1 เซี่ยเหม่ยอิง

1647 คำ
เวลา 21:00 น. ประเทศจีน เมืองปักกิ่ง “ชนแก้วทุกคน” เสียงดังเอะอะครึกครื้นดังไปทั่วบริเวณในผับย่านใจกลางเมืองโฮ่วไห่ เหล่าผีเสื้อราตรีออกมากินดื่มกันตามประสาในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันมีชื่อว่า ‘เหม่ยอิง’ หรือจะเรียกว่า ‘อิงอิง’ ก็ได้ และค่ำคืนนี้ก็ออกมาเลี้ยงฉลองเลื่อนตำแหน่งใหม่กับรุ่นน้องคนสนิทในแผนกด้วยเหมือนกับทุกคนในสถานที่แห่งนี้ “ยินดีด้วยครับเจ้อิง” จินหลิง เด็กหนุ่มรุ่นน้องหน้าตาดีกล่าวแสดงความยินดี และถัดมาก็เป็นฉิงลี่ รุ่นน้องสาวสวยกล่าวขึ้นตาม “ยินดีด้วยค่ะพี่เหม่ยอิง” หญิงสาวยกแก้วที่มีสีเหลืองอำพันขึ้นชนพร้อมกับทุกคน ท่ามกลางความสนุกสนานครื้นเครง เรามารู้จักกับสาวสวยที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดกันดีกว่าค่ะ เซี่ยเหม่ยอิง หญิงสาววัยสามสิบที่มีหน้าตาอ่อนกว่าอายุจริง เธอมีรูปร่างสูงผอมหุ่นดีราวกับนางแบบและผมยาวสลวย ใบหน้าสวยเฉี่ยวตามสมัย กำลังถือแก้วน้ำอัดลมยกขึ้นดื่ม “ขอบใจทุกคนมาก” เหม่ยอิงยิ้มรับคำยินดีนั้นด้วยความเต็มใจ พร้อมกับยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบ จินหลิงเห็นดังนั้นก็ยืนหัวเราะร่า ในมือถือแก้วเหล้าทำสีหน้ากรุ้มกริ่มแกมเยาะเย้ย “ผมว่าพี่มาเที่ยวเปิดหูเปิดตาทั้งที ทำไมถึงกินแต่น้ำอัดลมล่ะครับ” เมื่อพูดจบก็แย่งแก้วน้ำจากมือรุ่นพี่มาแล้วจัดการเทน้ำอัดลมทิ้ง และชงเหล้าใส่โซดาให้เสร็จสรรพ แล้วเลื่อนแก้วที่ตอนนี้มีแต่เหล้ากลิ่นฉุนไปตรงหน้าแทน “ฉันไม่กินแอลกอฮอล์ นายก็รู้” เหม่ยอิงรู้สึกหงุดหงิด จึงจ้องหน้าชายหนุ่มที่อ่อนกว่าตาเขม็ง “วันนี้เป็นวันดี ฉิงลี่ว่าพี่เหม่ยอิงยอมจิบนิดหน่อยเพื่อความสนุกเถอะนะคะ” ฉิงลี่กล่าวเสียงหวานและพูดหว่านล้อมรุ่นพี่ พร้อมกับแอบขยิบตาให้จินหลิงแสดงออกว่าเห็นดีเห็นงามด้วย “จริงอย่างที่พี่ฉิงลี่บอก วันนี้เป็นวันดี เจ้ก็รู้ว่าในแผนกเราไม่มีใครได้เลื่อนตำแหน่งมานานหลายปีแล้ว แถมเจ้เป็นคนแรกของแผนกเลยนะครับ” จินหลิงพูดชมรุ่นพี่สาวไม่หยุดปากจนหญิงสาวรู้สึกใจอ่อน “ก็ได้ ๆ ฉันจะยอมดื่มเพื่อพวกเธอ แต่ว่าแค่แก้วเดียวนะ” เหม่ยอิงคว้าแก้วเหล้าที่จินหลิงผสมให้ยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด โดยที่รุ่นน้องทั้งสองห้ามปรามไว้ไม่ทัน “เอ่อ… / โธ่…” จินหลิงและฉิงลี่มองหน้ากันด้วยความเอือมระอา เพราะคาดไม่ถึงว่ารุ่นพี่ของพวกเขานั้นจะเล่นกระดกเหล้ากึ่งเพียวจนหมดในครั้งเดียว และครู่ต่อมาพี่ใหญ่ก็เมาอาละวาดจนรุ่นน้องเอาไม่อยู่ ทั้งสองจึงตัดสินใจพาเธอกลับบ้าน ในระหว่างทาง เหม่ยอิงก็อ้วกออกมาจนเลอะเปื้อนเต็มรถแท็กซี่ไปหมด จนคนขับรถทนไม่ไหวเลยไล่ทั้งสามคนลงจากรถกลางทาง “เอายังไงดี พวกเราจะกลับบ้านกันยังไง แถวนี้แท็กซี่ก็ไม่มีผ่านมาบ่อย ๆ เสียด้วยสิ” ฉิงลี่บ่นกับจินหลิงด้วยความเหนื่อยอ่อนปนรู้สึกกลัวกับบรรยากาศที่เปลี่ยววังเวงในบริเวณนี้ ทั้งสามยืนอยู่บนฟุตพาทข้างถนน เวลาตอนนี้ก็ประมาณตีสองกว่า ๆ จินหลิงพยายามต่อสายโทรศัพท์หาเพื่อน ๆ แต่โทรไปกี่สายก็ถูกตัดสายทิ้ง จนเหลืออยู่แค่รายชื่อเดียวในโทรศัพท์ที่ยังไม่ได้ลองโทร เมื่อจนปัญญา เขาจึงตัดสินใจโทรออกเพราะว่าเป็นความหวังสุดท้ายแล้วสำหรับในค่ำคืนนี้ กำลังโทรออก... ‘ผู้จัดการ’ ชายหนุ่มหน้าตี๋ยืนรอสายโทรศัพท์อยู่สักครู่ สักพักปลายสายก็กดรับโทรศัพท์ “สวัสดีครับ” จางหลี่เหอกดรับสายโทรศัพท์ของจินหลิงด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียเล็กน้อย “ผู้จัดการจางครับ ผมมีเรื่องอยากรบกวนสักหน่อย...” จินหลิงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้จัดการหนุ่มฟังจนชายหนุ่มใจอ่อนยอมขับรถออกมารับ เนื่องจากจุดที่ทั้งสามคนยืนอยู่นั้นใกล้กับบ้านของเขา สิบห้านาทีต่อมา รถอีโก้คาร์คันเล็กก็เข้ามาจอดใกล้กับฟุตพาทที่ทั้งสามคนยืนรออยู่ รถยนต์เปิดไฟกะพริบเพื่อส่งสัญญาณให้รถที่ผ่านไปผ่านมาได้รับรู้ว่ากำลังจอดรับคน ถึงแม้ในตอนนี้จะไม่มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมาเลยก็ตาม ส่วนจินหลิงและฉิงลี่นั้นก็ช่วยกันประคองเหม่ยอิงที่เมาไม่ได้สติให้ขึ้นรถไปนั่งที่ด้านหน้าข้างคนขับ แล้วทั้งสองก็เปิดประตูขึ้นมานั่งที่ด้านหลังแทน “ขอบคุณผู้จัดการจางมากเลยครับ ผมต้องขอโทษด้วยที่รบกวนกลางดึกแบบนี้” จินหลิงเอ่ยบอกผู้จัดการหนุ่มด้วยความเกรงใจ “ไม่ได้รบกวนอะไรมากหรอก อย่าคิดมากเลย” ชายหนุ่มรูปร่างสูงหุ่นนักกีฬา หน้าตาหล่อเหลา มีผิวขาว บอกอย่างเป็นกันเอง ส่วนฉิงลี่ที่นั่งอยู่ด้านหลัง เมื่อมองเห็นรอยยิ้มหล่อเหลาจากกระจกส่องหลังนั้นก็รีบกระทุ้งศอกใส่จินหลิงที่นั่งอยู่ด้านข้างทันทีพร้อมกับกระซิบบอกว่า “ผู้จัดการจางใส่ชุดไปรเวทแล้วหล่อมาก แถมเป็นคนจิตใจดีอีก ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ค่อยถูกกับพี่เหม่ยอิง ถ้าเรื่องนี้เจ้รู้เข้า ฉันว่าพวกเราต้องถูกด่าจนหูดับเป็นแน่” หญิงสาวทำหน้าตาหวาดกลัวใส่คนเมาที่นั่งหลับคอพับอยู่ที่ด้านข้างคนขับด้วยความหวั่นอยู่ในใจ “พี่ฉิงลี่ก็อย่าบอกเจ้สิครับ ไม่อย่างนั้นผมคงได้คอขาดก่อนพี่แน่นอน” จินหลิงกระซิบตอบรุ่นพี่พร้อมกับส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้คนขับผ่านกระจกมองหลังด้วยความรู้สึกที่ประหม่า จากนั้นไม่นานหลี่เหอก็ขับรถไปส่งฉิงลี่ก่อนเพราะหอพักอยู่ใกล้ที่สุด ตามด้วยส่งจินหลิงที่อยู่ซอยถัดไป ทีนี้ก็เหลือแต่ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ที่ด้านข้างคนขับ และเธอก็ดันพักอยู่คอนโดเดียวกันกับเขา ร่างสูงจึงขับรถกลับมายังถนนเส้นเดิมเพื่อกลับคอนโดของตนเอง อยู่ ๆ ถนนที่ใช้สัญจรเป็นประจำเกิดมีการซ่อมแซมถนนจึงทำให้ต้องวนรถไปอีกทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถนนเส้นนี้เป็นทางสายรอง และชายหนุ่มก็ไม่ชำนาญทางมากนักจึงต้องขับรถด้วยความระมัดระวัง สองข้างทางมีไฟส่องสว่างน้อยเลยทำให้มองทัศนียภาพด้านหน้าไม่ค่อยชัดเจนสักเท่าไร เมื่อยิ่งขับรถไปตามถนนเส้นนี้ก็เหมือนว่าจะยิ่งหลงเข้าไปทางที่ไม่คุ้นเคย จู่ ๆ ก็มีลมพัดมาวูบใหญ่เปลี่ยนป้ายทางเลี้ยวที่ชำรุดให้หันผิดทิศทาง จากเดิมที่ถูกต้องจะต้องเลี้ยวรถไปทางขวาก็เปลี่ยนมาเป็นทางด้านซ้ายแทน สักครู่ใหญ่จางหลี่เหอขับรถมาถึงไม่ทันได้สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง เขาจึงหักรถเลี้ยวไปทางซ้ายตามป้ายบอกทางที่ผกผัน ถนนสายรองเส้นนี้บรรยากาศเงียบสงบเพราะไม่มีแม้แต่ไฟข้างทาง เป็นผลทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหวั่นเกรง และเขาก็อยากที่จะวนรถกลับ แต่ก็ทำไม่ได้เลยได้แต่จำใจยอมขับรถไปตามทาง อยู่ ๆ ท้องฟ้าก็แปรปรวน มีลมพัดมาอย่างแรงคล้ายจะมีพายุฝนที่พร้อมจะกระหน่ำตกลงมา แล้วก็มีฟ้าร้องคำรามเสียงดังอย่างน่ากลัว ในขณะที่รถแล่นไปถึงจุดหนึ่งที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่อยู่บริเวณข้างทาง ก็เกิดแสงสว่างวาบที่บนท้องฟ้า มีสายฟ้าฟาดลงมาที่ต้นไม้ใหญ่นั้นจึงทำให้มันหักโค่นลงมาทับรถเล็กที่กำลังแล่นผ่านมาอย่างพอดิบพอดี ‘เปรี้ยง!’ เสียงฟ้าผ่าอย่างรุนแรง จางหลี่เหอเห็นดังนั้นจึงรีบเหยียบเบรกกะทันหันพร้อมกับหักพวงมาลัยหนีเพื่อหลบต้นไม้ที่กำลังจะโค่นล้มลงมา แต่ก็ไม่ทันการณ์ รถยนต์คันเล็กเสียหลักพุ่งประสานกับเสาไฟฟ้า ทำให้คนขับรถบาดเจ็บสาหัส ส่วนเหม่ยอิงที่นั่งมาด้วยกันก็เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ วิญญาณของเธอลอยละล่องหายวับไปพร้อมกับแสงสีขาวที่สว่างจ้าขึ้นราวกับว่าไม่มีเหตุการณ์ฟ้าผ่านี้เกิดขึ้น ตัดภาพมาที่มิติว่างเปล่า วิญญาณของหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติเมาหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เธอถูกปลุกให้ตื่นด้วยไม้เท้าสีขาวจากชายชราผมขาวผู้หนึ่งที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า “ตื่นได้แล้วแม่นางเซี่ย” ชายสูงวัยบอกกับสตรีที่นั่งหลับใหลอยู่ตรงหน้า เหม่ยอิงที่เมาไม่ได้สตินั้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แล้วก็รีบยกมือขึ้นมาบดบังแสงสว่างจ้า แต่พอลืมตาได้เต็มที่ก็รีบหันมองไปรอบบริเวณและเห็นแต่สีขาวสว่างเต็มไปหมด ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป ชายชราที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า “ถึงเวลาของเจ้าแล้ว” เมื่อกล่าวเสร็จ เขาก็เสกวิญญาณของหญิงสาวให้หายวับเข้าไปในมิติอดีตทันที
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม