ้ยเหนียงและฮูหยินใหญ่ก็ยืนตกตะลึงกับปฏิกิริยาของท่านเสนาบดีที่ไม่สั่งลงโทษเหม่ยอิงอย่างทุกครั้ง มิหนำซ้ำยังจะพาบุตรคนรองเข้าวัง ซึ่งสถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่คุณหนูใหญ่ใฝ่ฝันอยากจะไปเป็นหนักหนา “ท่านแม่ ท่านพ่อทำเช่นนี้ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ ข้าไม่ยอม!” กุ้ยเหนียงร้องโวยวาย แม้จะเจ็บแผลที่หน้าอย่างมากแต่ก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ เหม่ยอิงถูกพาตัวมาที่เรือนใหญ่โดยมีบ่าวรับใช้ผู้หญิงพากันจับถอดเสื้อผ้าเพื่อที่จะอาบน้ำให้แลดูวุ่นวายไปหมด “พวกเจ้าหยุดนะ จะทำอะไรข้า” สตรีโวยวายเสียงดังที่ถูกเหล่าบ่าวรับใช้สามสี่คนช่วยกันจับนางถอดเสื้อผ้าที่สกปรกออก เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายจนฉิงเจียต้องเข้ามาเกลี้ยกล่อมคุณหนูรอง “คุณหนู อาบน้ำล้างร่างกายเถิดเจ้าค่ะ ท่านเสนาบดีอุตส่าห์ไม่สั่งลงโทษ คุณหนูก็อย่าดื้อเลยนะเจ้าคะ” ฉิงเจียเอ่ยกระซิบที่ข้างหูคล้ายอ้อนวอนผู้เป็นเจ้านาย เหม่ยอิงจึงยอมอ่อนลง แต่ก็ยังไม่คลายมือ พร้อมกับกอดเสื้อผ้าที่บางส่วนหลุดลุ่ยเหลือเพียงไม่กี่ชิ้นที่ติดกายไว้แน่น สีหน้าของสตรีนั้นหวาดหวั่นปนหวาดระแวง “ข้าจะยอมอาบน้ำก็ได้ แต่เจ้าต้องเป็นคนอาบให้ข้าแค่คนเดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นออกไปให้หมด” คุณหนูรองต่อรองและยกมือชี้ไปที่ฉิงเจียที่ยืนนิ่งอยู่ข้างถังอาบน้ำ บ่าวรับใช้คนอื่น ๆ จึงทยอยเดินออกจากห้องไป บัดนี้ภายในห้องเหลือเพียงคุณหนูรองและสาวรับใช้คู่กาย เหม่ยอิงที่ตั้งสติได้จึงเอ่ยบอกฉิงเจียว่า “เจ้าออกไปยืนรอหลังม่านกั้นก่อนเถิด” เหม่ยอิงยืนรอให้ฉิงเจียเดินออกไป แต่จนแล้วจนรอดเด็กสาวก็ไม่ยอมออกไปเสียทีจนคุณหนูรองหมดความอดทน “รีบไปเร็วเข้าสิ...ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่อาบน้ำและจะไม่เข้าวังกับบิดาด้วย” เหม่ยอิงเชิดหน้าขึ้นสูง พยายามข่มขู่คนตรงหน้าด้วยท่าทางดื้อรั้น ฉิงเจียจึงมีสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อคิดได้ว่าตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมา นางก็พูดจาผิดแปลกไปบ้าง แม้แต่นิสัยเดิมที่เคยเป็นคนอ่อนหวานเรียบร้อยแลดูอ่อนแอไม่สู้คน ก็ยังกลับตาลปัตรจากหน้ามือเป็นหลังมือแต่เด็กสาวกลับรู้สึกชอบนิสัยอย่างหลังของผู้เป็นเจ้านายอยู่ไม่น้อย จึงรีบพยักหน้าลงรีบทำตามคำสั่ง “เจ้าค่ะคุณหนู” ฉิงเจียเอ่ยเสร็จก็รีบถอยหลังหลบฉากออกไปอยู่หลังม่านกั้นทันที สตรีถอนหายใจคล้ายรู้สึกโล่งอก จึงถอดชุดที่รุ่มร่ามน่ารำคาญนี้ออกแล้วแกะเชือกมัดผมปล่อยผมยาวสลวยสยายเต็มกลางแผ่นหลัง และค่อย ๆ ก้าวขาลงในถังน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิพอเหมาะที่มีกลีบดอกไม้ลอยอยู่บนพื้นผิวน้ำ จากนั้นนางก็ลูบไล้ไปทั่วทั้งร่างกายเพื่อสำรวจทุกซอกทุกมุมของเรือนร่างใหม่ “เหม่ยอิง นอกจากเจ้าจะมีชื่อเหมือนข้าแล้ว รูปร่างก็ยังไม่แตกต่างกัน เจ้าชักจะเหมือนกับข้ามากเกินไปเสียแล้ว” ร่างบางนอนหลับตาแช่น้ำอุ่นอยู่ราวครึ่งก้านธูป ในหัวของหญิงสาวคิดย้อนกลับไปถึงภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เห็นตัวเองนอนตายอย่างน่าอนาถ แล้วยังมีภาพเหตุการณ์ของเจ้าของร่างเดิมที่แสนรันทดซ้อนทับขึ้นมาอีก คุณหนูรองถูกข่มเหงรังแกตั้งแต่อายุห้าหนาว จนถึงตอนนี้ก็มีอายุครบสิบแปดหนาวไปไม่กี่วัน พลันในใจของเหม่ยอิงก็เกิดความฮึกเหิมขึ้นมา ‘ในเมื่อวิญญาณได้กลับมาเข้าร่างหญิงสาวที่มีชื่อแซ่เหมือนกัน ไม่ว่าเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่การได้ย้อนอดีตกลับมาที่นี่ก็ถือเสียว่าเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง’ อิงอิงพูดในใจกับตัวเอง เมื่อนางอาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จก็หยิบผ้าคลุมมาสวมใส่อย่างลวก ๆ และใช้ผ้าผืนบางซับผมที่เปียกชื้นให้แห้งสนิท พร้อมกับฉิงเจียที่นำชุดใหม่ที่มีความงดงามอย่างที่คุณหนูตระกูลใหญ่ควรจะได้สวมใส่มาให้คุณหนูรอง ฉิงเจียแต่งกายให้ผู้เป็นเจ้านายด้วยความพิถีพิถัน และตกแต่งทรงผมปักปิ่นหยกอย่างสวยงาม พร้อมกับแต่งหน้าอ่อน ๆ ให้คิ้วเรียงตัวสวย ขนตางอนงาม ริมฝีปากแดงสดตัดกับใบหน้าอ่อนใส พร้อมทั้งปัดแก้มใสให้มีสีแดงระเรื่อแลดูโฉมสะคราญโดยแท้ “เสร็จแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” ฉิงเจียแย้มยิ้มส่งสายตาชื่นชมไปให้นายของตน เหม่ยอิงจึงหยิบคันฉ่องทองเหลืองมาส่องก็ยิ่งได้แต่ตกตะลึง เพราะใบหน้าของสตรีนั้นไม่เหมือนหญิงสาวอายุสิบแปดหนาว เจ้าของร่างมีผิวขาวเนียนละเอียดราวกับหิมะ ขนตายาวงอนงาม แถมยังมีจมูกเล็กโด่งเชิดรั้นนิด ๆ ริมฝีปากแดงสดโดยไม่ต้องทาชาดสีแดงแม้แต่น้อย และใบหน้านี้ก็ละม้ายคล้ายคลึงกับตนเองในโลกก่อนถึงเก้าในสิบส่วน จะไม่เหมือนก็ตรงที่เซี่ยเหม่ยอิงคนนี้มีนัยน์ตาหงส์ที่อ่อนหวานเป็นมิตรมากกว่าอิงอิงในโลกปัจจุบัน “นะ นี่ข้าหรือ” เหม่ยอิงจ้องคันฉ่องนิ่งค้าง “คุณหนูรองเจ้าคะ นายท่านให้มาแจ้งว่าอีกครึ่งก้านธูปให้ท่านออกไปรอที่หน้าจวนเจ้าค่ะ” เสียงบ่าวรับใช้คนอื่นดังมาจากนอกประตูเรือน เหม่ยอิงจึงลุกขึ้นหมุนตัวดูตนเองในคันฉ่องแล้วก็ยิ้มอย่างพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของร่างนี้อยู่ไม่น้อย จึงพยักหน้าให้ฉิงเจียเอ่ยตอบบ่าวรับใช้ด้านนอก “รับทราบเจ้าค่ะ” เด็กสาวบอกบ่าวรับใช้ด้านนอกแทนผู้เป็นนาย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม