“ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ”
พยาบาลคนนั้นมองหน้าฉันก่อนจะออกไปจากห้องตามคำสั่งและทันทีที่พยาบาลคนนั้นปิดประตูคุณหมอหน้านิ่งก็หันหน้าเข้าหาฉันด้วยสีหน้าที่จริงจังเอามากๆ ก่อนจะร่ายยาว
“จะไม่ฉีดกันบาดทะยักก็ได้แต่ถ้าหลังจากนี้มีไข้สูง เหงื่อออก หัวใจเต้นเร็ว ความดันเลือดสูง กล้ามเนื้อใบหน้าหดเกร็งเป็นเวลานานหรือกล้ามเนื้อขากรรไกรหดเกร็งจนขากรรไกรค้างหรือ…..กล้ามเนื้อแข็งบริเวณขากรรไกร ท้อง คอ ไหล่ไปจนถึงกล้ามเนื้อหดเกร็งอย่างรุนแรงจนอาจทำให้กระดูกหักและกล้ามเนื้อฉีกขาดหรือแม้แต่กล้ามเนื้อหลังหดจนทำให้หลังค่อมเป็นตะคริวหรือเป็นลมชัก คุณจะมาฟ้องผมทีหลังไม่ได้นะเพราะผมถือว่าผมได้แจ้งอาการคุณหมดแล้ว”
“มันรุนแรงขนาดนั้นเลยหรอคะ”
ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าถ้าฉันไม่ยอมให้เขาฉีดยาฉันอาจจะตายภายในสามวันเจ็ดวันหรือไม่ร่างกายก็อาจพิการไปซีกนึง
“ก็อย่างที่ผมแจ้งคุณจำเป็นต้องฉีดยากันบาดทะยัก”
เขาพูดด้วยท่าทางและสีหน้าที่นิ่งทั้งที่ปกติคนเป็นหมอควรจะยิ้มหรือพูดให้กำลังใจคนไข้ไม่ใช่หรอโดยเฉพาะคนไข้ที่ทั้งสวยและบอบบางอย่างฉัน
“แต่ว่าฉันไม่ถูกกับเข็มฉีดยามาตั้งแต่เด็กแล้วนิคะ”
ฉันงับใบหน้าลงกำมือไว้แน่นจนเริ่มมีเหงื่อออก ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะมางอแงกลัวเรื่องพวกนี้แต่เขาไม่ใช่ฉันเขาไม่รู้หรอกว่าความกลัวมันเป็นยังไง
“ทุกคนมีเรื่องที่ต้องกลัวทั้งนั้นแต่เวลาที่มีเรื่องให้กลัวเราก็แค่เผชิญหน้ากับมันแล้วบอกตัวเองว่าต้องผ่านมันไปให้ได้”
อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาแล้วก็เหมือนฉันถูกสะกดไว้ด้วยสายตาหวานคมของคุณหมอที่กำลังจ้องหน้าฉันเป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้คุยกับฉันในฐานะหมอ
“แล้วคุณหมอเคยมีเรื่องที่กลัวหรือเปล่าคะ”
แวบนึงฉันเห็นว่าสายตาของเขาดูเศร้ายังไงไม่รู้
“ช่วยดึงแขนเสื้อขึ้นให้ผมด้วย”
เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถามก่อนจะหันไปหาอุปกรณ์ที่วางอยู่ด้านข้าง แปปเดียวเขาก็หันกลับมาหาฉันพร้อมกับออร่าความหล่อเหลาที่ทะลุเข้าตาเต็มๆ
“ไม่ต้องกลัวผมรับปากว่ามันจะไม่เจ็บ”
เป็นอีกครั้งที่ฉันถูกสายตาหวานคมของคุณหมอสะกดโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยเขาเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดแขนฉันตั้งแต่เมื่อไหร่
“ถ้ากลัวก็ใช้ไหล่ผมปิดตาไว้”
“คะ”
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองทันทีไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่าเพราะการที่เขาให้ฉันยืมไหล่ก็เท่ากับว่าเขาบอกให้ฉันซบไหล่เขาน่ะสิ
“หลับตาลงสิ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับใบหน้าสุดแสนจะเย็นชาแต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆ ความกลัวมันถึงค่อยๆหายไปทีละนิด
ฉันหลับตาลงตามที่เขาบอกกำมือทั้งสองข้างเอาไว้ด้วย ความกลัว ความตื่นเต้นที่เป็นอยู่ทำให้ฉันต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นจากนั้นฉันก็ค่อยๆ เอาหน้าซบลงไปที่ไหล่ของเขา
ตึ่ก!
ตึ่ก!
ตึ่ก!
ทันทีที่หน้าฉันสัมผัสไหล่กว้างหัวใจมันก็เต้นรัวและเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อนมือที่กำไว้ก็กำแน่นจนเหงื่อออกมากกว่าเดิม กลิ่นน้ำหอมที่อบอวลเข้าจมูกมันแปลกใหม่สำหรับฉันทำไมคนเป็นหมอถึงได้ตัวหอมขนาดนี้นะขืนอยู่แบบนี้ต่อไปมันต้องอันตรายต่อหัวใจฉันมากแน่ๆเพราะตอนนี้เหมือนว่าฉันกำลังถูกคุณหมอกอดทางอ้อมเพราะฉันรู้สึกได้ว่าแขนข้างหนึ่งของเขาอยู่ด้านหลังฉัน
บ้าจริง ทำไมหัวใจมันถึงได้เต้นเร็วขนาดนี้นะ
"เรียบร้อยแล้ว"
ไม่รู้ตัวเลยว่าถูกคุณหมอเจ้าของไหล่อุ่นๆฉีดยาให้ฉันตั้งแต่ตอนไหนรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นนี่แหละ
"ค่ะ"
ฉันอมยิ้มอยู่กับไหล่เขา ถ้าเวลาฉีดยามีไหล่กว้างๆให้ซบแบบนี้ ฉีดอีกสักเข็มก็ยังไหว
"ผมหมายถึงตอนนี้คุณควรเอาหน้าออกไปได้แล้ว"
“อ่อ จริงด้วย"
ฉันเอาหน้าออกมาจากไหล่ของเขา ทั้งเขินทั้งเสียดาย
"หนึ่งอาทิตย์หลังจากนี้คุณต้องล้างแผลทุกวันนะคุณจะไปล้างโรงพยาบาลแถวบ้านหรือจะมาล้าง......"
"ฉันจะมาล้างแผลกับคุณหมอค่ะ"
ฉันให้คำตอบอย่างไม่ต้องลังเลเลยล่ะ
"ถึงจะมาล้างที่นี่ก็คงไม่ได้เจอผมเพราะล้างแผลเป็นหน้าที่ของพยาบาล"
"แต่เมื่อกี้คุณหมอยังล้างแผลให้ฉันเลยนิคะ"
คุณหมอหน้านิ่งอึ้งไปทันทีก่อนจะกลับมาทำหน้าเย็นชาเหมือนเดิม
"ผมก็แค่แสดงความรับผิดชอบเพราะผมทำให้คุณเจ็บ"
"งั้นคุณหมอก็รับผิดชอบจนกว่าฉันจะหายดีไม่ได้หรอคะ"
ฉันมองเขาตาเป็นประกายวาววับ เขาก็มองฉันเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
"ผมจะรับผิดชอบในส่วนของค่ารักษาพยาบาลส่วนเรื่องล้างแผลผมจะฝากพยาบาลที่ฝีมือดีไว้แล้วกัน"
พูดจบก็หันหน้าเข้าหาคอมพิวเตอร์
ชิส์! ผู้ชายอะไรเย็นชาชะมัด
“หมอภีมคะ”
อยู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูเข้ามาแต่ไม่น่าใช่พยาบาลเพราะราศรีดูดีกว่า
“โทษทีค่ะออยไม่รู้ว่าคุณหมอมีแขก”
“ไม่ใช่แขกผมหรอกครับเธอเป็นคนไข้ของผมว่าแต่คุณหมอมีธุระอะไรกับผมหรอครับ”
“อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะออยได้ยินพยาบาลคุยกันว่าคุณหมอแวะเข้ามาออยเลยมาทักทายเฉยๆ ค่ะงั้นออยไปก่อนนะคะ”
แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เปิดประตูออกไป แต่เดี๋ยวนะเมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นเรียกเขาว่าอะไรนะ
“คุณหมอชื่อเล่นชื่ออะไรหรอคะ”
“ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามพวกนี้”
“งั้นคุณหมอก็เลือกระหว่างบอกชื่อกับบอกเบอร์โทร”
ฉันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“ภีม”