“ขันทีอู่อย่าตำหนิท่านเสนาบดีเลย แม้ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญอย่างมาก แต่ข้ากลับรู้สึกถูกชะตากับคุณหนูรองนัก ถ้าไม่ติดว่าจะต้องให้หมั้นหมายกับลูกแปด ไม่เช่นนั้น…” ฮ่องเต้จ้องคุณหนูรองตาแทบไม่กะพริบ สายตาเจ้าชู้นั่นทำให้เหม่ยอิงทำตัวไม่ถูก นางจึงรีบหลบสายตานั้นทันที
‘ฮะ ฮึ่ม!’ เสียงกระแอมไอจากขันทีอู่ช่วยหยุดคำพูดที่ล่อแหลมของฮ่องเต้จอมเจ้าชู้ บุรุษวัยสามสิบห้าหนาวจึงหยุดคำพูดที่ชวนให้ใจหายใจคว่ำนั่นลง และหันสายตาคมไปจ้องท่านเสนาบดีแทน
“ท่านเสนาบดีรู้ใช่หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ” ฮ่องเต้จ้องเสนาบดีเซี่ยตาเขม็ง สายตานั้นสื่อความหมายที่รู้กันอยู่เพียงสองคนเป็นอย่างดี
“กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีเซี่ยก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อรับคำของผู้อยู่เหนือแคว้น
หลังจากนั้นเหม่ยอิงก็ถูกเชิญให้ออกไปรอที่ด้านนอกตำหนัก เพราะฮ่องเต้มีเรื่องต้องปรึกษาหารือกับเสนาบดีเป็นการส่วนพระองค์ และก่อนที่หญิงสาวจะออกมา บิดาก็พูดย้ำกับนางเป็นหนักหนาว่าห้ามบอกใครว่าเป็นคุณหนูรอง ถ้าหากมีใครถามให้บอกว่าเป็นคุณหนูใหญ่เพียงเท่านั้น เหม่ยอิงจึงยอมตกปากรับคำทันทีเพราะทนสายตาเจ้าชู้จากฮ่องเต้ที่จดจ้องราวกับจะกลืนกินนางไม่ได้ สตรีถูกขันทีเฒ่าพามาที่ศาลาริมน้ำ ส่วนนางกำนัลก็ยกน้ำชาและขนมมาจัดเตรียมไว้ให้ทานเล่น
“คุณหนูเซี่ย ของพวกนี้เป็นของพระราชทานจากฮ่องเต้ เชิญท่านพักผ่อนตามสบายเถิด” ขันทีเฒ่าพูดจบก็ขอตัวไปทำหน้าที่อย่างอื่นต่อ เหม่ยอิงหันหน้ามองไปที่กลางสระน้ำใส นางเห็นปลาน้อยใหญ่แหวกว่ายเต็มไปหมด ลมเย็นที่พัดโชยมาอ่อน ๆ ชวนให้น่าหลับใหลอย่างยิ่ง จึงทำให้หญิงสาวเอนหัวพิงกับเสาไม้ของศาลาริมน้ำ ไม่สนใจผู้คนหรือสิ่งรอบตัว ร่างบอบบางหลับตาลงดื่มด่ำกับสายลมเย็นสบายนั้น
อีกฟากหนึ่งของตำหนัก เสียงเอะอะโวยวายที่ด้านนอกทำผู้คนแตกตื่นลนลานกันไปหมด “เสด็จพ่อประทับอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” เสียงของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ มีหน้าตาหล่อเหลาและผิวขาวราวกับหิมะ เขาสวมชุดสีขาวปักดิ้นทองดูสง่างามองอาจกำลังเดินเข้ามาที่ตำหนักกลางพร้อมกับบ่าวรับใช้ข้างกายหนึ่งคน
“กระหม่อมขอประทานอภัย ฮ่องเต้ทรงมีแขกอยู่ เข้าเฝ้าตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเฒ่ารีบออกมารับหน้า ขัดขวางไม่ให้องค์ชายแปดเข้าพบฮ่องเต้ด้วยท่าทีที่มีพิรุธ อ๋องแปดจ้องมองขันทีเฒ่าอย่างไม่สบอารมณ์ ในใจครุ่นคิดไปว่าจะต้องมีเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อคงไม่เรียกเสนาบดีเซี่ยให้รีบเข้าวังมากะทันหัน จากที่สายข่าวรายงานมาว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของเหล่าองค์ชายกับตระกูลใหญ่เป็นแน่
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะรอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่ศาลาริมน้ำนั่น” อ๋องแปดกล่าวเสร็จก็รีบเสด็จไปที่ศาลาริมน้ำทันทีโดยไม่รอคำอนุญาตจากผู้ใด ขันทีอู่ก้มหน้ารับคำสั่งจากท่านอ๋องแปด แต่เพิ่งมาฉุกคิดได้ว่าศาลาริมน้ำนั้นเพิ่งให้คุณหนูเซี่ยใช้พักผ่อนตามรับสั่งจากองค์ฮ่องเต้ไปได้เพียงสักครู่หนึ่ง
“ท่านอ๋องทรงหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีเฒ่ารีบร้องเรียกอ๋องแปดให้หยุดรอก่อน แต่ก็ไม่ทันการณ์ ท่านอ๋องเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
น้ำใสในสระมรกตมีปลาทั้งน้อยใหญ่แหวกว่ายกันอย่างขวักไขว่ เหม่ยอิงเอนศีรษะพิงกับเสาไม้ของศาลาริมน้ำที่มีลมพัดเอื่อย ๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับบรรยากาศนี้อยู่ไม่น้อย
“ท่านอ๋องแปดเพคะ” เสียงของนางกำนัลที่ยืนอยู่นอกศาลาส่งเสียงดังผ่านเข้าโสตประสาทของหญิงสาวที่นั่งหลับตาอยู่ด้านใน ชายหนุ่มเดินบุ่มบ่ามเข้ามาในศาลาริมน้ำ ยังไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีสตรีร่างบอบบางนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของศาลาทรงแปดเหลี่ยม
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ข้าต้องการความเป็นส่วนตัว” อ๋องแปดออกคำสั่งเสร็จก็นั่งลงบนเก้าอี้ พอเขามองไปบนโต๊ะก็เห็นมีถ้วยน้ำชาที่เพิ่งรินใหม่ ๆ ไอน้ำร้อนยังระเหยขึ้นมาไม่หยุดพร้อมกับของว่างที่เป็นของโปรดของเสด็จพ่อ
“ของผู้ใดกัน” อ๋องแปดครุ่นคิดแล้วหันหน้ามองไปรอบศาลา และไปสะดุดสายตาเข้ากับสตรีนางหนึ่งที่สวมชุดสีชมพูอ่อน ชายหนุ่มมองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของนาง และเพียงเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่านางเป็นโฉมสะคราญที่ไม่อาจจะละสายตาจากไปได้ ส่วนบ่าวรับใช้ชายที่ติดตามท่านอ๋องแปดมาด้วยก็จ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เผลอพูดบางอย่างที่ทำให้ผู้เป็นเจ้านายถึงกับอดทนฟังเสียมิได้
“งดงามเหลือเกิน บ่าวไม่เคยพบหญิงใดงดงามถึงเพียงนี้ หรือนี่คือพระสนมองค์ใหม่กันพ่ะย่ะค่ะ” บ่าวรับใช้ยืนมองและอ้าปากกว้างเป็นที่น่ารังเกียจแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก แม้ว่าอ๋องแปดจะคิดเฉกเช่นเดียวกันกับผู้เป็นบ่าว แต่พอได้ยินว่านางอาจจะมาเป็นพระสนมองค์ใหม่ก็เกิดความไม่ชอบใจในคำพูดนี้อย่างถึงที่สุด จึงเอ่ยปากไล่บ่าวรับใช้ไปให้พ้นสายตา
“ชิงซือ เจ้ารีบไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้!” อ๋องแปดพูดไล่ แต่ไม่หันสายตาไปมองบ่าวรับใช้เลยแม้แต่น้อย ชิงซือจึงรีบเดินถอยหลังออกจากศาลาริมน้ำทันที เพราะรู้ดีว่าเวลาท่านอ๋องแปดทรงกริ้วจะน่ากลัวมากเพียงใด
เหม่ยอิงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากทางด้านหลังจึงรีบหันหน้ากลับไปมอง หญิงสาวไล่สายตามองจากด้านล่างแล้วค่อย ๆ เลื่อนสายตาขึ้นด้านบนก็พบชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสีขาวปักดิ้นทองแลดูสง่างาม เขามีผิวขาวยิ่งกว่าหิมะ ใบหน้าหล่อเหลานั้นมีความองอาจน่าเกรงขามแฝงอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นนางก็รู้สึกตกใจจนรีบลุกยืนขึ้น แต่ด้วยความที่ลุกขึ้นไวจนเกินไปจึงเกิดอาการหน้ามืดวิงเวียนศีรษะ ร่างบอบบางถลาจะหงายหลังตกลงไปในสระน้ำ แม้ว่าบุรุษที่ยืนมองอยู่ตอนแรกไม่ได้มีใจคิดอยากจะช่วยเหลือ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของสตรีที่มองมาคล้ายวิงวอนขอร้องจึงตัดใจรีบคว้ามือของนางแล้วดึงร่างแน่งน้อยเข้าหากายแกร่งทันที สองชายหญิงยืนอิงแอบใกล้ชิดสนิทกัน ทั้งหมดนั้นอยู่ในสายตาของนางกำนัล ทหารเฝ้ายาม หรือแม้แต่ฮ่องเต้กับเสนาบดีเซี่ยที่กำลังเดินมายังศาลาริมน้ำก็บังเอิญได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเช่นกัน
ฮ่องเต้แย้มมุมปาก ยิ้มอย่างพอพระทัย ในใจครุ่นคิดไปว่า ‘ยังไม่ทันจะทำสิ่งใด ปลาทั้งสองก็ติดเบ็ดเสียแล้ว’ จึงพระสรวลออกมาอย่างสบายพระทัย แต่เสนาบดีเซี่ยที่ยืนอยู่เคียงข้างพระองค์กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ยากที่จะคาดเดาความคิดได้
เหม่ยอิงถูกชายหนุ่มตรงหน้าที่มีอายุประมาณยี่สิบหนาวช่วยเอาไว้ ในใจนางนั้นรู้สึกขอบคุณเขาอยู่ไม่น้อย ทั้งสองยืนอยู่เช่นนี้คล้ายกับว่ากำลังกอดกันแน่นจนเกินงาม หญิงสาวจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบพระทัยเพคะ แต่ช่วยปล่อยหม่อมฉันก่อนได้หรือไม่” ร่างบอบบางพูดกระซิบบอกบุรุษ อ๋องแปดได้ยินดังนั้นจึงรีบคลายอ้อมแขนโดยเร็ว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฮ่องเต้และเสนาบดีเดินเข้ามาในศาลาริมน้ำพอดี
“ฮ่องเต้เสด็จ” เสียงของขันทีขานบอก ทั้งสองชายหญิงจึงรีบหันหน้าไปที่ทางเข้าของศาลาริมน้ำทันที “ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องแปดก้มหน้าลงเล็กน้อยและประสานมือทั้งสองยกอยู่ระดับสายตา
“ไม่ต้องมากพิธี” ฮ่องเต้บอกองค์ชายแปดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วไล่สายตาจ้องมองทั้งสองชายหญิงที่ยืนเคียงข้างกัน ช่างดูเหมาะสมกันเสียยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยก ชายวัยกลางคนนึกชื่นชมสายตาของตนเองที่เลือกคู่ครองให้ลูกชายคนโปรดไม่ผิดคน แม้ว่าคุณหนูรองตระกูลเซี่ยจะเกิดจากฮูหยินรองก็ตาม เดิมทีตระกูลซูของฮูหยินรองนั้นก็ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา แม้ว่านางจะแสดงตัวว่าไร้อำนาจบารมี แต่ในความจริงแล้วเป็นอดีตตระกูลที่ยิ่งใหญ่ พี่ชายของนางคืออดีตสหายคนสนิทขององค์ฮ่องเต้ในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้เองทำให้ฮ่องเต้ทรงคิดไม่ตก จึงร่วมกันวางแผนกับเสนาบดีเซี่ยเพื่อเปลี่ยนแปลงฐานะของเหม่ยอิง จากคุณหนูรองให้เป็นคุณหนูใหญ่เสีย เพราะความจริงแล้วอ๋องแปดต้องอภิเษกสมรสกับคุณหนูใหญ่ของตระกูลที่มีอำนาจเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอนาคตอาจจะมีปัญหาในการแต่งตั้งองค์รัชทายาทภายหลังได้
“ลูกมารบกวนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เสียงของอ๋องแปดเรียกฮ่องเต้ที่ตกอยู่ในภวังค์ของความคิดให้มีสติกลับมา ชายวัยกลางคนจึงรีบมองลูกชายคนโปรดทันทีเพื่อไม่ให้มีพิรุธใด ๆ
“เจ้าไม่ได้มารบกวนพ่อหรอกเว่ยเอ๋อร์ พอดีท่านเสนาบดีมีเรื่องอยากหารือ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สลักสำคัญอันใดนัก” ฮ่องเต้กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ และเรียกชื่อเล่นของอ๋องแปดด้วยความเอ็นดู จนเหม่ยอิงที่ยืนอยู่ด้านข้างท่านอ๋องแปดนั้นกลั้นยิ้มเล็กน้อย นางรู้สึกขบขันในชื่อเล่นที่ดูน่ารัก ไม่เข้ากับหน้าตาหล่อเหลาของชายหนุ่ม