บทที่ 1
‘One day, On my 'NEW LIFE'
เคยฟังนิทานเรื่องของผู้หญิงกับงูหรือเปล่า ?
มันคือเรื่องเล่าที่ใครต่อใครเล่าให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยหลายพันปี บ้างว่ามันคือนิทานปรัมปรา บ้างว่ามันคือตำนาน
หากแต่บ้างก็ว่ามันคือเรื่องจริง...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสองสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันคู่หนึ่ง ได้พากันย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในป่าหลังจากพิธีแต่งงานภายในโบสถ์สิ้นสุดลง พวกเขาสร้างบ้านไม้หลังเล็กๆ สำหรับพักอาศัย มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับฝ่ายสามีซึ่งมีอาชีพเป็นถึงนายพรานและคนตัดไม้ อีกทั้งเขายังสร้างแปลงผักกับสวนดอกไม้เล็ก ๆ ไว้ให้ฝ่ายภรรยา เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกว่าการพักอาศัยภายในป่าสนชื้นแห่งนี้น่าเบื่อจนเกินไป
พวกเขาอาศัยอยู่กินด้วยกันท่ามกลางธรรมชาติและร่มเงาของป่าสนกว้างใหญ่ จนเวลาล่วงเลยไปเกือบ 3 ปี ความเป็นกังวลก็เริ่มเกิดขึ้นกับทางฝ่ายภรรยา ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร เธอก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้สักที
หญิงสาวพยายามที่จะให้กำเนิดบุตรอยู่หลายต่อหลายครั้ง แม้ว่าในทุกครั้ง ความพยายามที่พวกเขาตั้งใจสร้างมาจะล้มเหลว ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังพยายามต่อไปจนในวันหนึ่ง...
ความเบื่อหน่ายในสถานที่เดิม ๆ ทำให้ฝ่ายภรรยาตัดสินใจออกไปเดินเล่นรับลมนอกตัวบ้าน ในช่วงที่สามีเข้าไปทำมาค้าขายของป่าในเมือง ด้วยความเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์สวย ๆ รอบด้าน ทำให้หญิงสาวก้าวเท้าเดินผ่านต้นสน ต้นแล้วต้นเล่า เดินออกห่างจากบ้านมาไกลเรื่อย ๆ และหยุดเท้าลงที่ต้นโอ๊กขนาดใหญ่ ดูแปลกแตกต่างจากสิ่งที่ควรอยู่ในป่าสนโดยสิ้นเชิง
อาการเหนื่อยล้า หลังจากเดินเที่ยวมาเป็นเวลานาน ทำให้หญิงสาวตัดสินใจนั่งพักลงบริเวณต้นไม้ประหลาดต้นนั้น แม้ว่านัยน์ตาคู่สวยยังคงกวาดเชยชมธรรมชาติรอบกายไปเรื่อยเปื่อย
“ถ้ามีลูกได้ก็คงดีน่ะสิ...” เธอพึมพำออกมาแบบนั้นท่ามกลางความร่มรื่นของธรรมชาติ พลางถอนหายใจเมื่อรู้สึกว่ามันคงเป็นไปได้ยาก ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังภาวนาต่อคนบนสวรรค์ที่หน้าต้นโอ๊กใหญ่ “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าโปรดเห็นใจลูกด้วย ลูกปรารถนาที่จะให้กำเนิดบุตรสักคน ลูกสัญญาว่าลูกจะเลี้ยงดูเด็กคนนั้นอย่างดี...”
สิ้นถ้อยคำขอ สายลมเบา ๆ ก็เริ่มพัดผ่านไปทั่วบริเวณที่หญิงสาวนั่งพัก พื้นหญ้าลู่ไปตามความแรงของลม ราวกับว่าพระเจ้ากำลังรับฟังคำขอจากริมฝีปากบางซึ่งปรารถนาจะมีบุตรมาชั่วชีวิต ความเหนื่อยล้าจากการเดินชมนกชมไม้มาเป็นเวลานาน เมื่อเจอเข้ากับสายลมเย็น ๆ ในช่วงสายของวัน มันเลยพลอยให้หญิงสาวซึ่งนั่งพักเหนื่อยรู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะงีบหลับไปที่ใต้ต้นโอ๊กยักษ์...
“แล้วยังไงต่อซานดร้า !?” เสียงหวีดด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนร่วมคลาส ทำฉันละสายตาจากตำราเรียนในมือเหลือบมองพวกเธอเล็กน้อย ก่อนพบว่า ‘ซานดร้า คอร์ท’ หญิงสาวหน้าตาสะสวยวัยเดียวกันกำลังมองฉันกลับมาเช่นกัน
ริมฝีปากเคลือบสารลิปสติกสีสดเหยียดยิ้มคล้ายกับชอบใจ พลางเบือนสายตากลับไปยังสีหน้าอยากรู้ของเพื่อนสาวซึ่งนั่งรายล้อมรอฟังนิทานที่ใคร ๆ ในเมืองต่างพูดถึง
“ตอนที่ผู้หญิงคนนั้นหลับ บังเอิญมีงูตัวหนึ่งเลื้อยเข้าไปขดอาศัยในร่างกายของผู้หญิงคนนั้นจากทางช่องคลอดน่ะสิ แถมยังวางไข่ไว้ใบหนึ่งก่อนจะเลื้อยออกไป...” ซานดร้าจงใจหยุดการเล่าเรื่องลง เหลือบมองมายังฉันอีกครั้งโดยเปิดโอกาสให้เพื่อนสาวของตนซึ่งสนอกสนใจกับเรื่องที่เธอเล่าเอ่ยปากต่อว่า
“อี๋...ขนลุกจัง”
“แล้วยังไงต่อล่ะ ?” จนกระทั่งมีคนเร่งเร้าขึ้นด้วยความอยากรู้ คนถูกเร่งถึงเริ่มบดริมฝีปากพูดโดยยังคงสายตามายังฉัน
“ไม่นานผู้หญิงคนนั้นก็ท้องขึ้นมาจริง ๆ เธอตั้งท้องจนครบ 9 เดือน แต่ในวันที่คลอดเด็กคนนั้นทุกคนกลับต้องช็อก เพราะเด็กทารกเพศหญิงที่เกิดออกมา ดันมีงูตัวหนึ่งเลื้อยรัดคอออกมาด้วย”
“อี๋...เพราะไข่งูใบนั้นแน่เลย ขยะแขยงจนขนลุกไปหมดแล้ว”
“อะอ๋า !” ซานดร้าส่งเสียงขัด คราวนี้เธอไม่ได้มองฉัน แต่เลือกที่จะกวาดตามองหน้าเพื่อนตัวเอง พร้อมทั้งเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่าธรรมดานะจ๊ะ ถ้าไม่เชื่อลองหันไปถาม…”
อีกครั้งที่ซานดร้าจงใจเงียบลงช่วงท้ายประโยคใช้เพียงสายตาเหลือบมองมายังฉัน ผู้หญิงที่ไม่มีจุดเด่นอะไรสักอย่าง ไม่ได้เป็นที่จดจำของใครจนได้รับฉายาว่า ‘นังเฉิ่ม’ ประจำโรงเรียนไฮสกูลที่ศึกษาอยู่
มันคือการแกล้งกันเหมือนอย่างทุกวันที่ต้องเจอ โดยเฉพาะกับเรื่องที่ซานดร้าเล่าให้ใครต่อใครฟัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรนัก แม้ว่าเธอจงใจเล่าเรื่องดังกล่าวต่อหน้าแบบนี้ก็ตาม เพราะเรื่องราวของหญิงสาวกับงูที่ได้ยินนั้น ทุกคนในเมืองล้วนแล้วแต่เล่ากันปากต่อปากจนกลายเป็นเรื่องปกติ พวกเขาตั้งชื่อเรื่องเล่านี้ว่า ‘BOA’ เหมือนดั่งชื่อของทารกหญิงในเรื่อง...
ส่วนเหตุผลที่ซานดร้าเลือกที่จะเงียบเสียงและใช้สายตามองมายังฉันเพื่อให้คนอื่นมองตามมาด้วยความรู้สึกรังเกียจก็คงเป็นเพราะ เด็กทารกเพศหญิงในเรื่องที่เธอกำลังพูดถึงมันก็คือ ‘โบอา บราวน์’
หรือตัวฉันเอง...
แม้ว่าการเกิดของฉันจะเป็นที่พูดกันปากต่อปากจนกลายเป็นที่พูดถึงของคนในเมือง แต่อย่างที่บอกข้างต้น ฉันก็ยังเป็นฉัน โบอา นังเฉิ่มใบหน้าตกกระ ไร้เสน่ห์ดึงดูดหรือเป็นที่น่าสนใจของเพื่อนวัยเดียวกัน ซ้ำร้ายเรื่องที่ผู้คนเล่ากันปากต่อปากยังทำให้บางคนรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงฉันที่ต้องอยู่ในครรภ์มารดาตลอด 9 เดือนกับงู
“ว่าไงคุณบราวน์ ฉันเล่าประวัติเธอผิดตรงไหนหรือเปล่า ?” ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเป็นที่ชอบใจของคนหมู่มากอยู่แล้วอีกทั้งยังค่อนข้างชินกับการถูกกลั่นแกล้งที่มีมาประจำ แต่อย่างไรก็ยังมีความรู้สึกไม่ชอบทุกครั้งยามถูกล้อหนักข้อขึ้น
“อะ อ้าว ยัยบ้านี่ เดินหนีแบบนี้ได้ยังไง !” ทุกครั้งฉันมักเลือกที่จะเดินหนีออกมาเอง
ไม่ได้กลัวการถูกกลั่นแกล้งแค่ตัดความรำคาญออกไปก็เท่านั้น...
ด้วยท่าทางเงอะงะบวกกับการแต่งตัวเทอะทะ ต่างจากกลุ่มของซานดร้าซึ่งเป็นถึงสาวป๊อปประจำไฮสกูล ไหนจะผมเผ้าที่ยาวหนาหยักศกแถมยังเป็นสีแดงเหมือนเลือดไม่เหมือนกับคนตะวันตกทั่วไป ทั้งหมดนั่นยิ่งทำให้องค์ประกอบของฉันดูแปลกประหลาดและน่าขันมากเข้าไปใหญ่ เลยมักตกเป็นจุดเด่นของความน่ารังเกียจพลอยให้ถูกแกล้งได้ง่าย ๆ
นอกจากสีผมจะไม่เหมือนพ่อกับแม่แล้ว สีผมที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดยังไม่เหมือนหรือคล้ายใครในเมืองเลยสักคน ด้วยเหตุผลนี้ นอกจากฉายานังเฉิ่มแล้ว ฉันยังมีฉายาอีกหลากหลายที่คนส่วนใหญ่มักใช่เรียกแทนชื่อจริงอย่างเช่น มนุษย์นอกรีต ลูกนอกคอก ไปจนถึงนังแม่มด
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า ฉันไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำต่อว่าพวกนั้น เพราะรู้สึกทุกครั้ง รู้สึกมากจนอาการเหล่านั้นเริ่มด้านชาไปเองตามกาลเวลาและตระหนักได้ว่าในเมื่อหนีไม่พ้นก็ควรทำตัวให้คุ้นชิน...
อย่างไรเสีย การที่ฉันลืมตาดูโลกได้แบบนี้มันก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวฉันอยู่แล้วแลกกับความเป็นที่น่ารังเกียจของเด็กวัยรุ่นบ้างไม่เห็นจะเป็นอะไร...
ซะที่ไหนเล่า !
เวลาต่อมา…
ตุ๋ม !
“พวกงี่เง่า !”
เสียงสบถของฉันดังก้องไปทั่วป่าสนอย่างนึกโกรธ มือพลางเหวี่ยงหินให้กระดอนไปบนแม่น้ำสายใหญ่ภายในพื้นที่ป่าสนเพื่อระบายความรู้สึก
ตุ๋ม !
ถึงจะบอกว่ารู้สึกชินและชากับเรื่องเล่าที่ใครต่อใครว่ากัน แต่สุดท้ายฉันก็มักต้องเก็บมาคิดให้ตัวเองรู้สึกอารมณ์เสียอยู่ดี เพราะพวกเขาไม่ได้ว่าแค่ฉัน แต่ยังแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ไปถึงแม่ผู้ให้ผู้กำเนิดด้วย
ฉันมักจะมาระบายอารมณ์ของตัวเองหลังเผชิญเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตแต่ละวันที่ริมแม่น้ำสายนี้หลังเลิกเรียนเสมอ ปล่อยความคิดและความรู้สึกที่ต้องแบกรับออกจนหมด ก่อนทรุดตัวนั่งลงใต้ต้นโอ๊กยักษ์ตามอย่างในเรื่องเล่า
สายน้ำไหลเอื่อยเบื้องหน้าสะท้อนให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวซึ่งหน้าตาดูไม่ได้ ผมเผ้ายุ่งเหยิงและน่ารังเกียจ
ภาพของผู้หญิงคนนั้นทำฉันอดไม่ได้ที่จะคว้ากิ่งไม้แห้งขนาดเล็กใกล้ตัวตีใส่ภาพสะท้อนดังกล่าวอย่างนึกโกรธ ไม่ได้โกรธที่ตัวเองหน้าตาไม่ดีหรือโกรธแม่ที่ทำให้ฉันเกิดมาแล้วกลายเป็นที่รังเกียจในสังคม
แต่โกรธที่ตัวเองดันมีลักษณะและความสามารถในแบบที่มนุษย์ทั่วไปไม่ควรจะมีต่างหาก...
“Sssss…”
ฉันมักได้ยินเสียงร้องของสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูได้ชัดเจนกว่าเสียงของสัตว์ทั่วไป
สายตารีบตวัดมองไปยังต้นเสียงก่อนพบเข้ากับงูตัวใหญ่ขนาดเท่าแขน สีของมันดำสนิทเหมือนสีมะเดื่อ เกล็ดตามตัวเงาเลื่อมดูน่ากลัว ตัดกับนัยน์ตาสีเงินวาวสวยราวกับอัญมณี แม้จะรับรู้การมาของมันแต่การอยู่ใกล้สัตว์พวกนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องดี
ฟึ่บ !
“อ๊ะ !” ฉันรีบสะบัดตัวลุกจากใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อตั้งท่าที่จะหนีเมื่อรู้ถึงการมาเยือน และหากคิดว่านี่คือความสามารถแปลก ๆ ที่ฉันพูดถึงแล้วละก็ บอกเลยว่ามันไม่ใช่ เพราะความสามารถซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่เกิดนั้น แท้จริงแล้วมันก็คือ
‘Ssss...กลัวพี่เหรอ โบอา...’
การที่ฉันสามารถเข้าใจภาษางูได้ต่างหาก...
และถึงแม้จะเข้าใจ ฉันก็ไม่อยากเข้าใกล้อสรพิษพวกนี้อยู่ดี เพราะสิ่งที่ฉันเกลียดพอ ๆ กับความประหลาดของตัวเองก็คงไม่พ้นต้นเหตุอย่าง อสรพิษ นี่แหละ
“ออกไปนะไอ้งูบ้า !”
ความไม่อยากเข้าใกล้ทำฉันตะเกียกตะกายพาตัวเองก้าวเท้าหนีสัตว์เลื้อยคลานตัวดังกล่าวออกมา แม้ไม่รู้ว่าสัตว์เดรัจฉานเลือดเย็นตัวนั้นจะเข้าใจภาษาของมนุษย์หรือไม่
ถึงกระนั้น สมองก็ยังไม่วายสั่งสายตาให้เหลียวหลังกลับไปมอง เช็กความปลอดภัยของตัวเองอยู่ดี แต่ทว่า สิ่งที่ได้ยินก้องอยู่ในหัวดันเป็นเสียงเรียกของอสรพิษตัวเดิม
‘Ssss…โบอา’ มันกำลังเรียกฉัน และนั่นคือที่สุดของความน่าขนลุก
ยิ่งได้ยินเสียงเรียกจากสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้นมากเท่าไร เท้าก็รีบเร่งจ้ำตรงดิ่งกลับบ้านไวมากขึ้นเท่านั้น
ตึก.. ตึก...
‘Sss…โบอา’ ทั้งที่พยายามหนีแต่เสียงของงูตัวนั้นก็ยังดังก้องและใกล้เข้ามาไม่หยุด และในตอนนั้นเอง ไวกว่าทันได้ตั้งตัว บริเวณข้อเท้ากลับถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าเลื้อยรัดจับกุมอย่างรวดเร็ว
ตึก ! ตึก ! ตึก !
ฟึ่บ ! ตุบ !
การจู่โจมที่มาแบบไม่ทันให้ระวังตัว ทำฉันที่พยายามวิ่งหนีสัตว์ร้ายเสียหลักล้มหน้าคะมำลงกับพื้นหญ้า ความตกใจส่งผลให้รีบมองไปยังบริเวณข้อเท้าของตัวเองก่อนพบว่า มีงูอีกตัวซึ่งมีขนาดเล็กกว่ากำลังเลื้อยรัดเอาไว้
“Sssss…” เสียงของมันยามชูคอแลบลิ้นสองแฉกออกมานั้น สร้างความน่าขนลุกอย่างถึงที่สุด จำต้องสะบัดเท้าเพื่อให้งูตัวดังกล่าวหลุดออกไป
“ออกไปนะ !” ทว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากการตัดสินใจทำเช่นนั้น คือการไหวของพงหญ้า
ฟุ่บ ! ฟุ่บ !
มันไม่ได้เกิดจากแรงลมพัด แต่เหมือนกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างจากรอบสารทิศกำลังเลื้อยมาตามแนวพงหญ้า โดยที่พวกมันมีเป้าหมายเดียวกันคือเหยื่ออันโอชะอย่างฉันมากกว่า...
รวดเร็วยิ่งกว่าลมหายใจเข้าออก รอบกายซึ่งเคยเป็นพื้นที่เปล่า กลับอัดแน่นไปด้วยอสรพิษนับร้อยตัว ซึ่งต่างขดตัวรายล้อมราวกับต้องการหยุดการหลบหนี บ้างก็ชูหัวขึ้นสูงพร้อมทั้งส่งเสียงขู่ชวนขนหัวลุก บางก็พยายามคลานเข้ามาเลื้อยรัดไปตามปลายนิ้ว แขน และขา
“อ๊ะ...หยุดนะ...” ฉันพยายามสะบัดร่างกายเพื่อให้หลุดจากการถูกรัด แต่ยิ่งทำพวกมันก็ยิ่งพากันคืบคลานเข้าใส่ราวกับนัดกันมา
‘Ssss…ไม่ต้องกลัวโบอา เราไม่ทำอะไร’ ฉันได้ยินเสียงยามที่พวกมันช่วยกันเลื้อยรัดร่างกายฉันราวกับเชลย หากแต่สิ่งที่ได้ยินมันดูต่างจากสิ่งที่เผชิญจนเผลอหลั่งน้ำตาของความกลัวออกมาเหมือนรู้สึกว่าพวกมันเริ่มจะเลื้อยรัดร่างกายฉันทีละส่วนแน่นขึ้น
“ฮึก...อื้ออ...อึก” แน่นขึ้นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
อีกหนึ่งความแปลกประหลาดของฉันที่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปก็คือร่างกายที่ไม่เป็นที่ยอมรับของสัตว์เผ่าพันธุ์เดียวกัน กลับกลายเป็นที่ดึงดูดแก่สัตว์เลื้อยคลานได้อย่างน่าหวาดกลัว
มันเป็นแบบนี้ตลอด และไม่น่าประทับใจเลยสักนิด...
วินาทีที่ร่างกายทุกส่วนถูกบีบรัดด้วยอสรพิษหลากหลายสายพันธุ์บนพื้นหญ้านับสิบตัว ฉันรู้สึกถึงความลื่นของเกล็ดงูที่เลื้อยเลาะไปตามร่างกาย รับรู้ถึงแรงบีบรัด มันไม่ได้รุนแรงแต่ก็ชวนให้รู้สึกหวาดกลัวและขยะแขยงอยู่ดี พวกมันนับสิบช่วยกันกดตรึงร่างกายฉันลงจนแน่นิ่งไปกับพื้นหญ้า ไม่ให้ขยับเคลื่อนไหวร่างกาย หากแต่ยังละเว้นลมหายใจให้ยังมีชีวิต...
แม้จะเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกงูเหล่านี้ไม่ได้อำพรางรัดปิดซ่อนไว้คือดวงตา นั่นเลยทำให้ฉันยังมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกาย
‘โบอา...Ssss’ ตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงเรียกชื่ออีกครั้ง พานให้ต้องกวาดตามองหาต้นเสียงก่อนต้องพบว่า เสียงขานชื่อดังกล่าวมันไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเลย เพราะเสียงนั้นดังมาจากอสรพิษสีดำขนาดใหญ่ตัวเดิมก่อนหน้านี้
มันค่อย ๆ เลื้อยเกยทับงูนับสิบซึ่งกำลังช่วยกันรัดตรึงร่างกายขึ้นมาประจันหน้ากับฉันตรง ๆ ทันทีที่มีโอกาสสบเข้ากับนัยน์ตาสีอัญมณีคู่สวยของสัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ หูก็ได้ยินเสียงถามของมันอีกครั้ง
‘Sss…หนีพี่ทำไม...โบอา’ ตอนแรกฉันคิดว่าตัวเองฟังผิด ว่าสัตว์เลือดเย็นตรงหน้ากำลังพูดแทนตัวเองว่า ‘พี่’ จนกระทั่งฉันได้ยินคำถามต่อมา
‘Ssss...จำพี่ไม่ได้เหรอ...’ ฉันพูดอะไรไม่ออกเพราะแรงรัดจากแรงมหาศาลของงูนับสิบ ร่างกายฉันถูกเกล็ดเลื่อมลื่นบดรัด แม้แต่หายใจยังยากลำบาก
รู้ไหมฉันได้แต่กลิ่นของงู สายตามองเห็นแต่นัยน์ตาสีอัญมณีตรงหน้าจับจ้องมาราวกับรอคำตอบ เพียงแค่สบสายตาเหมือนว่าพญาอสรพิษตรงหน้าจะเข้าใจ
มันอ้าปากแยกเขี้ยวแหลมคมขนาดใหญ่ ส่งเสียงขู่ฟ่อในลำคอ เสียงดังกล่าวทำให้ทุกแรงบีบรัดค่อยเคลื่อนคลายออกอย่างช้า ๆ จนกระทั่งร่างกายเริ่มขยับเคลื่อนไหวได้เฉกเช่นปกติ ถึงเช่นนั้นแต่หัวใจฉันมันก็ยังไม่ยอมเต้นช้าลง ยังคงสั่นกับเหตุการณ์น่าสะพรึงที่เกิดขึ้น
งูเงี้ยวนานาขนาด เลื้อยเลี้ยวลงจากร่างกายไปอย่างเชื่องช้า ก่อนพากันคลานเคลื่อนหลบลี้หายไปกับพงหญ้า ปล่อยฉันสู่อิสระ ทั้งที่งูตัวอื่นเลาะเลื้อยออกจากร่างกายหมดแล้ว แต่ก็ยังเว้นพญางูตัวเขื่องสีทมิฬดูน่าเกรงขามและน่ากลัวไปในคราวเดียวกัน
‘Sss…เอาละโบอา ลุกสิ’ มันบอกฉันทั้งที่ยังขดตัวอยู่บนร่างกาย
ถึงไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลานจำพวกงูมากเท่าไรก็ตาม แต่เสียงสั่งที่ได้รับในหัวกลับให้ความรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัยมากกว่าตอนแรกนัก
เพราะงั้นฉันจึงค่อย ๆ ใช้ศอกหยัดตัวลุกขึ้นช้า ๆ ซึ่งงูตัวดังกล่าวเองก็ยอมเคลื่อนตัวลงไปจากร่างกายฉันเช่นกัน แต่เลื้อยลงไปแล้วก็ใช่ว่าจะไปเลย
มันยังคงแลบลิ้นสองแฉก ขดตัวจ้องสู้ตาอยู่เบื้องหน้า...
“ต้องการอะไร !?”
เพราะการถูกจู่โจมอย่างน่ากลัวก่อนหน้า เหมือนหลุดเป็นอิสระได้แล้ว ฉันก็ไม่รอช้า รีบถดตัวถอยเว้นพื้นที่ทิ้งระยะห่างระหว่างอสรพิษกับมนุษย์เอาไว้ พลั้งปากโพล่งถามงูตรงหน้าออกไปต่อให้ไม่รู้ว่าสัตว์เดรัจฉานตรงหน้าจะเข้าใจหรือเปล่า
‘Sss…พี่แค่อยากคุยด้วย’
“คะ...คุยอะไร” ฉันถามและขยับตัวถอยไปด้วย เมื่อพญางูตัวมหึมาตรงหน้าทำท่าจะเลื้อยเข้ามาหา แต่อีกใจก็รู้สึกโล่งอกที่สัตว์ใหญ่ตรงหน้าเข้าใจสิ่งที่ถาม
‘Sss…จำพี่ได้ไหมโบอา’
“พี่อะไร...” และมันทำให้ฉันตกใจที่เราสามารถพูดคุยกันได้ทั้งที่พูดกันคนละภาษา
‘เราเกิดวันและเวลาเดียวกันโบอา...’ คำพูดของงูตรงหน้าทำฉันชะงักไปเล็กน้อยเพื่อคิดตาม
ต่อให้เรื่องของ BOA จะเป็นที่พูดถึงกันของคนในเมือง คงมีเพียงฉันเท่านั้นที่จำเรื่องตอนเกิดไม่ได้ รับรู้แค่ว่าในวันที่เกิดมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นกับสัตว์น่ากลัวเท่านั้น หากแต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้พบเห็นงูตัวดังกล่าวตามอย่างคำบอกเล่ามาก่อน การได้ฟังคำบอกเล่าของพญาอสรพิษตรงหน้าเลยทำให้ฉันค่อนข้างตกใจ
“อ๊ะ อย่าเข้ามา !” อีกหนที่ฉันหวีดเสียงปรามสัตว์ร้ายเบื้องหน้าออกไป เมื่อมันเลื้อย
เข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็วก่อนจะชูหัวขึ้นสูงจนระดับสายตาระหว่างเราอยู่ในระนาบเดียวกัน
‘Sss…เราเป็นพี่น้องกัน โบอา...’ ขณะเดียวกันนั้นมันก็เริ่มใช้วงหางแกร่งเลื้อยรัดไปตามร่างกายฉันอย่างเชื่องช้าโดยที่ตาของเรายังคงจ้องสบประสานกันอยู่เช่นนั้น
“อึก...” แรงบีบรัดของงูตัวเดิมเริ่มบีบแน่นขึ้นทุกขณะ แต่การบีบรัดดังกล่าวไม่ใช่การหมายจะฆ่า หากแต่เป็นเพียงการตรึงร่างกายของเราไว้ด้วยกันในระยะประชิด
‘Sss…เราเกิดมาคู่กันโบอา เราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน...’ เสียงของมันดังชัดมากขึ้นทุกขณะ อีกทั้งนัยน์ตาราวกับอัญมณีคู่เดิมก็ค่อย ๆ เลื่อนเข้ามาใกล้ ฉันได้ยินเสียงขู่ของงูสลับกับคำพูดที่ฉันเข้าใจความหมาย
‘เธอคือโบอา...’ มันบอกฉันแบบนั้นและใช้ลิ้นสองแฉกตวัดเลียลากผ่านข้างแก้มไปแบบถาก ๆ หากแต่นั่นราวกับเหมือนต้องมนตร์สะกดให้ดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา เมื่อหัวขนาดใหญ่ของงูตัวเดิมเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ข้างหู และเอ่ยขึ้นให้ได้ยินเป็นหนสุดท้าย
‘Ssss…ส่วนฉันคือไพธอนเป็นพี่ชายเธอ’