อึก...
ปวด!
ร่างเล็กบอบบางนอนกระสับกระส่ายอยู่บนฟูกนอนสีขาว หอบหายใจแรงจนทรวงอกกระเพื่อมไหว หนังตากระตุกราวกับกำลังฝันร้าย
ภาพเหตุการณ์ชีวิตของใครคนหนึ่งฉายชัดขึ้นในห้วงแห่งความฝันตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นใจตาย หญิงสาวที่แสนอาภัพและมีชีวิตราวกับผ้าขี้ริ้วในเรือน ‘คุณหนูเถียนไต้หรง’ นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลเถียนซึ่งทำการค้าไม้จนมีฐานะร่ำรวย
เมื่อเติบโตเป็นสาวพ้นวัยปักปิ่นได้ไม่นาน นางก็ได้พบรักกับ ‘อู๋ซั่วกู่’ แต่งงานได้ไม่ถึงปีบิดามารดาของนางก็จากไปด้วยอุบัติเหตุรถม้าพลิกคว่ำตกจากหน้าผา
สามีจึงเข้าควบคุมการเงินราวกับรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว ผลาญทรัพย์สมบัติใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงนำอนุภรรยาคนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่ คนที่ห้า คนที่หก เข้ามาในจวน สร้างความทุกข์ระทมให้แก่คุณหนูเถียนเป็นอย่างมาก
เถียนไต้หรงนั้นเป็นคนหัวอ่อน ไม่กล้าต่อว่า ไม่กล้าขัดใจ ไม่กล้าทำให้สามีขุ่นเคืองเพราะกลัวว่าเขาจะไม่รักนาง ซึ่งแม้ว่านางจะไม่มีปากเสียงและคอยตามใจสามีอยู่ตลอดเวลา เขาก็ไม่เคยเห็นค่าและไม่เคยหยิบยื่นเศษเสี้ยวความรักให้นางแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำยังคอยพูดจาบั่นทอนจิตใจ จนนางค่อยๆ หมดความเชื่อมั่นในตนเองไปในที่สุด
นานวันเข้า...
ไต้หรงก็กลายเป็นหญิงที่มีชีวิตราวกับดอกไม้เหี่ยวเฉา สาวใช้ไม่เกรงกลัว อนุภรรยาเชิดหน้าชูตาทำตัวอยู่เหนือกว่านาง อีกทั้งอนุเหล่านั้นต่างมีบุตรชายบุตรสาวให้แก่สามี ในขณะที่นางเริ่มซูบผอม ป่วยไข้ และไม่สามารถมีบุตรได้
ท้ายที่สุดคุณหนูเถียนไต้หรงก็เสียชีวิตลงตอนอายุสี่สิบปี ‘ใหลตาย’ อยู่บนเตียงตั้งแต่กลางดึกจนตกค่ำอีกวันสาวใช้จึงเข้ามาพบศพ
ฮือ...
อรินดาที่กำลังหลับใหลนอนกระสับกระส่ายถึงกับปล่อยโฮออกมา เหตุใดจึงทำให้เธอเห็นชีวิตของผู้หญิงคนนั้น หรือเพราะเธอและนางมีชะตาชีวิตเหมือนกัน
เป็นคนหัวอ่อน ยอมคน ไม่กล้าลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องตัวเอง
“สู้สิ! ต้องสู้! ฉันจะไม่ยอมเป็นคนหัวอ่อนอีกต่อไปแล้ว ฉันจะไม่ยอมรองมือรองเท้าใครอีกต่อไปแล้ว ฉันจะไม่ใช้ชีวิตแบบเดิม ไม่! ไม่!”
หญิงสาวละเมอออกมา ก่อนที่ดวงตาภายใต้เปลือกตาจะกลิ้งกลอกราวกับกำลังพบเจอบางสิ่งบางอย่างในความฝัน ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองออกมาอย่างชัดเจน
หญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นในม่านหมอกขมุกขมัว เมื่ออรินดาเพ่งมองจึงเห็นว่าหญิงผู้นั้นคือ ‘เถียนไต้หรง’ กำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำใจ ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความทุกข์โศก
‘อรินดาได้โปรด ได้โปรดแก้แค้นแทนข้า ได้โปรดทำให้พวกมันทุกคนได้รับรู้ความทุกข์เฉกเช่นที่ข้าได้รับ ได้โปรดสู้เพื่อเรา...’
หญิงสาวงุนงงเมื่อจู่ๆ เถียนไต้หรงก็ลุกขึ้นตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะวิ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว
ชนแน่!
อรินดาตกใจจนแทบผงะเมื่ออีกฝ่ายวิ่งเข้าหาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จังหวะที่เธอกำลังจะหลบแต่อีกฝ่ายกลับวิ่งเข้ามาปะทะร่างของเธอจนเซถอยหลัง ก่อนจะกลืนหายเข้ามาในตัวเธอผสานเป็นหนึ่งเดียว
นะ...นี่อะไรกัน
หญิงสาวกระสับกระส่ายก่อนจะผวาลืมตาตื่น เหงื่อกาฬเปียกโชกไปทั้งใบหน้าและแผ่นหลัง เธอผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะงุนงงเพราะรู้สึกราวกับคนไม่มีเรี่ยวแรง
เธอตายไปแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงรู้สึกราวกับมีกายเนื้อ มีสังขาร มีความรู้สึกเล่า
หญิงสาวนิ่วหน้ามองไปรอบๆ ห้องที่ตกแต่งแบบจีนโบราณดูแปลกตา ห้องนี้เหมือนในความฝันไม่ผิดแน่ ห้องนอนของเถียนไต้หรง!
“ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
พูดออกมาแล้วก็ถึงกับนิ่งอึ้ง เมื่อภาษาที่พูดออกมานั้นไม่คุ้นหู ทว่าอรรินดากลับเข้าใจได้อย่างแจ่มชัด หญิงสาวก้มลงมองเสื้อนอนสีขาวแขนยาวสาบคอเสื้อไขว้ทับผูกปมไว้ที่ข้างเอว รูปร่างที่ผอมบาง มือเล็กซีดขาวราวกับไร้เลือดฝาด
“นะ...นี่ใครกัน!”
ไวกว่าความคิดนางโผไปที่โต๊ะกระจกแล้วจ้องมองเงาสะท้อนด้วยความตกใจสุดขีด
“เถียนไต้หรง!”
นางอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะนิ่วหน้าเมื่อความทรงจำ ความรู้สึก ความเหงา ความเศร้า ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจไหลบ่าเข้าผสานกับดวงจิตของนางราวกับสายน้ำที่โหมกระหน่ำ
“ทรมานเหลือเกิน ทรมานเหมือนร่างจะถูกฉีกขาดออกเป็นเสี่ยงๆ เสียกระนั้น”
เสียงแห่งความทรงจำจากร่างเดิมดังก้องเข้ามาในห้วงแห่งความนึกคิดราวกับถูกตะโกนตะคอกใส่อย่างเกรี้ยวกราด
“โง่!”
“นังฮูหยินปัญญาอ่อน”
“เจ้ามันก็แค่หุ่นเชิด”
“เอาเงินมาให้ข้า!”
“เจ้ามันเป็นภรรยาไม่เอาไหน”
หญิงสาวโซซัดโซเซ ดวงตาพร่าพราย ศีรษะหนักอึ้ง ท้ายที่สุดนางก็หมดสติล้มลงไปนอนกับพื้น...