สามเดือนล่วงมาแล้วหลังจากงานวันเกิดในคืนนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ยังลอยวนเวียนอยู่ในหัวเธอไม่ยอมจางหายไปกับกาลเวลา ซ้ำยังมาคอยหลอกหลอนในชีวิตประจำวันให้เห็นอยู่บ่อยๆ อรุโณรีย์เพิ่งจะรู้ตัวเองว่าเดี๋ยวนี้เธอไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว นอกจากเฝ้าชะเง้อมองหาชายหนุ่มผู้วัยวุฒิสูงกว่าถึงเกือบสองรอบคนนั้นอยู่บ่อยๆ ทอเลเมียส...ไม่สิ เขาให้เธอเรียกเขาว่า คุณนาซี
หลังจากเรียนจบ ชีวิตเธอก็ยิ่งมีความน่าเบื่อมากขึ้นไปอีก วันๆ นอกจากอยู่ในคฤหาสน์อันโอ่อ่า แต่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความหงอยเหงาก็มีนัดชวนเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ยังไม่มีงานทำมาเดินเล่นเดินเที่ยว ช็อปปิ้งดูหนังฟังเพลงกันบ้าง ตามประสา ค่อยยังชั่วขึ้นนิดหนึ่งที่หลังจากบรรลุนิติภาวะโดยสมบูรณ์แบบแล้วบิดาของเธอก็ไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องให้คนคอยตามคอยจับตามองเท่าไหร่ นอกเสียจากไปไหนมาไหนต้องตรงเวลาและให้ไปกับคนขับรถของที่บ้านเท่านั้น
หญิงสาวมีโครงการจะเรียนต่อในระดับปริญญาโทแต่บิดากลับบอกให้พักผ่อนไปก่อน ด้วยไม่อยากให้เธอเคร่งเครียดกับเรื่องการเรียนจนมากเกินไป พอจะขอไปทำงานที่บริษัทด้วยก็โดนปฏิเสธด้วยคำตอบเดิมคืออยากให้เธอพักผ่อน อรุโณรีย์ไม่ค่อยเข้าใจเจตนานักว่าทำไมเขาถึงมักกีดกันไม่ให้เธอไปวุ่นวายกับธุรกิจทั้งๆ ที่สักวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นคนรับช่วงต่ออยู่ดี อันที่จริงควรจะให้เธอศึกษาการทำงานไว้บ้างสิถึงจะถูก
แต่พอคิดว่าท่านคงเป็นห่วงและไม่อยากให้ลำบากอยากให้อยู่กับความสุขสบายที่ท่านหามาให้เธอก็ไม่อยากขัดใจทำให้ท่านเป็นกังวล แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้...ใจเธอเองที่ต้องเป็นกังวลเพราะคนไม่รู้จัก ชายหนุ่มคมเข้มคนนั้นเขามักเข้ามาทำให้หัวใจดวงน้อยไหวหวั่นอยู่เสมอๆ น่าแปลก...ทำไมเมื่อก่อนเธอถึงไม่เคยพบเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อนเลย หรือเป็นเพราะไม่เคยสังเกต กลับกันตั้งแต่หลังจากคืนที่มีงาน ถ้าได้ออกมานอกบ้านเป็นต้องพบเจอกับในสถานที่เดียวกันอยู่ร่ำไป แม้จะไม่ได้พูดจากันเป็นพิธี หรือบางครั้งอาจแค่ได้พบเห็นหน้ากันเฉยๆ แต่มันก็สร้างความประหลาดใจปนหวั่นใจให้เธอไม่น้อย
เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือเป็นความจงใจ หรือ...มีอะไรดลใจกันแน่
“เอพริล...มองอะไรน่ะตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว...”
“เอ่อ...อ๋อ เปล่านี่จ๊ะ เราก็มองไปเรื่อยเปื่อยนั่นแหละวันนี้คนเยอะจริงๆ เลยนะ” อรุโณรีย์สะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อถูกเพื่อนทักหลังจากนั้นกวาดสายตามองออกไปยังทางเดินของห้างสรรพสินค้าด้านนอกร้านอาหารที่เธอนั่งอยู่กับเพื่อนสาวอีกสองคน
“แน่ใจเหรอ...มองเหมือนกำลังหาใครอยู่เลยนะ”
“ไม่ได้หาใครจริงๆ จ้ะ...เอ่อ...อิ่มกันหรือยังฉันจะกลับแล้วนะบอกคุณพ่อว่าจะกลับไม่เกินห้าโมงเย็น” หญิงสาวยิ้มแหยกับกลุ่มเพื่อนแล้วแสร้งวกชวนคุยเรื่องอื่น
“อิ่มแล้วล่ะ ว่าแต่พรุ่งนี้ออกมาได้หรือเปล่าเอพริล หนังเรื่องใหม่เข้าโรงด้วยนะ” พรมกนกกล่าวขณะที่กำลังเอากระดาษทิชชุ่ซับปากไปด้วย “ไม่รู้สิเฟื่องเบื่อๆ จังเลย วันๆ ไม่อยู่บ้านก็ออกมาเดินห้าง นั่งร้านอาหาร ซื้อของ...ฉันอยากทำงานน่ะ เรียนมาตั้งหลายปีพอจบก็นั่งๆ นอนๆ เดี๋ยวก็ลืมหมด” อรุโณรีย์ถอนหายใจแล้วก้มหน้าหงอยเมื่อกล่าวกับเพื่อนสาวจบ
“ใจเย็นน่ะเอพริล...คุณพ่อเธอท่านคงเป็นห่วงว่าเธอจะเหนื่อย ก็ตอนเรียนก็เรียนซะหนักมากถึงขนาดได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ท่านคงอยากให้เธอพักสมองสักระยะ”
“ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งแล้วมานั่งๆ นอนๆ มันจะมีประโยชน์อะไร...” “เอาเถอะๆ อย่าเถียงกันอีกเลย นี่...จะเครียดไปทำไมเอพริลถึงไม่ทำงานเธอก็มีกินไปสามชาติแปดชาติอยู่แล้วล่ะ คุณพ่อเธอท่านคงรักและเป็นห่วงเธอมากอย่างที่เฟื่องพูดนั่นแหละ ถ้าเบื่อๆ ก็โทรหาพวกเราได้ตลอดนี่ หรือไม่พรุ่งนี้ถ้าไม่อยากดูหนังก็ไปทำอาหารกินกันที่บ้านฉันไหม”
อัฉจิมายิ้มเสนอหวังช่วยแบ่งเบาความเบื่อหน่ายของเพื่อน เพราะเธอก็อยู่ในช่วงรอเรียกตัวสัมภาษณ์งานอยู่เหมือนกัน
“อืม...พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน นี่ถ้าพวกเธอได้ทำงานเหมือนมลเราคงเหงาอยู่คนเดียวแน่ๆ” อรุณีย์ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะหันมองเพื่อนทั้งสองที่ส่ายหน้ายิ้ม แล้วทั้งหมดก็ลุกออกจากร้านอาหารแห่งนั้น เพื่อจะกลับกันเสียทีหลังจากมาอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้หลายชั่วโมงแล้ว
“อ้าว...คุณทอเลเมียสนี่มาทานข้าวที่นี่ด้วยเหรอ ทำไมไม่เห็นเลยล่ะนั่งใกล้กันแค่นี้เอง” เมื่อลุกยืนสายตาของ อัฉจิมาก็มองไปเห็นหนุ่มนักธุรกิจมาดเถื่อนที่มักพบเจอกันบ่อยๆ ด้วยความบังเอิญจนเริ่มคุ้นเคยในระดับหนึ่ง เขานั่งอยู่ด้านหลังพวกเธอเยื้องเข้าไปด้านในนิดหน่อยเท่านั้นเอง
“...” อรุโณรีย์ก้มหน้าทันทีโดยอัตโนมัติ หญิงสาวรู้สึกอายที่เอาแต่มองหาเขาโดยไม่รู้สักนิด ว่าเขาอยู่ใกล้ตัวแค่นี้เอง แล้วเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย...แล้ว...เขาจะเห็นไหมว่าเธอกำลังชะเง้อหาเขาอยู่ตลอด
“นั่นไงเขาเห็นเราแล้วเข้าไปทักกันหน่อยนะ จะได้ไม่เสียมารยาท...” อัฉจิมาหันมายิ้มกับเพื่อนสาวสองคนอย่างร่าเริงก่อนจะจูงมือทั้งคู่ให้เดินไปยังโต๊ะของทอเลเมียสที่กำลังนั่งส่งยิ้มทักทาย
“เราว่า...อย่าไปกวนเขาเลยนะเอมี่ ดูท่าทางเขาคงมากับลูกค้าสำคัญหรือไม่ก็พวกคนใหญ่คนโตเดี๋ยวเขาจะรำคาญเอาเปล่าๆ นะ” อรุโณรีย์พยายามยื้อดึงมือกลับแต่อัฉจิมาก็ไม่ยอมท่าเดียว เธอถือว่าก็แค่ทักทายกับคนรู้จักเท่านั้นจะเป็นไรไป ต่างจากคนที่ถูกจูงลากที่หัวใจเต้นตึกตักผิดจังหวะขึ้นมาอีกแล้ว
“คุณทอเลเมียสสวัสดีค่ะ...บังเอิญอีกแล้วนะคะ”
“สวัสดีครับสาวๆ มาทานข้าวกันเหรอครับ...” ชายหนุ่มผู้ถูกทักยิ้มตอบและทำท่าลุกยืนเป็นการให้เกียรติสุภาพสตรี
“นั่งก่อนไหมครับ...เดี๋ยวเมื่อยแย่” เขาบอกทีเล่นทีจริง แต่สายตานั่นกวาดมองไปยังหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังของอัฉจิมา
“เรากำลังจะกลับกันแล้วค่ะ เห็นคุณทอเลเมียสก็เลยเข้ามาทักทาย แฮ่ๆๆ...รบกวนไหมคะเนี่ย” อัฉจิมายังถามด้วยรอยยิ้ม และน้ำเสียงเป็นกันเอง ด้วยใจเธอรู้สึกกับคนตรงหน้าเช่นนั้นจริงๆ
“อ๋อ ไม่รบกวนนี่ครับ นั่งคุยกันก่อนก็ได้...ผมลืมแนะนำนี่คุณพิศณุเป็นเลขาท่านประธานครับส่วนคนนี้โยธินลูกน้องมือขวาผมเอง...นี่คุณอัฉจิมา คุณพรกนกเป็นเพื่อนของคุณอรุโณรีย์ที่ยืนด้านหลังลูกสาวของ...คุณวงศ์ศาสตร์...” เขาเอ่ยอีกชื่ออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พิศณุกับโยธินที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นโค้งตัวเล็กน้อยให้กับสาวๆ ซึ่งพวกเธอกำลังยกมือไหว้อย่างมีมารยาทจนพวกเขาแทบรับไว้ไม่ทัน
“พวกเราเพิ่งกลับมาจากไปพบลูกค้าครับก็เลยแวะมาหาอะไรกินกันนิดหน่อย ไม่ได้เป็นทางการ ถ้าพวกคุณไม่รังเกียจนั่งคุยเป็นเพื่อนกันก่อนก็ได้นะครับ”
“เราต้องกลับแล้วค่ะ...เอ่อ เราออกมากันนานแล้ว...” อรุโณรีย์ชิงตอบก่อนที่ใครจะได้พูดอะไร ซึ่งอัฉจิมาก็หันมาพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
“คือ...ขอตัวก่อนนะคะ แล้วเจอกันใหม่นะคะคุณทอเลเมียส”
“เดี๋ยวครับ...คือนี่นามบัตรของผม เราเจอกันหลายครั้งแล้วผมลืมเอาให้ทุกที ตอนนี้บริษัทของผมกำลังรับสมัครนักศึกษาจบใหม่เข้าทดลองงานในหลายสาขา ถ้าพวกคุณสนใจหรือมีเพื่อนที่อยากแนะนำเชิญได้เลยนะครับผมยินดี...” ทอเลเมียสยิ้มกวาดสายตามองทั้งสามสาว แต่เพ่งส่งความหวานชื่นให้กับอรุโณรีย์ที่ก้มหน้างุดมากกว่าใคร ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่าเจ้าเล่ห์เหมือนที่ชอบทำบ่อยๆ เมื่อเหลือบไปเห็นกิ๊บบนศีรษะของหญิงสาว