ตำหนักขององค์หญิงใหญ่ถูกเจ้าของสั่งงดเยี่ยมเป็นเวลากว่า 5 วัน โดยให้เหตุผลว่าหมอหลวงสั่งให้พักฟื้นมากๆ อีกทั้งยาบำรุงก็ต้องกินไม่ขาดจึงจำเป็นต้องนอนเกือบทั้งวันไม่เหมาะสมที่จะให้แขกมารอเก้อ ใน 5 วันนั้นเป็นช่วงเวลาที่เว่ยซินอี้มีความสุขมาก นางนอน กิน นอนเล่น แล้วก็กิน จากนั้นก็นอนต่อ ถ้านอนกินแล้วไม่เสียมารยาทนางคงทำไปแล้ว…
“จวี๋จื่อ (ส้ม) นี่เป็นผลไม้บรรณาการจากชนเผ่าแถบทางตะวันออกของเรา ฝ่าบาททรงพระราชทานมาให้องค์หญิงเพื่อบำรุงร่างกายเพคะ” มู่หนันค่อยๆ ปลอกเปลือกเจ้าผลทรงกลมในมือก่อนจะจัดใส่จานวางบนโต๊ะเล็กด้านข้างตั่งนั่งที่มีร่างบอบบางของผู้เป็นนายกึ่งนั่งกึ่งนอนตาปรืออยู่ถึงอย่างนั้นปากก็ยังคงเคี้ยวผลไม้ที่ถูกนำมาให้อย่างเอร็ดอร่อย
“ไปแจ้งเสด็จพ่อว่าข้าจะขอเข้าเฝ้าหลังจากพระองค์ทรงประชุมขุนนางเสร็จ” ถึงแม้ใจจริงอยากจะพักไปอีกสัก 2-3 เดือน แต่หากทำเช่นนั้นคงได้วุ่นวายไปทั้งวังหลัง
“เพคะ หม่อมฉันจะรีบไปแจ้งช่ายกงกง” นางกำนัลคนสนิทถอยหลังออกไปก่อนอีกคนจะขึ้นมายืนแทนที่รอรับคำสั่งเจ้านาย
ดวงตาหงส์ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีสวนดอกไม้แข่งกันชูช่อผลิบานละลานตา ใจหนึ่งนางก็อยากออกไปเดินเล่นเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แต่อีกใจกลับมีบางอย่างสะกิดเตือนให้รู้สึกว่าถ้าออกไปเมื่อใดปัญหาคงพร้อมจะพุ่งเข้าใส่ตนเป็นแน่
“วันนี้อากาศดีนัก องค์หญิงต้องการไปเก็บดอกไม้มาประดับแจกันรึไม่เพคะ” เข่อซิงเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ถึงจะแปลกใจที่องค์หญิงใหญ่ผู้ไม่เคยอยู่ติดตำหนักจะดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน กลับกันดูคล้ายเจ้าแมวตัวน้อยที่ชอบนอนทั้งวันเสียอย่างนั้น
“เจ้าคงกลัวว่าข้าจะเบื่อกระมัง” เสียงหวานถามขึ้นพลางลุกนั่งให้นางกำนัลทั้งหลายเข้ามาจัดแจงอาภรณ์ที่เริ่มหลุดรุ่ยจากการพลิกไปพลิกมาหาท่านอนที่สบายที่สุด
“หามิได้เพคะ แต่การอยู่ในตำหนักอย่างเดียวจะไม่ดีต่อพระวรกายของพระองค์ ดังนั้นออกไปผ่อนคลายข้างนอกบ้างจะดีกว่าเพคะ” เว่ยซินอี้พยักหน้ารับ ชีวิตการอยู่แต่ในตำหนักมันยอดเยี่ยมมากก็จริง แต่คงมีข่าวลือไร้สาระมากระทบกับครอบครัวโดยเฉพาะตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยของพระมารดา
บรรดานางกำนัลล้อมหน้าล้อมหลังเพราะต้องทำผมใหม่เกือบทั้งหมด เมื่อเรียบร้อยแล้วขบวนเสด็จขององค์หญิงใหญ่ก็ถูกจัดเตรียมอย่างเร่งรีบ นางกำนัลชั้นผู้น้อยรวมไปถึงนางกำนัลคนสนิทยืนรอเป็นทิวแถวแต่เว่ยซินอี้ก็เมินเฉยไม่ได้อึดอัดอันใด ต้องบอกว่าชีวิตที่ผ่านมา 8 ภพชาติของนางนั้น มีถึง 3 ชาติ ที่อยู่แต่ในรั้วในวังและแน่นอนว่ารวมถึงชาตินี้ด้วย
ออกจากตำหนักไปทางเดินหินอ่อนถูกทอดยาวแยกไปได้หลายทาง หนึ่งในนั้นคือทางไปสวนดอกไม้ที่อยู่เขตพระราชฐานชั้นใน มีเพียงบรรดาราชวงศ์เท่านั้นที่เข้ามาได้ แต่บางครั้งก็มีบ้างที่คุณหนูคุณชายซึ่งได้รับอนุญาตจะมาเดินเล่นในที่แห่งนี้ แม้ไม่คิดว่าตนจะต้องมาเจอแขกแปลกหน้าทันทีที่ก้าวขาออกจากตำหนักก็ตาม
“ถวายพระพรองค์หญิงใหญ่เพคะ” เสียงหวานสดใสเอ่ยทักทายสตรีสูงศักดิ์อย่างนอบน้อม ร่างอรชรอ้อนแอ้นยอบกายลงด้วยจริตที่เต็มเปี่ยม
“มิคิดว่าจะเจอคุณหนูฟู่ที่นี่ ตามสบายเถิด” คนงามกวาดตาประเมินหญิงสาวตรงหน้า เหมือนจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกฝ่ายคือว่าที่พระชายาเอกขององค์ชายใหญ่ คงได้รับอนุญาตจากฮองเฮาให้เข้ามากระมัง
“ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันมาเข้าพบฮองเฮาเหมือนเช่นทุกครั้งก่อนจะแวะมาเดินชมดอกไม้หายากเหล่านี้เพคะ” ดวงหน้าอ่อนหวานแย้มยิ้มบางราวกับไร้เดียงสา
“เปิ่นกงก็นึกว่าเจ้ามาพบพี่ชายใหญ่เสียอีก ที่แท้เป็นฮองเฮาเรียกหานั่นเอง ดีแล้วล่ะที่เจ้ามาคุยเป็นเพื่อนพระนางบ้าง อยู่ในวังว่างๆ ก็คงเบื่อไม่น้อย” ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อกดลึกอย่างมีไมตรีขัดกับคำพูดที่ทำเอาเหล่าข้ารับใช้ด้านหลังก้มหน้าก้มตาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ฟู่เย่เหยากำหมัดแน่นเมื่อถูกตอกหน้ากลับมา คราแรกนางอยากจะยั่วโมโหให้องค์หญิงใหญ่เหวี่ยงวีนใส่เหมือนที่เคยทำจึงแสร้งบอกว่าตัวนางเข้าวังมาบ่อยเนื่องจากฮองเฮาทรงโปรดและยังมาเดินเล่นที่สวนดอกไม้นี้ได้เพราะเป็นถึงว่าที่พระชายาซึ่งอาจรวมไปถึงตำแหน่งว่าที่มารดาแผ่นดินด้วย แต่แทนที่อีกฝ่ายจะโมโหเช่นปกติกลับค่อนแคะถึงเรื่องที่องค์ชายใหญ่ไม่เคยมาพบนางเลยหากมิใช่ฮองเฮาส่งคนไปตาม บางครั้งถึงส่งคนไปตามก็ไม่ยอมมาพบอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเอ่ยถึงอำนาจในวังของฮองเฮาที่ไม่ได้มีมากขนาดนั้น วังหลังแห่งนี้ถูกจัดการดูแลโดยสตรีสองนางคือฮองเฮาและหวงกุ้ยเฟย จึงทำให้ภาระหน้าที่เบาลงไปมากจนมีเวลาว่างเกือบทั้งวัน เหตุใดคำพูดคำจาจึงได้เจ็บแสบมากขึ้นถึงเพียงนี้กันนะ
“พระวรกายดีขึ้นแล้วหรือเพคะ เห็นว่าทรงปิดตำหนักไม่ต้อนรับแขก หม่อมฉันจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนเลย ต้องขอประทานอภัยอย่างยิ่ง” หลังจากตอกย้ำสภาพที่ร่างบางต้องตกจากหลังม้าจนน่าอับอายแล้วคุณหนูรองตระกูลฟู่ก็แสร้งทำหน้าเห็นใจหวังยั่วยุคนตรงหน้า
“เปิ่นกงต้องปิดตำหนักตามรับสั่งของเสด็จพ่อเพราะพระองค์ทรงกังวลเรื่องการพักฟื้นเป็นอย่างมาก ขอบใจคุณหนูฟู่ที่เป็นห่วง ว่าแต่วันนี้เจ้าคงมาพร้อมเจ้ากรมคลังสินะ ได้ข่าวว่าช่วงนี้บิดาของเจ้ากำลังเจองานหนักนี่ เปิ่นกงขอฝากความห่วงใยไปให้เช่นกันนะ”
โฉมสะคราญฉีกยิ้มหวานหยดอย่างอารมณ์ดี ยิ่งดรุณีน้อยเริ่มเก็บอาการไม่อยู่มากเท่าไหร่ นางก็รู้สึกสบายใจมากเท่านั้น ช่วง 5 วันที่ปิดตำหนักนอกจากกินกับนอนก็มิได้ใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปเสียทั้งหมด ข้อมูลขุนนางที่ขอให้หว่าหวาสหายคนสนิทสืบมาตนอ่านจนหมด ดังนั้นเรื่องที่เจ้ากรมคลังกำลังถูกตรวจสอบอย่างลับๆ จึงถูกรู้เข้าพอดิบพอดี ฟู่เย่เหยาเองก็ทราบมาบ้างว่าเพราะตนได้รับเลือกให้เป็นว่าที่พระชายาตระกูลฟู่จึงมีหน้ามีตาขึ้นมาอย่างมาก แต่ก็เหมือนโดนขัดแข้งขัดขาจนบัดนี้บิดาถูกตรวจสอบการยักยอกทรัพย์จนตกที่นั่งลำบาก
“มิได้เพคะ ท่านพ่อทำหน้าที่อย่างซื่อตรงเรื่องแค่นี้คงไม่สามารถทำอันใดตระกูลฟู่ได้ วันนี้หม่อมฉันเข้าวังมานานแล้วคงต้องทูลลาก่อน องค์หญิงใหญ่โปรดรักษาพระวรกายด้วยนะเพคะ” คุณหนูรองตระกูลฟู่ยอบกายลงอีกครั้งก่อนจะหันหลังเดินจากไปด้วยความอดทนอดกลั้นซึ่งเหลือน้อยเต็มที
“จะไปทั้งทีก็ยังอุตส่าห์ทิ้งท้ายอย่างเย่อหยิ่งเอาไว้เสียอีก น่ารักจริงๆ” เว่ยซินอี้หลุดขำออกมาราวกับมันเป็นเรื่องตลก เด็กสาวนางนั้นตอบโต้มาว่าเรื่องตรวจสอบไม่สามารถทำอะไรตระกูลฟู่ได้หรอก แสดงว่าฮองเฮาคงสอดมือเข้าไปช่วยเพื่อสร้างบุญคุณเอาไว้สินะ คนพวกนี้ถนัดเรื่องใช้คนเป็นหมากในกระดานของตนเสียจริงเชียว
“แดดเริ่มร้อนแล้ว ไปนั่งพักที่ศาลาตรงนั้นดีรึไม่เพคะ” เห็นผู้เป็นนายร่าเริงทำเอาเหล่านางกำนัลต่างดีใจ คราแรกที่เจอคุณหนูตระกูลฟู่คนนั้นทุกคนต่างมีสีหน้าไม่ยินดีทั้งสิ้น แต่ไหนแต่ไรทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด องค์หญิงใหญ่มักถูกทำให้หงุดหงิดไม่พอพระทัยอยู่เสมอ ทำให้มีข่าวลือเรื่องความเอาแต่ใจออกไปถึงนอกวังหลวงเลยทีเดียว
“ก็ดีเหมือนกัน” ร่างบางเดินไปยังศาลาที่ว่าซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก น้ำชาและขนมหวานถูกจัดวางรอไว้แล้วทำให้คนงามนั่งลงผ่อนคลายจากเรื่องวุ่นเมื่อครู่
เว่ยซินอี้กวาดตามองข้ารับใช้ของตนเร็วๆ หนึ่งครั้ง พวกนางไม่มีท่าทีใดเลยที่เจ้านายเปลี่ยนแปลงไป หรือต้องบอกว่าทุกคนเก็บอาการได้ดีไม่แสดงความสงสัยออกมาให้เห็น แต่อย่างไรเสียอีกไม่นานก็คงชินกันไปเอง
...........................................................................