วันแล้ววันเล่าของการทำงานที่ไม่รู้จักเบื่อของอรุโณรีย์ หญิงสาวรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ความเกร็งเครียดยามต้องอยู่ร่วมกับทอเลเมียสก็พลอยทุเลาลงไปด้วย เขาให้ความเป็นกันเองกับเธอ และคอยดูแลช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่เคยปล่อยให้ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ขนาดออกไปดูงานข้างนอกแทนที่ชายหนุ่มจะพาเลขาตัวจริงไป เขากลับจัดการให้เธอเป็นคนที่คอยติดตามอยู่เคียงข้าง โดยให้เหตุผลว่าอยากให้เธอได้เรียนรู้งานไปในตัว ได้ฝึกฝนทักษะเมื่ออยู่ในสถานการณ์จริง ซึ่งเธอก็ไม่เคยปฏิเสธเขาได้เลยสักครั้ง นี่ก็ล่วงเวลามาเกือบเดือนหนึ่งแล้วสินะ
“เอพริล...คุณหิวรึยัง...” ทอเลเมียสในชุดสูทสีเข้มเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างมายืนยิ้มละมุนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของหญิงสาวโดยที่เธอไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับเอกสารในมือนั่นเอง
“คุณนาซี เอ่อ...ฉันยังไม่หิวเลยค่ะคุณลงไปทานก่อนก็ได้” เธอยิ้มแล้วให้คำตอบกับเขาที่ยังจ้องไม่วางตา
“ถ้าอย่างนั้นเราสั่งขึ้นมากินบนนี้เหมือนทุกวันก็แล้วกันนะ”
“อย่าเลยค่ะ คือฉันเกรงใจคุณ ต้องมาเดือดร้อนกระทั่งเรื่องกินเพราะฉัน...”
“ไม่เป็นไร...ผมเต็มใจนะเพื่อคุณ...”
คำหวานสวนกลับทันควันเล่นเอาสาวเจ้าอุณหภูมิขึ้นสูงกะทันหัน ความร้อนแผ่ซ่านจนเห็นได้ชัดว่าแก้มนวลของเธอมันแดงระเรื่อด้วยความอาย
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากค่ะ” เสียงอ้อมแอ้มเอ่ยไม่เต็มปาก แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจหันหลังกลับ เดินไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง และยกหูโทรศัพท์ขึ้นเพื่อสั่งอาหารขึ้นมารับประทานบนห้อง ซึ่งก็มักจะทำแบบนี้อยู่บ่อยครั้งตั้งแต่อรุโณรีย์เข้ามาทำงาน และเขาก็จะเอาใจเธอด้วยการอยู่ทานเป็นเพื่อน
หญิงสาวไม่ค่อยชอบลงไปยังโรงอาหารของบริษัทเหตุผลว่าเพราะอะไรนั้นมีหรือเขาจะไม่รู้ ก็พนักงานทั้งบริษัทต่างก็ชอบวิพากษ์วิจารณ์เธอในทางเสียๆ หายๆ หญิงสาวไม่ค่อยสนิทกับใครมากนัก นอกจากตัวชายหนุ่มแล้ว ก็มีเพียงแค่เลขาของเขา และพิศณุเท่านั้นที่เห็นเธอพูดจาปราศรัยด้วย
เพียงเวลาผ่านไปไม่นานทุกอย่างที่สั่งก็ถูกนำขึ้นมาเสิร์ฟถึงในห้องทำงานส่วนตัว พนักงานคนที่นำอาหารมาจัดสำรับทุกอย่างไว้บนโต๊ะรับแขก อย่างที่เคยทำก่อนจะขอตัวออกไป ทอเลเมียสจึงเรียกให้หญิงสาวหยุดทำงานและมารับประทานอาหารพร้อมๆ กับเขา ซึ่งเธอก็ทำตามอย่างว่าง่าย
“กินสิ...เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะกันพอดี...”
“ค่ะ...ขอบคุณค่ะ” อรุโณรีย์กล่าวขอบคุณในความหวังดีของเขา และรับเอาอาหารที่ชายหนุ่มตักให้เข้าปาก สายตานั้นยังเหลือบมองเขาที่ยิ้มอย่างพอใจ
“อาทิตย์หน้ามีวันหยุดยาวติดกันตั้งสามวัน...คุณจะไปเที่ยวไหนไหม”
“ไม่นี่คะก็คงอยู่บ้านตามปกติ ทำไมเหรอคะ”
“ผมอยากชวนคุณไปที่แห่งหนึ่ง...”
“...” อรุโณรีย์วางช้อนลงกะทันหันและเม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างครุ่นคิด นี่เขาชวนเธอไปเที่ยวใช่ไหม? หรือมีงานด่วนอะไรให้ทำ
“ขอโทษนะ ผมเห็นว่าใช้งานคุณมากไปหน่อยแล้วคุณก็ช่วยงานผมได้ดีพอสมควรก็เลยอยากตอบแทนบ้างเท่านั้นเอง แต่ถ้ามันทำให้คุณลำบากใจก็ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าคุณพ่อท่านจะอนุญาตไหม คือฉันไม่เคยออกไปไหนมาไหนกับคน...เอ่อ...คนนอกน่ะค่ะ” คำหลังหญิงสาวพูดไม่เต็มคำนัก เพราะกลัวเขาจะไม่พอใจ ทั้งที่ใจตัวเองนั้นมันสั่นหวิวจนบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแค่คิดว่ากำลังจะได้ไปไหนมาไหนกับเขา แบบสองต่อสอง และไม่ได้ไปเพราะหน้าที่การงานเหมือนอย่างที่ผ่านมาอีกด้วย
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ แล้วผมจะขออนุญาตท่านเอง ผมไม่ค่อยมีเวลาว่างหรอกคุณก็เห็น คนอื่นเขามีวันหยุดกัน ได้พักกันแต่ผมต้องทำงานแทบตลอดเวลา”
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่ต้องไปไหนกันก็ได้นะคะ เพราะคุณมีงานเยอะแยะต้องทำ ไปกับฉันก็เสียเวลาเปล่าๆ ฉัน...ฉันไม่อยากเป็นภาระให้คุณอีกแล้ว”
“คิดมากจริง ผมไม่ได้ว่าคุณเป็นภาระซะหน่อย หือ...ผมจะเคลียร์งานทุกอย่างให้เสร็จภายในสองสามวันนี้แล้วอาทิตย์หน้าผมจะทำตัวให้ว่าง...เพื่อคุณ”
“คุณ...นาซี” หญิงสาวครางชื่อเขาเสียงแผ่ว ทอเลเมียสมักพูดหรือทำอะไรให้เธอคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ เขาจะรู้ไหมว่ามันทำให้หัวใจดวงน้อยดวงนี้สั่นไหวจนแทบขาดอยู่รอนๆ เธอหันมองเขาอีกทีก็พบว่า ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารตรงหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งเอ่ยคำหวานให้เธอหวั่นไหวเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า สิ่งที่เขาพร่ำพูดบ่อยๆ สิ่งที่เขาเพียรกระทำหลายครั้งอยากรู้เหลือเกินว่าเขาทำมันเพราะหน้าที่ที่ต้องดูแลเธอพิเศษกว่าคนอื่น หรือเป็นเพราะหัวใจเขาสั่งให้ทำ เหมือนที่...หัวใจเธอสั่งให้รับเขาเข้ามาอย่างไม่ต้องเอาเหตุผลใดๆ มาอ้างอิง
“คุณ...นึกยังไงถึงชวนฉันไปเที่ยว แล้วเราจะไปที่ไหนกัน”
“ผมคิดถึงครอบครัว หมายถึงพ่อกับแม่ของผมน่ะ...เราจะไปหัวหิน...”
“คะ...” อรุโณรีย์ไม่ค่อยเข้าใจนักในสิ่งที่เขาบอก ชายหนุ่มกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงท้อง ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแล้วหันมามองเธอเพื่อให้คำตอบ
“ตอนพ่อกับแม่ผมท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านชอบไปที่นั่น ตัวผมเองก็อย่างที่บอกไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่แต่ถ้าว่างผมจะไปที่นั่นทุกครั้ง...เพื่อรำลึกถึงท่านทั้งสอง”
“อ๋อค่ะ...แต่ฉันคงค้างคืนไม่ได้เราต้องไปเช้าเย็นกลับนะคะ” เธอบอกข้อจำกัดกับเขาแค่นั้นทั้งๆ ที่ยังสงสัยว่าทำไมครั้งนี้ชายหนุ่มถึงเลือกที่จะพาเธอไปด้วย แต่ก็อดที่จะลอบยิ้มให้กับความคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็อยากพาเธอไปยังสถานที่สำคัญสำหรับเขา ทอเลเมียสมองมองหญิงสาวแล้วพยักหน้ารับรู้ก่อนจะจัดการกับอาหารตรงหน้าจนอิ่ม
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จผลไม้ที่จัดไว้ในจานก็ถูกชายหนุ่มหยิบขึ้นมารับประทานเป็นการล้างปากในขณะที่ อรุโณรีย์นั้นทำท่าจะลุกไปยังโต๊ะของเธอเพื่อสะสางงานที่คั่งค้าง
“ไม่กินด้วยกันเหรอ แตงโมนี่หวานดีนะ”
“ฉันอิ่มแล้วค่ะเชิญคุณตามสบายเลย”
“ลองหน่อยสิมีเมล่อนด้วยนะผมเห็นคุณชอบกินบ่อยๆ ก็เลยสั่งมาเผื่อ”
“...” หญิงสาวมองไปตามคำชวนก็เห็นเมล่อนที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงรวมกับผลไม้อื่นๆ อีกสองสามอย่างอยู่จริง นี่เขาคอยสังเกตด้วยหรือว่าเธอชอบหรือไม่ชอบอะไร อรุโณรีย์ตัดสินใจหย่อนตัวลงนั่งอีกครั้ง ยื่นมือไปรับผลไม้ที่เขาจิ้มด้วยส้อมอันเล็กแล้วส่งให้ ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นอิ่มใจจนแทบสำลักอยู่แล้ว
“เดี๋ยวสิ...” ทอเลเมียสชักมือกลับทันทีโดยที่หญิงสาวไม่ทันได้จับด้ามส้อม เธอมองเขาด้วยสายตาฉงน
“ทำไมคะ”
“ให้ผมป้อนนะ”
“...” คนถูกถามอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูก เธอจึงถูกเขาฉวยโอกาสนั้นป้อนเมล่อนชิ้นเล็กเข้าปากไป กว่าจะรู้ตัวก็เมื่อได้รับรสความหวานของผลไม้นั้นเมื่อมันสัมผัสกับปลายลิ้น
“อืม...” หญิงสาวครางฮือในลำคออย่างลืมตัวเมื่อก้มหน้าหลบสายตาคมแล้วเคี้ยวเมล่อนกลืนลงคอ ความหอมหวานของมันพอจะช่วยดึงความสนใจจากอาการเขินอายได้นิดหนึ่ง
“อร่อยใช่ไหม”
“อ่อ...ค่ะ อร่อยมากหวานด้วย”
“เป็นผลสดที่เก็บมาใหม่ๆ เลยนะ”
“คุณรู้ได้ยังไงคะอย่าบอกนะว่า...”
“ใช่...ผมสั่งมาจากสวนน่ะ สั่งมาเมื่อเช้านี้เองให้คนติดต่อกับพ่อค้าที่สวนแล้วส่งขึ้นเครื่อง จากนั้นก็ให้คนไปรับที่สนามบิน...”
“คุณนาซี...คุณจะบ้าเหรอคะ แค่เมล่อนแค่นี้หาซื้อในห้างหรือตลาดสดก็มีถมเถไป”
“ก็มันไม่สดใหม่ ไม่หอมหวานเหมือนผลที่เพิ่งเก็บมาจากต้น” เขาอธิบายมองดวงหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายอย่างพอใจ แล้วยิ้มให้อย่างหวานเชื่อม พลางมือก็จิ้มเมล่อนชิ้นต่อไปขึ้นมา