บทที่ 1 ตอนที่ 1
“คุณหนู...คุณหนูครับตื่นเร็วเถอะครับ...”
เสียงทุ้มคุ้นเคยดังแว่ว เพราะเหมือนยังอยู่ในห้วงความฝัน ทำให้หนุ่มน้อยที่นอนอยู่บนเตียงหรูหรารู้สึกตัวนิดๆ และกะพริบตามองคนเรียกด้วยอาการสะลึมสะลือ
“น้าทิม...มีอะไรเหรอครับ” เด็กหนุ่มลูกครึ่งเอ่ยถามคนสนิทของบิดา ซึ่งมีท่าทีลุกลี้ลุกลนด้วยความสงสัย ก่อนตัวเขาจะถูกกระชากให้ลุกลงจากเตียงจนเกือบตั้งตัวยืนไม่ทัน
“เร็วครับตามผมมาเราต้องไปกันแล้ว...ไม่มีเวลาแล้วครับ”
“ไปไหน...ทำไมต้องไปด้วย เกิดอะไรขึ้น” เด็กหนุ่มถูกลากออกไปจากทางด้านหลังระเบียงของห้องเสียก่อนทั้งที่ยังงุนงงไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลากหลายคำถามที่สงสัยกู่ก้องอยู่ในหัวสมองยังคงไม่ได้รับคำตอบ
“น้าทิมเกิดอะไรขึ้น...” เขาถามอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ คนถูกถามใช้มือโบกเป็นสัญญาณให้เงียบก่อนขณะที่ยืนอยู่ตรงระเบียงห้องแล้วก้มลงมองดูด้านล่าง แสงไฟนีออนสาดส่องให้เห็นทั่วบริเวณที่ยังคงเงียบสงัด และเด็กหนุ่มก็ไม่เห็นว่าจะมีความผิดปกติอันใดที่จะต้องทำให้คนสนิทของบิดามีท่าทีตื่นกลัวได้ถึงขนาดนี้
“เราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดครับคุณหนู เดี๋ยวปีนระเบียงนี่ลงไปที่ชั้นสองนะครับแล้วค่อยไต่ระเบียงที่ชั้นสองไปทางสวนหลังบ้าน” ทิมบอก มองดูหน้านายน้อย หน้าที่ของเขาคือดูแลชีวิตของเด็กผู้ชายวัยสิบห้าคนนี้ ให้รอดพ้นไปจากอันตรายที่ย่างกรายมาเยือนให้ถึงที่สุด “น้าทิมมันเกิดอะไรขึ้นบอกผมหน่อย...” รัชตะ หรืออีกชื่อหนึ่งคือทอเลเมียส เดชดำรงไพศาล เอ่ยคำถามซ้ำ เขาเริ่มค่อยๆ รับรู้ถึงความผิดปกติได้อย่างชัดเจน
ความเงียบ ความวังเวงเงียบงัน...น่ากลัว
“ไปจากที่นี่ก่อนเถอะครับ...” ทิมยังไม่ยอมตอบอะไร เขาดันตัวเด็กชายให้รีบไต่ราวระเบียงและโหนตัวลงไปยังระเบียงของอีกชั้นด้านล่าง คอยดูลาดเลาไปพลางก่อนจะกระโดดตามลงไป ทั้งคู่ลัดเลาะเดินตามแนวระเบียงห้องจากอีกห้องหนึ่ง ไปยังอีกห้อง จนกระทั่งวนมาถึงด้านหลังของคฤหาสน์ รัชตะมองหน้าลูกน้องบิดาแล้วต้องกลืนน้ำลายเฮือก เมื่อทิมพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าให้กระโดดลงไปยังพื้นล่าง มันสูงมาก ตึกนี้เป็นคฤหาสน์ใหญ่สามชั้นและตรงที่เขายืนมันก็สูงจากระดับพื้นดินหลายเมตรเลยทีเดียว
“กระโดดเลยครับคุณหนูพยายามอย่าเกร็งตัวนะครับ ย่อเข่านิดๆ พอถึงพื้นก็ให้สปริงตัวขึ้นจะช่วยรับแรงกระแทกได้ครับ...เร็วครับ...”
รัชตะไม่มีเวลาคิดนานนักเพราะถูกทิมรุกเร้าอยู่ตลอดเวลาเขารีบทำตามคำสั่งผู้อาวุโสกว่าโดยการกระโดด และสปริงตัวขึ้นเมื่อลงถึงพื้นตามที่ได้รับคำแนะนำ แต่เด็กหนุ่มก็ยังทำได้ไม่ดีพอจังหวะที่ลงถึงพื้นดินและกำลังจะสปริงตัว เขาเกิดเสียหลักและล้มลงเสียก่อน ทิมที่กระโดดตามหลังมาติดๆ รีบคว้าตัวเขาพาวิ่งเข้าไปในสวนรกร้างหลังคฤหาสน์
“คุณหนู...หลบอยู่ในห้องน้ำนี่ก่อนนะครับ...”
“น้าทิมบอกผมได้รึยังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” รัชตะตามเสียงแข็งขณะที่เขาและหนุ่มวัยฉกรรจ์อยู่ในห้องน้ำเก่าคร่ำครึในสวนร้างท้ายคฤหาสน์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวตึกพอสมควรและไม่ค่อยมีใครได้ย่างกรายเข้ามานักนอกเสียจากพวกแม่บ้านหรือคนสวน “คุณหนูรออยู่ที่นี่นะครับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามออกไปเด็ดขาดจนกว่าคุณหนูแน่ใจว่าปลอดภัย” “ทำไมครับ...แล้วคุณพ่อคุณแม่ล่ะน้าทิมเล่าให้ผมฟังหน่อยสิว่ามันเกิดอะไรที่บ้านเรา...” คำถามซ้ำๆ เป็นสิบรอบยังไม่ได้รับคำตอบจนน่าหงุดหงิด
“เชื่อผมครับรอผมอยู่ที่นี่....แย่แล้ว...ไม่ทันแล้ว...”
ทิมที่อยู่ในท่าคุกเข่ากำลังบอกให้รัชตะอยู่กับที่ ส่วนตัวเขาก็จะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอกอีกครั้งต้องชะงัก เมื่อหันมองลอดผ่านช่องรอยผุผังของผนังไปยังสนามหญ้าหลังตึกที่พวกเขาเพิ่งกระโดดลงมาจากระเบียงเมื่อสักครู่
“คุณพ่อ...คุณแม่...”
“คุณหนูอย่าครับ...อย่าออกไปผมขอร้องให้ผมไหว้ก็ยอมคุณหนูเชื่อผมนะครับ” ทิมรั้งตัวเด็กชายเอาไว้ ใช้มือปิดปากไม่ให้ส่งเสียงดัง
รัชตะพยายามดิ้น แต่ก็สู้แรงของมือขวาของบิดาไม่ได้ ใจเขาสั่นรัวเมื่อมองเห็นผ่านช่องอิฐเห็นว่าทั้งบิดาและมารด ากำลังถูกจับมัดมือไขว้หลังรวมถึงคนอื่นๆ ทั้งแม่บ้าน แม่ครัวคนรับใช้ คนสวน หรือแม้แต่คนขับรถรวมแล้วกว่าสิบชีวิต ดวงตาสีน้ำทะเลด้วยเป็นลูกครึ่งแดงก่ำ อัดเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัยและเจ็บปวดกับสิ่งที่ได้เห็น
กลุ่มคนเป็นชายชุดดำประมาณเกือบๆ ยี่สิบคนแต่ละคนมีอาวุธปืนอยู่ในมือ ฉุดกระชากคนในบ้านให้เดินมารวมกัน และผลักให้นั่งลงกับพื้นสนามหญ้า หนึ่งในนั้นที่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นตัวหัวหน้า ก็คือชายร่างท้วมในชุดสูทสีเทาเข้มยืนดูดบุหรี่ปรายตามองกลุ่มเหยื่อที่ถูกตามมานั่งรวมอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แล้วที่เหลือก็แยกย้ายยืนประจำเป็นจุดๆ เพื่อคอยสังเกตการณ์และรับคำสั่งนาย
“คุณหนู...คุณหนูใจต้องเข้มแข็งนะครับเพื่อคุณท่านทั้งสองแล้วก็เพื่อทุกคน ตอนนี้พวกมันยังไม่รู้ว่าคุณหนูกลับมาจากเมืองนอกแล้วก็เลยไม่ได้สนใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นคุณหนูก็ต้องอดทนนะครับ” ทิมกัดฟันบอก ดวงตาคมเข้มแดงก่ำด้วยความคับแค้นใจ ภาพที่เพื่อนร่วมงานและเจ้านาย กำลังถูกกลุ่มคนชุดดำดังกล่าวจับมัดแล้วกระชากลากมันบาดลึกไปถึงดวงจิต บอดี้การ์ดซึ่งได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมาหลบซ่อนตัวขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย มันไม่ใช่วิสัยของเขาแม้แต่น้อย
แต่เมื่อหันมองหน้าทายาทเพียงคนเดียวของนายเหนือหัว เขาก็จำยอมก้มหน้าทำตามคำสั่งสุดท้ายอย่างอดกลั้น ความเจ็บแค้นครั้งนี้จำเป็นต้องมีคนตามสะสาง ทิมปล่อยมือออกจากปากรัชตะ เมื่อเด็กหนุ่มพยักหน้ารับรู้ความตั้งใจ ทิมยังกอดร่างในวัยกำลังโตของนายน้อยไว้แน่น ทั้งคู่กัดฟันข่มอารมณ์เสียใจและความเจ็บปวดไว้สุดฤทธิ์ ด้วยรู้ว่าหากออกไปในตอนนี้คงมีสภาพไม่ได้ต่างจากคนทั้งบ้าน
“จะเซ็นได้รึยังคุณพิภพ...ผมไม่ได้อยากทำอะไรรุนแรงแบบนี้เลยนะ ถ้าคุณให้ความร่วมมือดีๆ ซะตั้งแต่แรก”
ชายร่างท้วมที่กำลังดึงบุหรี่ออกจากปาก พูดด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งทิมและรัชตะได้ยินเสียงนั้นเพียงเบาๆ เนื่องจากระยะที่อยู่ห่างกันแถมยังมีพุ่มไม้ขวางกั้นอีกชั้น แต่เขาทั้งสองก็ยังเห็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ผ่านผนังกำแพงที่ผุพังเป็นช่องโหว่เท่าสองกำปั้น และมองผ่านพุ่มไม้ระย้าอีกที
“มันชื่อวงศ์ศาสตร์ครับคุณหนู...มันเป็นเพื่อนในสังคมธุรกิจของคุณท่าน ครั้งหนึ่งเคยประสบปัญหาขาดทุน คุณท่านก็เคยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่พอมันเห็นว่าบริษัทขนส่งระหว่างประเทศของคุณท่านมีประโยชน์ จะใช้ทำงานผิดกฎหมายก็เลยมาเจรจาต่อรองให้คุณท่านร่วมมือกับมัน คุณท่านไม่ตกลงและโกรธมากที่มันดูถูกท่านโดยการยัดเยียดงานสกปรกให้ท่านทำ มันก็เลยคิดจะกำจัดคุณท่านเพื่อปิดปากไม่ให้เรื่องเลวๆ ของมันรั่วไหล...”
“คุณพ่อ...นี่หมายความว่ามันจะฆ่าคุณพ่อ คุณแม่แล้วก็คนของเราทั้งบ้านเหรอเนี่ย” รัชตะเอ่ยถามร่างใหญ่ที่คุกเข่าข้างเดียวรั้งตัวเขาอยู่ แล้วก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้ารับ ทั้งที่ดวงตาดุจพญาเหยี่ยวนั้นยังมองเหตุการณ์ไม่กะพริบ
“คุณพิภพอย่าดื้อน่า เราก็คนกันเองแท้ๆ ถ้าคุณยอมเซ็นมอบทุกอย่างให้ผม...ผมสัญญาว่าจะปล่อยทุกคนไป...ตกลงไหม แต่ถ้าไม่เซ็น...”
“อ๊าก!!” ปืนที่ใส่กระบอกเก็บเสียงไว้ด้วยในมือของมันลั่นไกทันที ผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนสวนในบ้าน ที่อยู่ใกล้ตัวฆาตกรเลือดเย็นที่สุดล้มลงไปนอนกลิ้งตาเหลือกถลนบนพื้นหญ้า ได้สักพักก็แน่นิ่งไป เลือดสดๆ ไหลเจิ่งนองออกมาจากบาดแผลที่หน้าอกซ้าย พาให้คนที่เหลือกลัวตัวสั่นกอดรวมกลุ่มกันแน่น พลางส่งเสียงร้องไห้กระซิกระงม ฟังดูน่าสลดใจเหลือเกิน
“แกไอ้เลว...แกทำแบบนี้กับคนบริสุทธิ์ได้ยังไง” ดวงตาของพิภพแดงก่ำเป็นสีเดียวกับเลือดที่นองพื้น จ้องคนกระทำด้วยความอาฆาต
แต่วงศ์ศาสตร์ซึ่งกำชัยเหนือกว่ากลับแสยะยิ้มราวกับเป็นเรื่องไร้สาระก่อนจะลั่นไกปืนยิงใส่คนลำดับต่อไป มองคนที่แดดิ้นหมดลมหายใจตรงหน้าเป็นผักปลาไร้ค่าก็มิปาน คนแล้วคนเล่า...ชีวิตแล้วชีวิตเล่าที่ต้องจบลง เพียงเพราะความไม่ได้ดั่งใจของคนชั่วช้า