“คุณมองอะไรอยู่คุณเฮนเลย์?” ถึงกระนั้นฉันก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้าเขายามถูกคุณแมทสันเรียก ก่อนต้องรู้สึกเซอร์ไพรส์ในสิ่งที่คนถูกถามให้คำตอบออกมา
“มนุษย์...”
คำตอบเฉื่อยเฉยอย่างคนเถรตรงทำเอาเสียงหัวเราะของคนร่วมคลาสดังรวนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน จนคุณแมทสันต้องใช้แปรงลบกระดานเคาะไวท์บอร์ดแทนการสั่งให้ทุกคนเงียบ ก่อนเอ่ยแทรกความเงียบด้วยเสียงดุดัน
“คุณยังไม่มีหนังสือเรียนใช่ไหมคุณเฮนเลย์”
คราวนี้คนถูกถามไม่ตอบ เขาเอาแต่นั่งนิ่งจ้องตอบสายตากับคุณแมทสันกลับไป ด้วยท่าทางที่เหมือนกับว่าเขากำลังยียวนกวนประสาท มันเลยพลอยให้นักเรียนบางคนซึ่งเลือกจะมองมายังเขาหลุดหัวเราะอย่างสุดจะกลั้น
แหงล่ะ... ก็คุณแมทสันน่ะ ทั้งดุ ทั้งเขี้ยว แถมยังเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัว
“คุณบราวน์ ถ้าคุณมีน้ำใจรบกวนคุณแบ่งปันหนังสือให้คุณเฮนเลย์ดูด้วยได้หรือเปล่า?”
“ค่ะ ได้ค่ะ!” สิ้นเสียงรับคำ คนตัวใหญ่ที่เวลานี้ตกเป็นจุดสนใจก็รีบกระชับมือจับเก้าอี้กระเถิบเข้ามาใกล้ทันทีแบบไม่ต้องรอคำสั่ง
กึก...
เขาเข้ามาใกล้มากจนแขนของเราเบียดกัน รู้สึกได้ว่าลมหายใจร้อนๆ ของเขาเป่ารดใส่ข้างแก้มได้ชัดเจน เมื่อตัดสินช้อนตาเหลือบมอง ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายรีบหลุบตาลงไปยังตำราเรียนเสียเอง เพราะพบว่านี่เป็นหนที่สองแล้วที่ถูกนัยน์ตาสีสวยคู่นั้นมอง แถมยังมองจากระยะที่ใกล้มาก...
ไม่ชินเลย...
ไม่ชินกับการถูกนัยน์ตาคู่นั้นจ้องมองอย่างสนอกสนใจแบบนี้เลย...
ถึงจะรู้สึกอึดอัดกับการต้องอยู่ใกล้ชิดกับเด็กใหม่อย่างเฮนเลย์ตลอดคาบเช้า แต่เมื่อถึงเวลาพักกลางวันทุกอย่างก็สิ้นสุดลง นักเรียนคนอื่นๆ ภายในห้องต่างพากันจับกลุ่มเก็บข้าวของของตนลุกออกจากที่นั่ง คงมีเพียงแค่ฉันที่ไม่ได้รีบได้ร้อนอะไรนัก และเพราะความไม่รีบร้อนนี่แหละฉันจึงมักถูกแกล้งอยู่บ่อยๆ
“เฮนเลย์~” เสียงแหลมเล็กของซานดร้าเอ่ยดังทักขึ้น เรียกความสนใจจากสายตาของผู้ถูกเรียกได้เป็นอย่างดี เหมือนที่บอกซานดร้าเป็นสาวป๊อบ อีกทั้งยังเป็นสมาชิกชมรมเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียน ไม่แปลกอะไรที่เสน่ห์และความสวยของผู้หญิงผิวขาวผมบลอนด์รับนัยน์ตาสีอ่อนจะดึงดูดเพศตรงข้าม
“รู้ทางไปแคนทีนหรือยัง ฉันพาไปเอามะ?” เธอใช้วิธีการพูดแบบเป็นกันเองในการเข้าหาผู้อื่น ซึ่งมันมักได้ผลทุกครั้ง หากแต่คราวนี้ดันต่างไปเมื่อคนถูกถามไม่ตอบแต่กลับหันมาสะกิดฉันแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเฉื่อยเฉยเช่นเดิม
“รู้ทาง...ไปแคนทีนหรือเปล่า” ฉันทำหน้านิ่งเมื่อถูกเขาถามแบบนั้น ไม่ใช่เพราะรู้สึกตกใจที่ถูกถาม แต่เพราะเสียงของเขายามเอ่ยออกมานั้น ฉันคล้ายกับได้ยินเสียงขู่ในลำคอคล้ายกับพวกอสรพิษรอดดังออกมาด้วยต่างหาก
แปลก เพราะฝันบ้าๆเมื่อคืนแน่ๆ...
และเมื่อรู้สึกตัว สายตาจึงรีบเลื่อนมองไปยังใบหน้าสวยๆ ของใครอีกคนที่เวลานี้กำลังบึ้งตึงคล้ายกับไม่ชอบใจที่ถูกเมิน ลำพังแค่การถูกหาเรื่องแกล้งแต่ละวันมันก็น่ารำคาญพอแล้วจึงไม่อยากมีปัญหากับซานดร้าไปมากกว่านี้ ดังนั้นเลยตัดสินใจยัดข้าวของของตัวเองทั้งหมดลงเป้สะพายหลัง ลุกออกจากที่นั่งอย่างรีบร้อน โดยไม่ลืมให้คำตอบเขากลับไปตามมารยาท
“ถะ ถามคุณคอร์ชดูแล้วกัน ฉันไปก่อนนะ”
ฉันก็หอบข้าวหอบของของตัวเองเดินก้มหน้าไม่พูดไม่จากกับใคร ไปตามโถงทางเดิน สวนนักเรียนคนแล้วคนเล่า เพื่อพาตัวเองออกไปสู่พื้นที่ที่เงียบสงบ
สำหรับคนไม่มีเพื่อนสักคนตู้กดเครื่องดื่มกับขนมปังคือทางเลือกที่ดีที่สุดมากกว่าจะพาร่างกายซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับเข้าไปยังที่ที่คนพลุกพล่านอย่างแคนทีน
ช่วงพักกลางวันขอแค่มีน้ำแร่เย็นๆ สักขวดกับขนมปังสักก้อนก็เพียงพอแล้ว...
ตึก... ตึก...
ฉันพาตัวเองเดินลัดเลาะมายังสนามบาสเก่าด้านหลังโรงเรียน เพราะบริเวณนี้ค่อยข้างเงียบและไม่ค่อยมีผู้คนมาใช้บริการสนามบาสกลางแจ้งแห่งนี้เท่าไหร่ นักเรียนส่วนใหญ่แห่กันไปใช้สนามกีฬาในร่มที่เพิ่งสร้างใหม่กันหมด ที่ตรงนี้เลยมักตกเป็นที่สำหรับคนไร้เพื่อนอย่างฉันใช้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ
สายตากวาดมองหาที่นั่งดีๆและแห้งสักที หากแต่สายตาดันสะดุดเข้ากับงูเหลือมสีอ่อนตัวเล็กซึ่งกำลังนอนขดตัวอยู่บนม้านั่งที่เป็นเป้าหมายเสียได้
แถมในหัวยังได้ยินเสียงของมัน...
‘Ssss…ไงโบอา มานั่งด้วยกันสิ’ ฉันแสยะปากอย่างนึกขนลุกให้กับคำเชิญชวนดังกล่าว มันคงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่คนส่วนใหญ่รู้สึกต่อฉันนั่นแหละ
เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงได้ไม่ชอบวันฝนตก อีกอย่างต่อให้จะฟังสิ่งที่สัตว์พวกนี้พูดเข้าใจ ก็ใช่ว่าอยากจะญาติดีกับพวกมันซะที่ไหน ยิ่งเมื่อคืนฝันเรื่องน่ากลัวด้วยแล้ว ฉันก็ยิ่งอยากพาตัวเองหนีไปให้ไกล
เมื่อคิดแบบนั้นฉันจึงตัดสินใจหันหลังโดยยังคงปรายตาเหลือบมองไปยังงูเหลือมตัวเดิม ซึ่งดูคล้ายว่ามันกำลังมองตอบสายตากลับมาเช่นกัน ทว่า ความรีบร้อนทำฉันซึ่งไม่ทันระวังตัวหันไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างเต็มแรง
ฟึบ! ตุบ!
“ขอโทษ พอดีว่าฉัน...” ฉันรีบก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แม้จะเดาได้ว่าเสียงที่ตอบรับกลับมาจะเป็นการต่อว่า แต่เหมือนว่าครั้งนี้ฉันคิดผิด เมื่อคนตรงหน้าไม่ปริปากพูดแดกดันให้ได้ยินสักวลี กลับกัน เขายังเป็นฝ่ายใช้มือเลื่อนมาจับไหล่ฉันพร้อมทั้งปัดฝุ่นบริเวณบ่าให้อย่างอ่อนโยนคล้ายกับเวลาแต่งตัวตุ๊กตา
ปฏิกิริยาตอบรับที่ต่างจากสิ่งที่เคยเจอ ทำฉันรีบเงยหน้าขวับมองบุคคลตรงหน้าอย่างทันควัน ก่อนต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาคือ
“เฮนเลย์...”
บอกตามตรง ฉันไม่ได้ตกใจที่คนถูกชนเป็นเขา แต่ตกใจที่เห็นเขายืนอยู่ในระยะประชิดขนาดนี้ ทั้งที่ฉันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครก้าวตามหลังมาแถวนี้เลยต่างหาก กลับกัน เจ้าของชื่อดันขยับยิ้มรับใจดี นัยน์ตาคู่เดิมนั่นก็คล้ายกับมีมนต์สะกดให้นิ่งไปชั่วขณะ ยามเผลอสบตาทุกครั้ง
“เจอสักที...หาตัวตั้งนาน...” เขาใช้ปลายนิ้วเกี่ยวปรอยผมยุ่งซึ่งตกลงมาปรกหน้าไปทัดข้างหูให้อย่างถือวิสาสะ
แววตาของเฮนเลย์ดูมีความสุขยามที่ได้ทำแบบนั้น มันคือแววตาที่ฉันไม่เข้าใจความหมาย เขาไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจเหมือนอย่างที่คนอื่นๆ ทำ ตรงกันข้าม เหมือนเขาจงใจที่จะเข้าใกล้และพยายามแตะเนื้อต้องตัวฉันอยู่ตลอดเวลามากกว่า
“ผมสีสวย ทำไมยุ่งแบบนี้ล่ะ โบอา...” อีกครั้งที่ชายหนุ่มตรงหน้าเอ่ยขึ้น พร้อมทั้งทำท่าจะเอื้อมมือมาแตะศีรษะฉันเป็นหนที่สอง ฉันจึงเอี้ยวตัวหลบฝ่ามืออุ่นตรงหน้า พร้อมทั้งหาข้อแก้ตัวเพื่อไม่ให้สิ่งที่แสดงออกดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
ฟึ่บ!
“อ่า...ขอโทษนะ พอดีฉันรีบ”
“...รีบไปไหน?” เสียงของเฮนเลย์เวลานี้ดังชัดกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนเสียอีก เสียงเขายานเฉื่อยเหมือนคนใจเย็น แถมให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียยิ่งกว่าความเย็นจากขวดน้ำแร่ที่ถืออยู่ในมือเสียอีก
“ฉันกำลังจะไปหาที่นั่งพักน่ะ พอดีที่ประจำมันมีงูขดอยู่...” อีกแล้ว พอสบเข้านัยน์ตาคู่สวยตรงหน้า ความรู้สึกแปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นในอก
ใจฉันกำลังเต้นแรงไม่ใช่เพราะความหวั่นไหวกับรูปร่างหน้าตาของผู้ชายตรงหน้า แต่ลักษณะอาการมันคือความรู้สึกเดียวกับที่เกิดในความฝัน วินาทีที่ร่างกายถูกงูตัวน้อยใหญ่รุมบีบรัดร่างกายจนรู้สึกหายใจไม่ออกต่างหาก เพื่อเลี่ยงอาการเหล่านั้นและหยุดนึกถึงฝันน่ากลัวนั่นลง ฉันจึงรีบชิงหาทางปลีกตัวออกไปให้ห่างจากนัยน์ตาสีสวยคู่ดังกล่าว
“ขอตัวก่อนนะ...อะ” แต่เหมือนเฮนเลย์จะไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้น
หมับ!
ทั้งที่น้ำเสียงฟังดูใจเย็นและเอื่อยเฉื่อย หากแต่ไม่ใช่กับร่างกายที่ขยับคว้าแขนฉันไว้อย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน บนดวงหน้าคมคายยังคงรอยยิ้มไว้ ส่วนสายตามองผ่านฉันไปยังเก้าอี้ด้านหลัง
จ้องอยู่อย่างนั้นเพียงครู่สั้นๆ จึงยอมลดสายตากลับมายังฉันเป็นหนที่สองแล้วเอ่ยขึ้น
“ม้านั่ง...มันว่างนี่...” ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น ฉันก็รีบเหลียวหลังขวับมองไปยังม้านั่งตัวที่ว่าทันทีด้วยความตกใจ แล้วต้องพบว่างูเหลือมตัวเล็กซึ่งเคยขดอยู่บนนั้น ตอนนี้มันได้เลื้อยหายไปจากม้านั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ตะ แต่เมื่อกี้งูตัวนั้นมัน...อะ” น้ำเสียงตกอกตกใจถูกทำให้เงียบลงเมื่อคนฟังเปลี่ยนมันเลื่อนมาใช้โอบกอดตัวฉันไว้เพียงวงแขนเดียว และเริ่มก้าวเท้าลากดึงฉันให้เดินถอยหลังกลับไปยังเก้าอี้ตามแรง
“นี่จะทำอะไร ปล่อยนะ!” ฉันไม่เคยชินกับการอยู่ใกล้ชิดใคร ไม่เคยแนบชิดกายกับผู้ชายคนไหนมาก่อนนอกจากพ่อ ร่างกายจึงแสดงปฏิกิริยาต่อต้านการกระทำของอีกฝ่ายทันที ทั้งที่เฮนเลย์ไม่ได้ตัวใหญ่มากเลยแท้ๆ แต่พลังการกอดรัดตัวฉันจากวงแขนแกร่ง แน่นและรุนแรง ไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกในความฝันเลยสักนิด
“เฮนเลย์หยุดนะ!” ฉันปรามเขา แต่อีกฝ่ายก็ใช่ว่าจะสนใจ สุดท้ายเฮนเลย์ก็ลากพามายังม้านั่งตัวประจำจนได้
ฟึ่บ! ตุบ!
“เรียกธอนสิ...โบอา” มิหนำซ้ำเขายังพูดเหมือนไม่ได้ฟัง ที่สำคัญสำเนียงการพูดที่มักจะลงท้ายด้วยชื่อฉันอย่างสนิทสนมนั่นก็ฟังดูคุ้นหู...
“โอเคธอน...” คำพูดซึ่งเหมือนใจเย็นกับทุกสิ่งทำฉันยกมือสองข้างขึ้นทั้งที่ยังถือขวดน้ำแร่และขนมปังไว้แสดงการยอมแพ้ “ฉันอยากไปจากตรงนี้ ขอฉันลุกออกไปหน่อยได้ไหม?”
“ไม่ได้...” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าคนตอบ ซึ่งขัดกับน้ำเสียงเฉื่อยเฉย ภาพลักษณะและการแสดงออก มันเริ่มทำให้ฉันตระหนักได้ว่า นี่อาจจะเป็นการแกล้งรูปแบบใหม่ตามประสาเด็กใหม่ก็ได้ บางทีซานดร้าอาจจะพูดอะไรเกี่ยวกับฉันในช่วงที่เธออยู่กับเฮนเลย์สองต่อสอง สุดท้ายทุกคนก็เป็นเหมือนกันหมด...
“นายต้องการอะไร?” ฉันขมวดคิ้วถามอย่างใจเย็น แม้ลึกๆจะรู้สึกไม่ชอบการถูกแกล้งแบบนี้เอาเสียเลยก็ตามที แต่ก็ยังหวังว่าคำถามเมื่อครู่มันจะช่วยทำให้เขาหยุดแกล้งฉันตามคำยุคนอื่นสักที แต่ก็เปล่า...
“พี่ต้องการ โบอา...” เขาให้คำตอบตามสิ่งที่ถูกถามคล้ายจงใจยียวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาจงใจรุกแกล้งหนักข้อขึ้น ด้วยการโน้มลำตัว เคลื่อนใบหน้าหน้าลงมาหาอย่างรวดเร็ว พลางทาบมือลงกับที่วางแขนของม้านั่งแทนหลักยึด
“อะ...”
กึก!
ระยะที่ใกล้กันจนเหลือระยะห่างแค่ลมหายใจ ราวกับสะกดทุกอย่างรอบตัวให้เคลื่อนไหวช้าลง จากที่ว่าเห็นนัยน์ตาสีอ่อนคู่นั้นชัดอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งชัดมากขึ้นไปอีก สายตาเหมือนถูกสะกดให้มองลึกเข้าในนัยน์ตาเรียวรีเบื้องหน้าอยู่อย่างนั้น จนวูบหนึ่งที่ในหัวปรากฏภาพของงูตัวใหญ่สีดำในความฝันเจนชัดเข้ามาในความคิด
ภาพของงูตัวดังกล่าวกำลังใช้ลำตัวบีบรัดร่างกายฉันไว้ขณะที่มันใช้ลิ้นสองแฉกน่าขยะแขยงตวัดผ่านข้างแก้มไป เฉกเช่นเดียวกับตอนนี้...
“เฮือก!” ตอนที่เฮนเลย์กำลังกระทำแบบเดียวกับที่อสรพิษน่าตัวนั้นเคยทำ หากแต่มันไม่ใช้ลิ้นสองแฉกของสัตว์เลือดเย็นแต่เป็นลิ้นนุ่มชื้นแฉะของสัตว์เลือดอุ่นอย่างเช่นมนุษย์
โดยเจ้าของเรียวลิ้นร้อนดังกล่าวได้ทิ้งเสียงกระซิบสั้นๆ ข้างหูไว้เพียงแค่ว่า
“วันนี้กลับบ้านกับพี่นะ โบอา...”