วิญญาณของเหม่ยอิงลอยเคว้งหายเข้าไปในร่างของดรุณีน้อยนางหนึ่งที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้เก่า ราวกับว่าได้เข้ามาต่อเติมร่างที่ไร้วิญญาณนั้นให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสตรีผู้นั้นลืมตาขึ้น ความรู้สึกที่ได้รับเป็นอย่างแรกนั่นก็คือความอ่อนล้าที่แทบไร้เรี่ยวแรง ลำคอของนางแห้งผากจึงพยายามส่งเสียงขอน้ำจากใครสักคนหนึ่ง
“ขอน้ำหน่อย” เสียงที่เปล่งออกมาอย่างยากลำบากนั้นดังเข้าโสตประสาทของสาวน้อยคนหนึ่งที่นั่งฟุบหลับอยู่ข้างเตียง
“คุณหนู ท่านฟื้นแล้ว!” สาวน้อยอายุราวสิบสี่หนาวมีรูปร่างผอมแห้งทำสีหน้าตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาแทบไหล รีบลุกขึ้นแล้วเดินไปรินน้ำชาใส่ถ้วยแล้วค่อย ๆ เข้ามาประคองคนบนเตียงให้ลุกขึ้นจิบน้ำ เมื่อน้ำใสไหลลงลำคอที่แห้งผากก็ทำให้หญิงสาวมีแรงลุกขึ้นมา เหม่ยอิงที่เพิ่งมาเข้าร่างก็รีบหันหน้ามองไปรอบบริเวณ เห็นเพียงห้องเก่าอยู่ห้องหนึ่งมีสภาพซอมซ่อ ร่างบอบบางจึงยกมือขึ้นมากุมศีรษะคล้ายว่านางกำลังรู้สึกปวดร้าวแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“คุณหนูปวดมากไหมเจ้าคะ ฉิงเจียไม่ดีเองที่ปล่อยให้คุณหนูถูกรังแกเอาได้” เด็กสาวนั่งร้องไห้น้ำตาคลออยู่ตรงปลายเท้าผู้เป็นเจ้านาย
“ที่นี่...คือที่ไหนกัน ทำไมฉันถึงจำอะไรไม่ค่อยได้” เหม่ยอิงมองไปรอบ ๆ พยายามนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนเองนั้นเคยมาที่นี่หรือไม่
“ที่นี่เรือนหลังเล็กของท่านอย่างไรเล่าเจ้าคะ” สาวใช้รูปร่างเล็กบอกผู้เป็นเจ้านาย
“อย่างนั้นเองหรือ ว่าแต่เธอชื่ออะไรกันล่ะ” เหม่ยอิงสบสายตาสอบถามสาวน้อยตรงหน้า ฉิงเจียน้ำตาเอ่อล้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกสงสารคุณหนูของตนเองจับใจ
‘เหตุใดคุณหนูถึงมีชีวิตที่แสนอาภัพเช่นนี้ เกิดมาในตระกูลเซี่ยที่สูงศักดิ์ มีบิดาเป็นถึงท่านเสนาบดี แต่ดันมาเกิดกับฮูหยินรองตระกูลซูที่ไร้ทั้งอำนาจและบารมีที่จะปกป้องคุณหนูได้ และคุณหนูเองก็ถูกคุณหนูใหญ่ที่มีนามว่า ‘เซี่ยกุ้ยเหนียง’ รังแกไม่เว้นแต่ละวัน อย่างเหตุการณ์ล่าสุดก็ถูกผลักตกน้ำจนหมดสติไปนานหลายชั่วยาม หมอคนไหนมาตรวจอาการก็ได้แต่ส่ายหน้าว่าหมดหวัง เดิมทีฮูหยินรองคิดจะตัดใจจัดงานศพให้คุณหนู แต่ก็มีชายชราผู้หนึ่งมาขอพบและบอกว่าอย่าเพิ่งจัดงานศพ ชายชราผมขาวผู้นั้นบอกว่าให้พาคุณหนูออกจากเรือนใหญ่ และให้มาอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเล็กซึ่งอยู่ห่างจากบ้านตระกูลเซี่ยเพียงแค่หนึ่งลี้ แล้วรอเพียงสามวันเท่านั้น คุณหนูก็จะฟื้นขึ้นมาเอง’ เด็กสาวนั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาจนลืมไปว่าผู้เป็นนายกำลังถามชื่อของนางอยู่
เมื่อสตรีสอบถามสาวน้อยตรงหน้าแล้วนางก็ไม่ตอบคำถาม ร่างบอบบางก็เลยลุกขึ้นยืนแล้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ และพยายามนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น เธอจำได้ว่าตนเองนั้นอยู่ในผับกลางใจเมืองปักกิ่ง กำลังดื่มเหล้าเลี้ยงฉลองตำแหน่งงานใหม่อยู่กับรุ่นน้องที่แผนก เมื่อคิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็อุทานขึ้นว่า “นั่นสิ! แล้วทำไมฉันถึงมาโผล่ที่นี่ ดูจากสถานที่แล้ว บ้านนี้ดูโบราณและเก่ามาก แถมเด็กสาวคนนี้ยังใส่เสื้อผ้าคล้ายชุดละครจีนย้อนยุคที่ชอบดูอยู่ในโทรทัศน์บ่อย ๆ หรือว่า…!!” เหม่ยอิงตกใจจึงรีบถามสาวน้อยตรงหน้านี้ทันที
“ปีนี้ปีอะไร” หญิงสาวรีบเดินเข้าไปจับที่มือทั้งสองของสาวน้อยที่นั่งอยู่ข้างเตียงทันที “ปีอะไรหรือเจ้าคะ ?” ฉิงเจียทำหน้าไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูรองถาม
“เธอไม่รู้ว่าปีอะไรหรือ ถ้าอย่างนั้นแล้วที่นี่มีชื่อเมืองว่าอะไรกัน” เหม่ยอิงรีบตั้งคำถามขึ้นมาใหม่ สาวรับใช้คนนั้นก็ยิ่งทำหน้างุนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอพูด แต่ก็พอรู้ว่าจะต้องตอบเช่นไรจึงบอกออกไปว่า
“ที่นี่แคว้นเหยี่ยนเจ้าค่ะ” ฉิงเจียตอบออกไป พอร่างบางได้ยินคำตอบก็รู้สึกสับสนขึ้นมาทันที ‘ในประวัติศาสตร์ที่เรียนมาไม่เคยมีบันทึกถึงเเคว้นเหยี่ยนมาก่อน หรือว่าเราจะทะลุมิติมากัน’ เหม่ยอิงรู้สึกอึ้งจึงยืนนิ่งค้างไป
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ” เด็กสาวเอ่ยถามโฉมงามที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงและสีหน้าดูคล้ายเป็นกังวล
ส่วนคนที่กำลังรู้สึกตกใจจนลำดับความรู้สึกไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจกันแน่ จึงได้แต่ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นไม้ที่เย็นเฉียบแล้วยกมือทั้งสองขึ้นมากุมใบหน้าตนเอง หญิงสาวสัมผัสได้เพียงว่าเจ้าของร่างนี้มีใบหน้าเนียนเล็ก มีปากนิดและจมูกหน่อย พอก้มมองลงที่มือเรียวบางทั้งสองข้างก็มีสีซีดขาว พร้อมกับใช้มือนั้นจับปลายผมที่ดำขลับยาวสลวยถึงเอวกิ่วขึ้นมาลูบอย่างทะนุถนอม อยู่ ๆ ในศีรษะก็ปรากฏความทรงจำแทรกเข้ามา เรื่องราวตั้งแต่เกิดยันปัจจุบันทำให้เหม่ยอิงที่เป็นวิญญาณเข้ามาสิงในร่างรู้สึกสงสารเจ้าของร่างนี้อย่างจับใจ เพราะว่าเธอไม่เคยพบชีวิตที่แสนจะรันทดเช่นนี้มาก่อน
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะนางแพศยา!” เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากด้านนอกของเรือน ฉิงเจียที่รู้จักเสียงนั้นเป็นอย่างดีได้แต่เข้ามาประคองตัวคุณหนูให้ลุกขึ้นยืน
“ทำอย่างไรดีเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มาหาเรื่องท่านอีกแล้ว” สาวรับใช้มองคุณหนูรองที่เพิ่งฟื้นขึ้นด้วยสายตาเป็นกังวล
‘ปัง!’ เสียงเปิดประตูห้องนอนเข้ามาอย่างแรง สักพักก็มีหญิงสาวตัวเล็กทาหน้าขาววอก ปากทาชาดสีแดงจัด ก้าวเท้าเดินเข้ามาพร้อมกับบ่าวรับใช้ผู้ชายทั้งสองคน “แกมันเป็นปีศาจ ข้าอุตส่าห์ผลักตกสระน้ำไปแล้วก็ยังจะฟื้นจากความตายขึ้นมาได้” เซี่ยกุ้ยเหนียง คุณหนูใหญ่ของจวนเสนาบดีจีบปากจีบคอพูดใส่เหม่ยอิงที่นั่งนิ่งอยู่บนพื้นไม้
หญิงสาวที่ถูกคุกคามหลับตาลงข่มความรู้สึกเจ็บปวดในอก อาจเป็นเพราะว่าเจ้าของร่างนี้คงจะรู้สึกปวดใจอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินคำร้ายกาจจากปากของนางมารนั่น ‘ตอนนี้ฉันมาอยู่ในร่างของเธอแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ’ เหม่ยอิงพูดในใจสื่อสารกับเจ้าของร่างที่แม้ว่าวิญญาณของนางจะไม่ได้สถิตอยู่ที่ร่างนี้แล้วก็ตาม และที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อเรียกกำลังใจให้ตนเองก็เท่านั้น
กุ้ยเหนียงเห็นผู้เป็นน้องสาวหลับตาลงและมีสีหน้าเจ็บปวดก็รู้สึกสะใจอยู่ไม่น้อย จึงใช้มือเข้ามากระชากตัวคุณหนูรองให้ลุกขึ้นยืน “เจ้ามันลูกเมียน้อย ไม่สมควรเกิดมามีหน้าตาโฉมสะคราญกว่าข้า” สตรีร้ายกาจพยักหน้าให้บ่าวรับใช้ชายลากตัวคุณหนูรองออกไปที่นอกเรือน
เหม่ยอิงที่เพิ่งฟื้นตื่นขึ้นมาจึงไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะต่อต้านแรงของบ่าวรับใช้ผู้ชาย นางเลยถูกลากออกมานอกเรือนโดยมีผู้เป็นพี่สาวเดินตามออกมาจากด้านในเรือนอย่างช้า ๆ และหัวเราะเยาะเย้ยเสียงดังลั่น
“อย่าโทษข้าเลย เหตุที่เจ้าต้องเป็นเช่นนี้ต้องโทษมารดาของเจ้าเสียดีกว่า” กุ้ยเหนียงก้มหน้าลงมาประชิดกับใบหน้าเล็กที่ซีดเซียวของเหม่ยอิง เมื่อคุณหนูใหญ่กล่าวจบก็พยักหน้าให้บ่าวรับใช้อีกคนนำเหล็กนาบที่เผาไฟร้อนจนแดงฉานถือเข้ามา
ฉิงเจียเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็รีบวิ่งออกไปตามฮูหยินรองที่เรือนใหญ่ทันที ร่างบอบบางเงยหน้าขึ้น พอเห็นแสงสว่างวาบจากเหล็กกล้า ในหัวก็พลันปรากฏเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้น ซึ่งเป็นภาพของตนเองเดินออกจากผับกลางใจเมืองปักกิ่งพร้อมกับรุ่นน้องอีกสองคน แล้วก็เห็นว่ากำลังขึ้นรถยนต์คันเล็กที่แสนคุ้นตาเป็นอย่างดีของจางหลี่เหอที่เป็นคู่แข่งทางการงาน แล้วสักพักภาพทั้งหมดก็ตัดมาที่รถยนต์กำลังพลิกคว่ำ และเธอก็มองเห็นร่างของตัวเองมีเลือดสีแดงเต็มตัว
“ไม่จริงใช่หรือไม่!” อิงอิงดิ้นอย่างแรงเมื่อรับรู้ว่าความจริงแล้วตัวเองนั้นได้ประสบอุบัติเหตุตายไปแล้ว จนร่างบอบบางหลุดออกจากการโดนจับแขนเอาไว้โดยบังเอิญ ในขณะเดียวกัน กุ้ยเหนียงที่กำลังจะเอาเหล็กร้อนนาบลงที่ใบหน้าของเหม่ยอิงก็เกิดเดินสะดุดกับก้อนหินก้อนหนึ่ง เป็นผลทำให้คุณหนูใหญ่ล้มเสียจังหวะ โดนเหล็กร้อนทาบที่ใบหน้าฝั่งขวาของตนแทนอย่างไม่ทันระวังตัว
“กรี๊ด!! ใบหน้าของข้า” กุ้ยเหนียงดิ้นทุรนทุรายเมื่อถูกเหล็กนาบร้อนสีแดงทาบที่ใบหน้าของตนจนเกิดแผลเหวอะหวะ จนบ่าวรับใช้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ผละตัวออกห่าง รู้สึกแตกตื่นจนทำอะไรไม่ถูก เหม่ยอิงที่ยืนเหม่อลอยสติแทบเลือนรางเมื่อได้รู้ความจริงว่าตนเองนั้นได้ตายจากโลกอนาคต แล้ววิญญาณของเธอก็มาเข้าร่างดรุณีน้อยนางนี้ก็ยังไม่สามารถจะทำใจให้เป็นปกติได้เลย