“เราไปเช้ากลับเย็นครับ ที่ผมอยากพาไปเพราะอยากตอบแทนที่เอพริลช่วยงานบริษัทเป็นอย่างดีมาตลอดถ้าให้เป็นของขวัญเธอก็คงได้รับจนเบื่อแล้ว ถ้าให้คนอื่นพาไปผมก็ไม่ไว้ใจ อีกอย่างมันเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติคุณด้วย ผมยินดีรับผิดชอบทุกกรณีครับถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเอพริล แต่ถ้าคุณไม่ไว้ใจผมก็ไม่ว่าอะไรครับ ผมเข้าใจว่าคุณมีลูกสาวคนเดียวก็ต้องหวงมากเป็นธรรมดา”
“...” วงศ์ศาสตร์ถึงกับพูดไม่ออกไปอึดใจหนึ่ง ทอเลเมียสฉลาดมากที่งัดมุขนี้มาใช้ ใช่...เขาจะบอกว่าไม่ไว้ใจรองประธานบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศ แถมยังเพิ่งจะเอาบุตรสาวไปฝากงานด้วยแท้ๆ ได้อย่างไรเล่า มันเท่ากับเป็นการหักหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดๆ และอาจส่งผลกระทบในวงสังคมธุรกิจภายภาคหน้าและอาจลามไปถึงความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างเขากับทรงภูมิด้วย
“ถ้าอย่างนั้นเอพริลลองชวนเพื่อนๆ ไปด้วยกันไหมลูกวันหยุดนักขัตฤกษ์พนักงานทั่วไปก็หยุดกันหมดนี่ ไปกันหลายคนสนุกดีออก”
“ดีครับผมเห็นด้วย...ว่าไงครับเอพริล” ดวงตาสีฟ้าคมกริบหันมองสาวเจ้าคนกลางอย่างขอความเห็นกึ่งบังคับอยู่ในที
“แล้ว...แต่คุณพ่อค่ะ...”
“ถ้าอย่างนั้นลูกก็ลองโทรฯ ไปชวนเพื่อนๆ ดูนะว่าใครจะไปบ้าง นานๆ จะได้ออกไปเที่ยวไกลๆ กันก็ดีเหมือนกัน พ่อเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกเลย ยังไงผมขอฝากเอพริลด้วยนะครับคุณทอเลเมียส แกถูกเลี้ยงแบบลูกคนเดียวมาตลอดไม่ค่อยประสีประสานัก” วงศ์ศาสตร์กล่าวพร้อมปรายตามองชายหนุ่มอย่างหยั่งเชิง
ทอเลเมียส ค่อนข้างมีข่าวเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันไม่มากนัก และถือได้ว่ าชื่อเสียงในด้านนี้ของเขา ไม่ได้เป็นลบสักเท่าไหร่ บวกกับหน้าที่การงานและชื่อเสียงทางสังคม อรุโณรีย์จะปลอดภัยในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้าทั่วไป
“ก็ตกลงตามนั้นนะครับ คุณวงศ์ศาสตร์ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับผมรับรองและขอรับผิดชอบทุกอย่างถ้ามีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับเอพริล ครับ” ชายหนุ่มกล่าวจริงจัง และแสดงความรับผิดชอบอย่างชัดเจนแม้จะเป็นเพียงคำพูดก็เถอะแต่เขาก็มีหน้าตาในสังคมมากพอที่จะค้ำประกันได้
อันที่จริง...เรื่องที่วงศ์ศาสตร์จะไปต่างประเทศในอาทิตย์หน้า เขาก็รู้มาก่อนแล้วด้วย...
“ครับ...ผมเชื่อว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษ” วงศ์ศาสตร์แสยะยิ้มจงใจใช้คำพูดเสียดแทงคู่สนทนา รองประธานหนุ่มถึงกับลอบยิ้มร้ายมุมปากอย่างสะท้อนใจ
สุภาพบุรุษอย่างนั้นเหรอ...วงศ์ศาสตร์เข้าใจความหมายของคำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“อืม...นี่ก็เย็นมากแล้วเชิญคุณทอเลเมียสทานมื้อค่ำที่นี่กับเราเลยนะครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณวงศ์ศาสตร์ แต่ผมต้องกลับไปเคลียร์งานที่บ้านต่อนิดหน่อย เอาไว้วันหลังก็แล้วกันนะครับ”
“อ้าว! แล้วนี่จะกลับเลยเหรอครับ”
“ครับ...ถือโอกาสลาตรงนี้เลยก็แล้วกัน แล้วเราจะได้พบกันอีกแน่ๆ คุณวงศ์ศาสตร์” ทอเลเมียสลุกยืนจ้องงูเห่าเฒ่านิ่งขึง เผยอริมฝีปากฝืนยิ้มน้อยๆ ก่อนจะจับกระชับเสื้อสูทและยื่นมือออกไปจับกับผู้ที่ลุกตามทีหลังเป็นการอำลา
“เดี๋ยวหนูจะเดินออกไปส่งคุณนาซีนะคะคุณพ่อ”
“เอาสิ...พ่อจะไปอาบน้ำอาบท่าซะหน่อยแล้วเจอกันที่โต๊ะอาหารนะลูก โชคดีครับคุณทอเลเมียส”
“โชคดีเช่นกันครับคุณวงศ์ศาสตร์”
สองหนุ่มสาวก้าวเดินออกจากห้องรับแขกไปแล้ว หนุ่มใหญ่วัยกลางคนมองตามหลังจนลับตาเขาถึงได้ลุกไปจัดการทำธุระส่วนตัวบ้าง ในสายตาของผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเลยครึ่งศตวรรษ พอจะดูออกว่าบุตรสาวกับทอเลเมียสคงมีการพัฒนาความสัมพันธ์ไปมากกว่าผู้ร่วมงานอย่างแน่นอน มันไม่ใช่เรื่องผิดปกติ และอรุโณรีย์เองก็ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว
ลูกสาวตัวน้อยของเขาโตเป็นสาวพอที่เขาจะต้องปล่อยให้ดำเนินชีวิตไปตามวิถีทางของตัวเธอเองบ้าง โดยเฉพาะในเรื่องการทำงานและเรื่องหัวใจ อย่างน้อยคนที่อรุโณรีย์เลือกคบหาก็เป็นชายหนุ่มอนาคตไกล ถึงประวัติความเป็นมาจะคลุมเครือ แต่ดูจากประวัตินิสัยแล้วถือว่าคนนี้ค่อนข้างผ่านในสายตาคนเป็นพ่อ
“ขับรถดีๆ นะคะ...”
“เป็นห่วงผมเหรอ ไปด้วยกันสิ...”
“คุณนี่!” หญิงสาวค้อนใส่สายตาเจ้าเล่ห์ เมื่อเดินมาถึงรถของเขา ทอเลเมียสเอาสองมือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วยืนมองหญิงสาวยิ้มๆ แบบที่เขาชอบทำเป็นประจำมันทำให้ภาพความใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวปรากฏชัดขึ้นมาทันที จนเธอหน้าแดงก่ำรีบก้มหลบทันที ความหอมละมุนและรสชาติอันหวานล้ำยังติดตรึงไม่รู้หาย
“พรุ่งนี้...ผมมารับได้ไหม?”
“อย่าเลยค่ะ ฉันไปเองเหมือนทุกๆ วันดีแล้วคุณจะได้ไม่ต้องลำบาก”
“ผมบอกเหรอว่าลำบาก”
“ฉัน...ฉันยังไม่ชิน ขอเวลาหน่อย”
“แค่มารับมาส่งเนี่ยนะ ก็เราเป็นแฟนกันมันเป็นเรื่องปกติ” ทอเลเมียสแย้ง ยังพยายามต้อนสมันน้อยของเขาให้จนมุมอยู่ทุกครั้งที่สบโอกาส
“แต่มันเพิ่งเริ่มต้นเองนะคะ คุณต้องให้เวลาฉันปรับตัวหน่อยสิ ฉัน...”
“โอเคไม่เป็นไร อย่าคิดมากเลยเอาเป็นว่าพรุ่งนี้เช้าเจอกันที่ห้องทำงานนะครับ”
“ค่ะ...ขอบคุณมากที่ยอมรับฟังและเข้าใจฉัน”
“เปลี่ยนได้ไหม ผมไม่อยากให้คุณแทนตัวเองว่า ฉัน ฉัน กับผมเลย มันฟังไม่ลื่นหูสักนิด”
“...” อรุโณรีย์มองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้ว ชายหนุ่มช่างหาเรื่องมาเสนอให้เธอไม่เว้นระยะเลยนะเนี่ย นี่ขนาดเพิ่งตกลงคบหากันแท้ๆ
“แทนตัวเองว่าเอพริลได้ไหม เพราะกว่า น่ารักกว่าเยอะเลย”
เอาอีกแล้ว...พ่อคนปากหวาน
“ก็...ไม่เสียหายนี่คะ”
“แล้วเรียกผมว่า...ที่รัก”
“คนบ้า!...คุณนี่มันจริงๆ เลยนะ” อรุโณรีย์กำมือทุบเข้าที่แขนล่ำเบาๆ แก้เขิน นี่เธอไม่รู้จะทำยังไงดีแล้วกับผู้ชายคนนี้ เขาชอบทำให้เธอตาเขียวและหน้าแดงในเวลาที่อยู่ด้วยกันทุกๆ สิบห้าวิเลยก็ว่าได้
“เอาล่ะๆ ผมกลับดีกว่าขืนอยู่ต่ออีกหน่อยมีหวังแขนหักไม่ต้องทำงานกันพอดี”
“ค่ะ...น่าจะไปได้ตั้งนานแล้ว...”
“ได้ทีไล่เชียว พรุ่งนี้เจอกันครับ แล้วคืนนี้นอนหลับฝันดีครับ...แล้ว...ฝันถึงผมด้วย” พูดจบชายหนุ่มร่างใหญ่ก็รีบเปิดประตูรถเข้าไปประจำที่นั่งคนขับแล้วเหยียบคันเร่งออกไปทันทีไม่รอให้หญิงสาวขว้างค้อนอันใหญ่เข้าใส่อีก
อรุโณรีย์ยืนยิ้มเขินมองรถคันหรูเคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้านไปจนลับตา ด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขในใจที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
โดยหารู้ไม่ว่า...ทางฝั่งอีกคนกลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากตอนที่อยู่กับเธอโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มในรถคันหรูกำพวงมาลัยแน่นดวงตาแข็งกร้าวแดงก่ำ ทอเลเมียสกัดฟันกรอดเข้าหากันจนร่องแก้มสากเป็นสันนูนยาวตามแนวกราม ไม่ได้มีจิตอาลัยอาวรณ์นึกถึงหญิงสาวที่บัดนี้โลกทั้งใบเป็นสีชมพูไปแล้วสักนิด
ครั้งที่งานวันเกิดคฤหาสน์หลังนี้ถูกตกแต่งจนไม่สามารถสำรวจอะไรได้มากนัก ทั้งยังเป็นเวลายามค่ำคืนเสียด้วยเขาจึงไม่รู้ไม่เห็นทุกอย่างเท่ากับวันนี้ วงศ์ศาสตร์เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปเสียสิ้น ความทรงจำอันสวยงามสาบสูญ มีเหลือไว้แค่ตึกตัวคฤหาสน์เท่านั้นที่คงเค้าโครงเดิม คำถามที่เต็มตื้นในสมองเขาตอนนี้คือ
มัน...มีสิทธิ์อะไรมาทำลายความรักความผูกพันระหว่างบิดากับมารดาของเขา
มือใหญ่หนากำแน่นทุบลงบนพวงมาลัยแรงๆ เพื่อระบายความคับแค้นใจที่มีอยู่แทบกระอักเลือด แม้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยถ้าเทียบกับความรู้สึกที่เก็บงำมานานปี