“อ้าว คุณหมอวันนี้เลิกงานเร็วเหรอครับ”
“ครับ”
ผมตอบลุงยามที่แกยืนยิ้มให้
“ขี่ระวังๆ หน่อยนะครับเมื่อวานก็มีพวกเด็กแว๊นมันขี่เบียดเลนจนจักรยานของคุณยายร้านค้าตรงข้ามล้มเจ็บหนัก”
ลุงแกเล่าทั้งเป็นห่วงป้าทั้งโมโหให้เด็กพวกนั้น
"ครับลุง”
ผมตอบลุงยามแล้วขี่จักรยานผ่านหน้าแกออกมา เมื่อก่อนนี้ผมขับรถราคาสิบล้านแต่ตอนนี้ผมไม่มีรถแพงๆให้ขับแล้วจะมีก็แค่จักรยานคันหนึ่งที่เอาไว้ขี่ไปท่าเรือเพื่อต่อไปบ้านผม
ตอนนี้ผมอาศัยอยู่ที่บ้านไม้ริมคลองแห่งหนึ่งในละแวกเศรษฐกิจแต่ก็เป็นแค่บ้านไม้หลังเล็กๆ ไม่ได้มีราคาอะไรนอกจากว่าจะขายให้พวกนายทุนซึ่งผมไม่มีทางขายสมบัติชิ้นสุดท้ายไปเด็ดขาด
แต่จะว่าไปผมผูกพันกับบ้านหลังนี้มากกว่าบ้านหลังใหญ่โตที่ถูกยึดไปซะอีกแต่ก่อนครอบครัวผมอาศัยอยู่ที่นั่นผมเกิดและโตที่บ้านหลังนั้นมันเป็นบ้านที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณยายแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วพ่อผมเริ่มมีฐานะมั่นคงธุรกิจไปได้สวยท่านก็เลยซื้อบ้านหลังใหม่ซึ่งก็คือหลังที่ผมบอกว่าถูกธนาคารยึดนั่นแหละครับ โชคดีที่ตอนนั้นแม่ผมไม่ยอมให้ขายบ้านหลังนั้นไม่งั้นวันที่ไม่เหลือสมบัติอะไรติดตัวพวกเราพ่อแม่ลูกก็คงจะไม่มีแม้แต่บ้านให้ซุกหัวนอน
"กลับมาแล้วเหรอคุณหมอภีม"
"กลับมาแล้วครับ"
ผมเข้าไปกอดและหอมแก้มผู้เป็นแม่เหมือนที่ทำทุกวัน บางคนอาจจะอายที่ต้องแสดงความรักกับคนในครอบครัวแต่สำหรับผมไม่เลย ผมจะทำทุกวันให้มีค่ามากที่สุดเพราะผมรู้แล้วว่าชีวิตของคนเราไม่แน่นอน ดูอย่างพ่อผมสิใครจะไปคิดว่าจากนักธุรกิจร้อยล้านที่มีแต่คนนับหน้าถือตาวันหนึ่งจะกลายมาเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่พอไม่มีเงินไม่มีทรัพย์สมบัติก็ไม่มีใครอยากจะคบหา
"วันนี้พ่อทานข้าวเยอะไหมครับ"
ผมนั่งลงถามแม่ที่กำลังนั่งร้อยพวงมาลัยอยู่มันเป็นสิ่งที่แม่ผมได้รับมาจากคุณยายและเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้วันๆหหนึ่งของแม่ผมผ่านไปได้
"ก็เหมือนทุกวันนั่นแหละ"
"งั้นผมไปดูพ่อก่อนนะครับ"
พูดแล้วผมก็เข้ามาหาพ่อในบ้าน
อย่างที่บอกว่าพ่อผมเป็นผู้ป่วยติดเตียงท่านไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตัวเองได้ ผมพยายามหาทางรักษาและไปหาหมอที่ดีที่สุดแต่อาการก็ไม่ดีขึ้นมาหมอทุกคนรวมทั้งผมลงความเห็นว่าที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้เกิดจากอาการป่วยทางใจ
“พ่อต้องทานข้าวเยอะๆ นะครับตอนนี้ผมเก็บเงินได้บ้างแล้วอีกหน่อยบ้านเราก็จะไม่มีหนี้” ผมนั่งลงข้างเตียงบอกท่านอย่างมีความหวัง ถึงธนาคารจะยึดบ้านและทรัพย์สินไปหมดแต่เราก็ยังเป็นหนี้อยู่หลายล้านทุกวันนี้ผมเลยต้องขยันทำงาน ผมรับเคสผ่าตัดทุกเคสจะยากจะง่ายผมไม่เคยเกี่ยงหรือแม้กระทั่งรับแลกเวรกับหมอด้วยกัน หลายครั้งที่ผมไม่มีวันหยุดเพื่อที่ผมจะได้มีเงินมาใช้หนี้ให้หมดเร็วๆ
วันต่อมา
“ผมไปก่อนนะครับ” ผมเข้าไปหอมแก้ม
“วันนี้ไม่เข้าโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอจะไปไหน”
แม่ผมคงเห็นการแต่งตัวเลยเดาออกว่าวันนี้ผมหยุด
“ไปเอารถให้ไอ้เอสครับมันไม่ว่างไปเอา”
ผมนั่งลงแล้วหอมแก้ม
“แม่ว่าภีมซื้อรถสักคันดีมั้ยลูกไปไหนมาไหนจะได้สะดวก”
แม่เคยบอกให้ผมซื้อรถหลายครั้งแล้วแต่ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นเพราะถ้าผมจะเอาเงินไปซื้อรถมาขับผมเอาเงินไปจ่ายธนาคารไม่ดีกว่าเหรอ
“ไม่เป็นไรครับทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไร ผมไปก่อนนะครับเดี๋ยวสาย”
พูดจบผมก็เดินเลียบคลองออกมาซึ่งท่าเรืออยู่ไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่
“ผมมารับรถแทนเพื่อนครับ”
ทันทีที่มาถึงร้านผมก็เดินไปบอกเจ้าของร้าน ที่จริงรถเพื่อนผมไม่ได้เป็นอะไรมันแค่อยากเปลี่ยนนู่นอยากเปลี่ยนนี่ เอาง่ายๆ อยากเสียเงิน
“อ้อ เอสโทรมาบอกผมแล้วล่ะ”
รู้สึกเจ้าของร้านจะเป็นรุ่นพี่ของเพื่อนผมอีกที
พอทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ขับรถออกมาจากร้านผมกะว่าจะขับไปทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลแล้วให้มันไปเอาเอง
อีกด้าน
วันนี้ฉันไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยเพราะต้องทำงานส่งอาจารย์ ฉันออกมาวาดรูปที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งกับยัยมีนอาจารย์สั่งงานเอาไว้ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วและจะครบกำหนดส่งพรุ่งนี้เราสองคนเลยออกมาแต่เช้า
“น้องพอร์ชพี่พรีมขอยืมจักรยานปั่นไปร้านค้าตรงโน้นได้มั้ยคะ”
ฉันนั่งลงถามเด็กประถมคนนึงก่อนหน้านี้เด็กคนนี้เข้ามาคุยกับฉันเราเลยสนิทกันไปเรียบร้อยแล้วเพราะฉันเป็นคนรักเด็กค่ะโดยเฉพาะเด็กผู้ชาย
“ได้ครับพี่พรีมคนสวย”
“เข้าใจพูดนะเนี่ยเราแบบนี้สงสัยพี่พรีมคงต้องเหมาขนมมาทั้งร้าน”
“ดีครับ”
“งั้นไปนั่งรออยู่กับพี่มีนเลยนะเดี๋ยวพี่พรีมรีบกลับมา”
น้องพอร์ชวิ่งไปหายัยมีนฉันก็ปั่นจักรยานออกมาแต่จักรยานมันก็คันเล็กไปหน่อยสำหรับฉันแล้วฉันก็ไม่ได้ปั่นมานานแล้วตอนนี้สภาพฉันปั่นจักรยานเลยไม่ต่างจากเด็กที่พึ่งหัดปั่นใหม่ๆ
“ว๊ายยย!!”
ฉันกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจเพราะทันทีที่ฉันเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นรถคันหนึ่งอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว
โครม!!!
ฉันหักหลบรถคันนั้นทำให้จักรยานกับฉันล้มไม่เป็นท่าแถมก้นฉันยังระบมไปหมดแขนกับขาก็ถลอกปอกเปิก
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
เจ้าของรถหรูลงมาถามอาการฉัน
“ก็เจ็บน่ะสิถามได้ขับรถไม่ดูคนหรือไง”
ทั้งเจ็บทั้งโมโหฉันเลยตอบเจ้าของรถไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่ คอยดูนะฉันจะแจ้งตำรวจจับให้เข็ดโทษฐานที่ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือและทำให้สาวสวยอย่างฉันเจ็บตัว
“ลุกไหวไหมครับ”
แต่พอฉันเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าคนที่ฉันพึ่งโมโหใส่คือคุณหมอสุดหล่อของฉัน โลกกลมหรือพรหมลิขิตไว้เนี่ย
“คุณ”
คุณหมอสุดหล่อมองหน้าฉันอึ้งๆ ตอนนี้เขานั่งอยู่ตรงหน้าฉันใกล้มากๆ ด้วย อร๊ายยย เขินอ่ะ
“คุณหมอ”
น้ำเสียงฉันเปลี่ยนไปทันที เมื่อกี้ใครโมโห ใครจะเอาเรื่อง ไม่มี๊
ระหว่างที่ผมขับรถออกมากำลังจะเลี้ยวออกจากซอยอยู่ๆ ก็มีผู้หญิงปั่นจักรยานปาดหน้ารถทำให้ผมต้องหักหลบกะทันหันแล้วคู่กรณีของผมดันเป็นนักศึกษาอารมณ์ร้ายซะด้วยสิเพราะทันทีที่ผมลงไปถามเธอก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจทั้งที่ตัวเองเป็นคนตัดหน้าผมแท้ๆ
“คุณ…..”
พอนักศึกษาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาผมถึงรู้ว่าเธอเป็นคนเดียวกับที่ผมบังเอิญไปเจอตอนถูกโจรปล้นวันก่อนและเป็นคนเดียวกันกับที่ปวดท้องไปโรงพยาบาลเมื่อวาน
“คุณหมอ”
น้ำเสียงและท่าทีของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เดาจากสายตาที่มอง Ferrari Portofino ราคาเกือบสามสิบล้านของเพื่อนผมคงจะเกิดเปลี่ยนใจกะทันหันเพราะคิดว่าผมเป็นคนมีเงิน
“เจ็บตรงไหนให้ผมพาไปส่งโรงพยาบาลหรือเปล่า”
ผมถามในฐานะคู่กรณีที่ถือว่ามีความผิดร่วมกันและในฐานะของหมอคนหนึ่ง
“เจ็บไปทั้งตัวเลยค่ะคุณหมอถ้างั้นรบกวนคุณหมอพาไปส่งโรงพยาบาลด้วยนะคะ”
เธอส่งสายตาหวานฉ่ำมาให้ผมทำให้ผมเริ่มจะระแวงขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าเธออาจเป็นผู้หญิงประเภทที่ชอบใช้ความสวยของตัวเองอ่อยผู้ชายรวยๆ