Hunting you, I can smell you-alive
Your heart pounding in my head
Watching me, wanting me
จะตามล่าเธอ ฉันได้กลิ่นเธอที่ยังมีชีวิต
เสียงหัวใจเธอมันดังลั่นอยู่ในหัวของฉัน
กำลังมองดูฉัน กำลังอยากได้ฉัน...
ครืนน...
“โบอา ลูกอย่าลืมเอาร่มไปโรงเรียนด้วยละ”
เสียงของแม่ดังขึ้นจากในห้องครัว หลังจากฉันเดินผ่านไป ฉันไม่ได้ตอบอะไรแค่เพียงทำตามคำพูดของแม่ คว้าร่มสีดำคันเล็กติดมือก่อนเดินออกจากบ้านเพื่อไปเรียนตามปกติ
ครืนน ครืนนน
เช้าวันนี้ไม่สดใส ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆฝนและเสียงฟ้าร้องราวกับเป็นการเตือนว่าอีกไม่กี่นาที ฝนจะเทลงมาอีกแล้ว ซึ่งฉันไม่ชอบมันเอาเสียเลย
ฉันรู้สึกดีที่บรรยากาศรอบตัวเย็นสบายเพราะสายฝน แต่เมื่อใดที่ฝนเทลงมา ทั่วทุกพื้นที่จะชุ่มชื้นและชื้นแฉะ และสิ่งที่มักปรากฏตัวหลังฝนตกนั้นก็คงไม่พ้นพวกสัตว์เลื้อยคลานน่าขยะแขยงอย่างพวกอสรพิษ
ต่อให้ไม่ชอบมากเท่าไรก็ตามแต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ในเมื่อเมืองที่ฉันอาศัยมีฝนตกตลอดทั้งปี ซ้ำร้ายบ้านที่อยู่อาศัยยังอยู่ในป่า
อีกเหตุผลหนึ่งที่ฉันเกลียดวันฝนตกก็คือ ฉันมักฝันถึงเรื่องน่ากลัวว่าตัวเองถูกงูนับสิบรุมรัด เขาว่ากันว่าฝันเห็นงูรัดจะได้พบเนื้อคู่ แต่กับฉันไม่ใช่
มันเหมือนเป็นภาพหลอนตอกย้ำให้รู้ว่าทุกวันนี้ที่ต้องกลายเป็นที่รังเกียจของคนส่วนใหญ่มันก็เพราะสัตว์เลื้อยคลานพวกนั้นต่างหาก ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ความฝันพวกนั้นมันเหมือนความจริงมาก
โดยเฉพาะกับสายตาของงูตัวใหญ่สีดำทมิฬในฝัน และเสียงของมัน
‘เธอคือโบอา...ส่วนฉันคือไพธอน พี่ชายของเธอ’
แปะ... แปะ...
ซ่า...
เดินก้าวเท้าออกจากบ้านได้ไม่เท่าไร ฝนก็เริ่มเทลงมาราวกับจะแกล้งกัน ซึ่งมันไม่แปลกอะไร เพราะทั้งชีวิตฉันก็ถูกแกล้งแบบนี้อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว...
จากป่าสนไปโรงเรียนรัฐชื่อดังของเมือง ฉันใช้เวลาในการเดินกางร่มไปไม่ถึง 15 นาที เส้นทางในป่ามักมีความลับซุกซ่อนอยู่เสมอ เพียงแค่เดินลัดเลาะนิดหน่อย มันก็ทำให้เราไปโผล่ยังสถานที่ที่เราต้องการไปเหยียบได้แล้ว
“Hi ! ได้ดูรายการโทรทัศน์เมื่อคืนหรือเปล่า ?”
“ดูสิ มันตลกมาก ๆ เลยนะ ฉันขำจนท้องแข็งไปหมด”
เสียงทักทายของเด็กในรั้วสถานศึกษาเดียวกันดังจอแจไปทั่วทุกสารทิศ เมื่อเท้าก้าวเข้าสู่อาณาเขตของโรงเรียน พวกเขายืนกางร่มเพื่อรอกันและกัน บ้างก็สวมเสื้อกันฝนสีสันสวย ๆ ซึ่งทุกคนล้วนแล้วแต่มีบุคคลที่พร้อมจะเอ่ยปากทักและพูดคุยแก้เหงาเมื่อมาถึงยังที่แห่งนี้ เว้นฉัน...
ไม่มีคำทักทายดี ไม่มีคำพูดสวยหรูหรือการรอคอยเข้าห้องเรียนพร้อมกัน
ที่โรงเรียนแห่งนี้ ‘ฉัน’ มีแค่ ‘ตัวฉัน’ เท่านั้นที่เป็นเพื่อน...
“โอ้วพระเจ้า คุณบราวน์มาสักทีนะ !” แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครทักทายฉันเลยซะทีเดียว
ฉันเงยหน้ามองไปยังต้นเสียงและพบเข้ากับหญิงสาวผิวดำ ฉันไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร รู้แค่ว่าเธอเรียนเกรด 12 เหมือนกันเพียงแต่คนละห้อง แต่เป็นนักเรียนที่เก่งในเรื่องเอ็นเตอร์เทนคนอื่น
“ทายสิว่าวันฝนตกคุณบราวน์พาใครมาคลานยั้วเยี้ยเต็มโรงเรียนของเรา”
เธอก็เป็นอีกคนที่ชอบแกล้งฉันไม่ต่างอะไรจากซานดร้า ชอบตอกย้ำเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วและพวกเขามักรังเกียจสิ่งที่ติดตัวฉันมาอยู่เสมอ
“คุณบราวน์ คุณช่วยพาญาติคุณกลับไปหน่อยได้หรือเปล่า ?” เธอบอกฉันพลางชี้หัวแม่โป้งไปด้านหลังตัวเอง พลอยให้ต้องมองตามและพบว่าอาจารย์พละกำลังช่วยกันจับงูเหลือมตัวใหญ่ใส่ถุงหลายใบเพื่อเอาพวกมันไปทิ้ง
“แค่เธอตัวเดียวพวกเราก็ขยะแขยงกันมากพออยู่แล้ว”
ขณะเดียวกันหูก็ได้ยินคำพูดแดกดันแสดงความรู้สึกของเธอด้วย
“ขอร้องเถอะนะ บอกญาติเธอให้พวกเขากลับไปที อะ...”
ฟึ่บ !
ตึก... ตึก...
ฉันเบื่อที่จะฟังคำพูดพวกนั้น จึงเลือกก้าวเท้าเดินเฉียดไหล่เธอไปไม่ได้ใส่ใจต่อคำพูด แม้ว่าเสียงที่ตามมาคือถ้อยคำต่อว่า
“อะไรของเธอ คิดว่าฉันอยากคุยด้วยมากหรือไง !?”
อย่างที่บอก ฉันไม่ได้สนใจคำพูดแดกดันเหล่านั้น
เพราะในหัวกำลังคิด ว่าทำไมนะ
ทำไมฝนถึงไม่หยุดสักที...
เวลาต่อมา...
ไม่นานเวลาน่าเบื่อตอนช่วงเช้าก็เคลื่อนผ่านไป ยามที่เวลาคาบโฮมรูมแรกมาถึง ฉันนั่งอยู่ริมหน้าต่างหลังห้องเพียงลำพัง โต๊ะเปล่ากับเก้าอี้ข้างกายถูกปล่อยให้ว่างมาแรมปีและมันคงจะวางอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งฉันจบการศึกษาไปจากที่นี่
“เอาละ เงียบหน่อย” เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของคุณ ‘แมทสัน’ อาจารย์ประจำคลาสดังขึ้นก่อนตามมาด้วยเสียงวางแฟ้มการสอนลงบนโต๊ะหน้าห้อง ทำเอาเสียงพูดคุยจอแจของพวกมนุษย์น่ารำคาญคนอื่น ๆ ภายในห้องเงียบลง
ฉันไม่ได้สนใจสิ่งที่คุณแมทสันพูดนัก เพราะอย่างไรมันก็คือการสั่งงานหรือไม่การบอกให้ระวังเรื่องงูเงี้ยวเขี้ยวขออย่างเช่นทุกวัน และเมื่อถึงตอนนั้นฉันก็จะถูกคนอื่น ๆ แกล้งราวกับว่าพวกเขามองเห็นฉันเป็นงูไม่ใช่มนุษย์ปกติ
การเลือกมองเม็ดฝนที่สาดกระทบหน้าต่างเลยเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากกว่าสภาพแวดล้อมในห้องเรียน...
“วันนี้คลาสของเราจะมีนักเรียนย้ายเข้ามาใหม่ 2 คน ผมอยากให้พวกคุณช่วยเป็นมิตรกับเขาหน่อย...”
ฉันได้ยินสิ่งที่คุณแมทสันพูด แต่เช่นเคยไม่ได้คิดจะพูดและไม่คิดจะสนใจนักเรียนใหม่ที่เขาพูดถึงด้วย ยังไงเสีย... ไม่นาน พวกเขาก็ต้องถูกล้างสมองด้วยคำพูดคนอื่น ๆ แล้วมองฉันเป็นตัวประหลาดแบบเดียวกันไปหมด
“ครูส เธอร์แมนครับ เพิ่งย้ายมาจากเมือง Lune town…” ฉันได้ยินเสียงฮือฮาและเสียงกระซิบกรี๊ดกร๊าดของเพื่อนร่วมคลาสผู้หญิงยามเสียงแนะนำตัวของเด็กใหม่ดังขึ้นและรับรู้ได้โดยไม่มองว่าคนแรกเป็นผู้ชาย
ตึก... ตึก... ตึก...
และต่อมาหูก็ได้ยิน... เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของใครคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาและในทุกย่างก้าวของเขาฉันเหมือนยินได้เสียงของงูขู่ดังอยู่ในลำคอ เสียงดังกล่าวใกล้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ก่อนตามมาด้วยเสียงทักท้วงของคุณแมทสัน
“อ้าวนั่น คุณ !” คราวนี้เสียงฮือฮาดังกล่าวดังมากขึ้นกว่าเดิมนัก ราวกับว่าทุกคนกำลังตกใจกับอะไรบางอย่าง พานให้ต้องละสายตากลับไปยังหน้าคลาสเรียนด้วยความสงสัย
ตึก... ตึก...
กึก...
วินาทีที่เบือนสายตากลับไป สิ่งที่ได้เห็นกลับกลายเป็นชายแปลกหน้าตัวสูงราว ๆ เกือบ 180 เซนติเมตรซึ่งเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะเรียนว่างเปล่า ด้านหน้าฉันพอดิบพอดี
เขาแต่งกายด้วยเสื้อยืดกับกางเกงยีนขาเดฟขาดๆ สีดำสนิททั้งตัว โดยสวมเสื้อหนังคลุมทับอีกชั้น ดูกลมกลืนกับเรือนผมสีมะเดื่อซอยสั้นไล่ระดับเป็นทรง หากแต่ตัดกับนัยน์ตาสีน้ำข้าวขาวใสราวกับอัญมณี
ทันทีที่เรามีโอกาสได้สบสายตาต่อกัน ริมฝีปากหยักลึกได้รูปก็กระตุกยิ้มคล้ายกับเป็นการทักทาย ก่อนตามมาด้วยคำพูดเสียงเย็นเยือกและฟังดูเฉื่อย
“ขอนั่งด้วยนะ...โบอา”
เขาไม่ได้รอฉันเอ่ยปากตอบ แต่ใช้มือดึงเก้าอี้ที่เว้นว่างอยู่เลื่อนออก ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงท่ามกลางสายตาของคุณแมทสันและคนอื่น ๆ ภายในห้อง ที่สำคัญคนตัวสูงดูไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างเลยแม้แต่นิด เพราะนัยน์ตาสีสวยเหมือนอัญมณีคู่นั้นเอาแต่จับจ้องมาที่หน้าฉันราวกับเป็นสิ่งเดียวที่เขามองเห็น
“แฮ่ม ๆ... ผมว่าคุณลืมแนะนำตัวนะเด็กใหม่” แต่เมื่อเสียงของคุณแมทสันกระแอมขัดขึ้น นัยน์ตาสีสวยคู่นั้นก็เบี่ยงกลับไปยังหน้าคลาสเรียนทันที ตอนนี้ทุกเสียงภายในห้องเงียบลงราวกับว่ากำลังรอคอยการแนะนำตัวจากเขาแต่เพียงเท่านั้น
“ธอน เฮนเลย์…” เสียงเข้มหากแต่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดเอ่ยชื่อตัวเองเสียงเย็น เขาทำเพียงเท่านั้นและเบือนสายตากลับมายังฉันอีกครั้งอย่างสนอกสนใจ จนเกิดเป็นเสียงซุบซิบของเพื่อนร่วมห้อง
ฉันเกลียดการตกเป็นที่พูดถึงเลยเลือกเลื่อนสายตามองสายฝนนอกกระจกเพื่อปิดโสตประสาทการรับรู้ทั้งหมดลง แม้ว่าหูจะได้ยินเสียงคุณแมทสันกำลังจัดแจงบอกเด็กใหม่อีกคนให้หาที่นั่ง แต่ขณะเดียวกันฉันก็ยังรู้สึกถึงการถูกมองจาก เฮนเลย์ นักเรียนที่ย้ายเข้ามาใหม่เช่นกัน
รู้สึกแปลกยามมองตอบนัยน์ตาสีสวยคู่นั้น รู้สึกเหมือนฉันเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน
แต่พอนึกกลับนึกไม่ออก
ฟึ่บ...
“เฮือก !”
ตึง !
ฉันสะดุ้งเฮือกจากภวังค์ความคิด รีบลุกพรวดจากที่นั่งจนเกิดเสียงดัง เมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างสัมผัสแตะบริเวณข้างแก้ม สายตาตวัดมองไปยังต้นต่อของความรู้สึกดังกล่าว ก่อนพบว่ามันคือปลายนิ้วเย็น ๆ ของเฮนเลย์ที่พยายามเอื้อมเข้ามาหาพร้อมนัยน์ตาคู่เดิมและความรู้สึกแปลก ๆ ซึ่งฉันกำลังถูกนัยน์ตาสีอัญมณีคู่สวยสะกดให้มองอยู่อย่างนั้น...
“เป็นอะไรไปคุณบราวน์” รู้สึกตัวอีกที หูก็ได้ยินเสียงของคุณแมทสันถามขึ้น ก่อนพบว่า ตอนนี้ตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนในห้องกลางชั่วโมงเลข
ฉันเม้มปากลงเล็กน้อยอย่างนึกประหม่ารีบละสายตาไปจากเด็กใหม่ก่อนอย่างรีบร้อนและให้คำตอบคุณแมทสันกลับไป
“ปะ เปล่าค่ะ...” เพื่อเลี่ยงการตกเป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ ฉันเลยทิ้งตัวนั่งบนที่ของตัวเอง หยิบหนังสือกับสมุดสำหรับวิชาที่กำลังเรียนขึ้นมากางเพื่อเตรียมจด แต่...
“ผมมันปรกหน้าน่ะ...” ตัวต้นเหตุของความตกใจดันพูดขึ้นหน้าตาเฉย เสียงเฉื่อยชาเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มิหนำซ้ำยังพยายามยื่นมือมาหาเป็นหนที่สอง จนต้องเอี้ยวตัวหลบและพูดเบรกสิ่งที่เขาจะทำลง
“ขะ ขอบใจเฮนเลย์ ฉะ...ฉันจัดการเองได้” ว่าแล้วมือข้างถนัดก็รีบจัดแจงทัดผมเพ้าของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจับปากกาตั้งท่าจดสิ่งที่อยู่บนกระดานไวต์บอร์ดเบื้องหน้า โดยเลี่ยงที่จะสนใจหรือผูกมิตรกับเขาอีก
แต่ใช่ว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เขาหยุดวุ่นวายกับฉันลง...
“ธอน...” เฮนเลย์เอ่ยขึ้นเสียงเอื่อยติดกระซิบ จนต้องเหลือบมองเขาอีกครั้งจากทางหางตา และพบว่าอีกฝ่ายกำลังพูดกับฉันอยู่
“เรียกธอนสิ...โบอา”
“อ อื้อ...” ที่น่าตกใจก็คือเขารู้ชื่อฉันได้โดยไม่จำเป็นต้องปริปากถามสักคำ
ไม่สิ ! ไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย ก็ในเมื่อเรื่องราวตอนเกิดของฉันเป็นที่พูดถึงไปทั่วอยู่แล้ว แม้ไม่บอก เขาก็น่าจะรู้อยู่
พอรู้สึกแบบนี้ ลึก ๆ ก็เกิดคำถามขึ้นมา ว่าเขาจะรู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงฉันอย่างที่คนอื่นรู้สึกบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงยังกล้าคิดจะแตะตัวและยอมพูดคุยด้วย ต่างจากคนอื่น ๆ คิดแล้วมันก็อดแอบลอบมองเสี้ยวหน้าของเด็กใหม่ไม่ได้ และพบว่าตอนนี้เขาไม่ได้มองฉันอย่างตอนแรกอีกแล้ว แต่กำลังหันมองไปรอบตัวราวกับสนอกสนใจ แต่ไม่นานหรอก...
“คุณเฮนเลย์ !” เสียงของคุณแมทสันก็ดังขึ้นอีก ขัดบรรยากาศความเงียบในชั้น พานให้ฉันซึ่งแอบลอบมองเสี้ยวหน้าคนถูกเรียกรีบก้มหน้ามองหน้ากระดาษสมุดว่างเปล่าของตัวเองทันที
“คุณมองอะไรอยู่คุณเฮนเลย์ ?” ถึงกระนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเขายามถูกคุณแมทสันเรียก ก่อนต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ในสิ่งที่คนถูกถามให้คำตอบออกมา
“มนุษย์...”