ตอนที่ 8 : แบบทดสอบแรก
ณ โรงเรียนฟราเทลเลียส เวลา 7.30 น.
หญิงสาวซึ่งแต่งกายในชุดสีดำรัดกุมบนอาชาสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกับสีผมของเธอเคลื่อนตัวผ่านประตูทางเข้าของโรงเรียนชื่อดังแห่งเดแฮมเบลเช่นเดียวกับผู้ที่มาสมัครเข้ารับการทดสอบคนอื่นๆจนดูแล้วเธอน่าจะกลมกลืนไปกับฝูงชนเหล่านั้นแต่ทว่า....เธอกลับโดดเด่นและดูแตกต่างจากคนที่รายล้อมเธออยู่อย่างสิ้นเชิงโดยที่คราเทลไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
และที่ผู้สมัครทุกคนต้องเอาสัตว์พาหนะของตนเองมาที่โรงเรียนในวันนี้ก็เพราะว่าจะมีการทดสอบเรื่องการขี่พาหนะด้วย แต่เรื่องรายละเอียดนั้นบอกได้ตามตรงว่าเธอแทบจะไม่รู้อะไรเลยนอกเสียจากการแบ่งการทดสอบออกเป็นสี่สวนใหญ่ๆซึ่งแบ่งสามบททดสอบแรกเอาไว้ในวันนี้ ส่วนบททดสอบทสุดท้ายจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้
ส่วนเหตุผลที่วันนี้เธอมาโรงเรียนด้วยตนเองโดยที่ไม่มีเนเธอร์นั่นเป็นเพราะชายหนุ่มอ้างว่ามี ‘ธุระ’
แล้วพอเธอถามว่า ‘ธุระ’ ที่มาน่ะมันคืออะไร เขาก็ทำเพียงแต่ยักไหล่ส่งคืนมาให้อย่างไม่ใส่ใจนัก แถมยังส่งยิ้มกวนประสาทจนเธอเกือบจะได้วางมวยกับพี่ชายของเธอเพราะความหมั่นไส้ ถ้าไม่ติดที่ว่าโจเซฟเอาของกินมาล่อเธอเอาไว้เสียก่อนน่ะนะ
“คราเทล” เสียงทักของใครบางคนดังประสานกับเสียงร้องของม้าที่ดังกังวาลไปทั่วบริเวณทางเดินซึ่งทอดยาวไปยังลานน้ำพุเรียกให้เจ้าของชื่อหันไปมองยังที่มาของเสียงซึ่งเธอก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นเสียงของใคร
“เอส”
เอสตาร์บนอาชาสีดำสนิทแลดูสง่างามราวกับเจ้าชายส่งยิ้มให้เธอที่มุมปาก แต่แค่นั้นก็สามารถสะกดสายตาของบรรดาสาวๆให้จ้องมองเขาอย่างไม่วางตา
“ลูกพี่เรานี่ เสน่ห์แรงไม่เคยเปลี่ยนเลยแหะ” น้ำเสียงสบายๆของอาร์คดังตามมาติดๆพร้อมกับอาชาสีขาวของเขาและเอวิวนั้นควบมาประกบเธอเอาเอสตาร์เอาไว้ราวกับว่าพวกเขาเป็นองครักษ์ของเธอกับเอสตาร์อย่างนั้นแหละ
“แต่ก็น่าแปลกอยู่อย่างหนึ่งน้า” เอวิวซึ่งขี่ม้าอยู่ข้างๆเธอเรียกให้ทุกคนหันไปมองเขาอย่างช่วยไม่ได้ แต่แล้วชายหนุ่มกลับกระพริบตาส่งให้เธอหนึ่งทีแล้วหันไปมองหน้าอาร์คด้วยดวงตาเป็นประกาย
“อ๋อ...ใช่ๆ แปลกจริงๆด้วย” อาร์คเออออให้กับคำพูดของน้องชายของตนเหมือนกับรับรู้อะไรกันอยู่ก่อนแล้ว แต่แววตาระยิบระยับของสองฝาแฝดที่จ้องมองมาที่เธอนั้นส่งผลให้คราเทลเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆพิกล
“มีอะไรน่าแปลกงั้นเหรอ!” หญิงสาวพูดโพล่งขึ้นมาอย่างหงุดหงิดที่อาร์คและเอวิวเริ่มทำตัวมีลับลมคมนัยอะไรบางอย่างซึ่งมันทำให้เธอหงุดหงิด!
สีหน้างอง้ำของเธอเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทได้เป็นอย่างดี และนั่นทำให้ร่างบางที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วหันไปแว้ดใส่อย่างอดเสียไม่ได้
“ขำอะไรเอส!” เสียงของเธอไม่ได้ทำให้เอสตาร์หยุดหัวเราะเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะทวีความดังของเขามากยิ่งขึ้นจนทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าในยามที่เขาหัวเราะนั้นดูดีมีเสน่ห์กว่าตอนที่ทำหน้านิ่งๆราวกับรูปสลักเป็นไหนๆ
โป๊ะ
“นั่นไง! เป็นอย่างที่ฉันว่าจริงๆด้วย...” อาร์คพูดก่อนจะดีดนิ้วอย่างถูกใจ จากนั้นก็รีบเอ่ยไขข้อข้องใจให้คราเทลอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าดวงตาสีอเมทิสต์ที่เริ่มจะกลายเป็นสีเขียวปั๊ดนั้นหันมามองอย่างเอาเรื่อง
“ก็ ปกติแล้วเอสตาร์ไม่ได้หัวเราะบ่อยนักหรอกนะ ออกจะเป็นคนเงียบๆเสียด้วยซ้ำ...”
“ใช่! ขนาดว่าคนในครอบครัว รวมไปถึงเพื่อนๆในสมัยเด็กอย่างพวกฉันยังทำให้เขายิ้มได้ยากเลย แต่เธอ! คราเทล...เธอทำให้เอสตาร์หัวเราะได้! แถมเธอยังเรียกชื่อเขาว่า ‘เอส’ เฉยๆอีกด้วย!” เอวิวผสมโรงกับพี่ชายของตนพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้จนเธอแทบจะตกม้า ดีที่หญิงสาวจัดการผลักอกของเขาให้กลับไปนั่งบนม้าได้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้เกิดโศกนาฏกรรมที่โรงเรียนฟราเทลเลียสในวันรับการทดสอบแรกแน่ๆ
“แล้วเรียกชื่อ ‘เอส’ เฉยๆมันผิดตรงไหนไม่ทราบ!” คราเทลถามกลับในขณะที่คิ้วเรียวนั้นขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อตอนแรกเขาบอกเธอว่าเขาชื่อเอส เธอก็เรียกเขาแบบนั้นจนชินปากไปแล้วเท่านั้นเอง...
“ก็สรรพนามเนี้ย! มีแต่คนในครอบครัวของเอสตาร์เท่านั้นที่เรียกได้ แม้กระทั่งพวกฉันยังไม่ได้สิทธิ์เรียกเขาแบบนั้นเลยนะ!” ประโยคต่อมาของอาร์คส่งผลให้หญิงสาวถึงกับเถียงกลับทันทีด้วยน้ำเสียงกวนประสาทอย่างที่สุดตามฉบับยัยตัวแสบอย่างเธอ
“ก็พวกนายทำตัวไม่สำคัญเองนี่น่า” คราเทลเอ่ยพลางหัวเราะออกมาอย่างซะใจ แต่อาร์คก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ เขาอ้าปากเตรียมจะต่อปากต่อคำกับหญิงสาวต่อถ้าไม่ติดที่ว่าน้ำเสียงราบเรียบของใครบางหนึ่งขัดเขาเอาไว้
“พอได้แล้ว” ดวงตาสีแซฟไฟร์ของผู้พูดดูจะเป็นแววตาตำหนิอยู่กลายๆยามเมื่อดวงตาคมกริบราวกับพญาเหยี่ยวคู่นั้นหันไปปราบสองพี่สองฝาแฝดเอาไว้ ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่พวกเธอทั้งสี่คนเดินทางมาถึงลานน้ำพุพอดี
คราเทล เอสตาร์ อาร์คและเอวิวต่างก็กระโดดลงจากอานม้าด้วยทวงท่าชำนาญราวกับว่าพวกเขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี และก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร น้ำเสียงทรงอำนาจของเอสตาร์ก็ดังขึ้น
“อาร์ค นายพาม้าทั้งสี่ตัวไปฝากที่คอกก่อน ส่วนเอวิวก็ไปรายงานตัว เสร็จแล้วไปเจอกันที่หน้าอาคารอเนกประสงค์” และแล้วดวงตาของเอสตาร์ก็เปรยมามองเธอเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงบอกให้เธอเดินตามเขาไป ซึ่งคราเทลก็ทำตามแต่โดยดีเพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงบ้าง แถมเนเธอร์ซึ่งเป็นที่พึ่งเพียงผู้เดียวก็ไม่อยู่เสียนี่
เอสตาร์พาเธอไปยังจุดลงชื่อตรงโต๊ะตัวที่สี่ซึ่งวางเรียงกันเป็นแถว ห่างกันประมาณสองเมตร ซึ่งแต่ละโต๊ะนั้นจะมีธงแต่ละสีปักอยู่ ไล่มาจากสีแดงซึ่งก็คือคราวน์ สังเกตได้จากรูปมงกุฎที่ปักอยู่บนนั้น ถัดมาคือธงสีน้ำเงินของวอร์ริเออร์ที่มีรูปดาบและขวานไขว่กันอยู่บนโล่ตรงบริเวณใจกลางของธง จากนั้นก็เป็นธงสีเขียวซึ่งมีดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ และสุดท้ายก็คือธงประจำภาคคริสตัลซึ่งเป็นสีเหลืองโดยมีอัญมณีสามสีอันได้แก่สีแดง น้ำเงินและเขียวถูกจัดเรียงเป็นวงกลมล้อมรอบคริสตัลเอาไว้
จะว่าไปแล้ว ธงของทุกภาคก็มีเอกลักษณ์เฉพาะอย่างซึ่งแสดงถึงความโดดเด่นของภาคเรียนของตนเองไว้ได้อย่างลงตัว ฟราเทลเลียสนี่ก็เป็นโรงเรียนที่ไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย
คราเทลนึกพลางไล่สายตามองธงสีต่างๆด้วยสายตาชื่นชมก่อนที่ดวงตาของเธอจะมาหยุดลงที่ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทที่จ้องมองเธออยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไรเหรอเอส” หญิงสาวถามพลางขมวดคิ้วส่งให้เขา อีกประมาณสามคนกว่าจะถึงคิวให้พวกเธอได้ลงชื่อ ฉะนั้นพวกเธอยังพอมีเวลาที่จะคุยกันได้อีกนิดหน่อย
ใบหน้าคมคายดูจะมีสีหน้าที่แตกต่างจากเดิมเล็กน้อย แววตาของเขาดูเคร่งเครียดและจริงจังทั้งๆที่เมื่อครู่นี้ยังดีๆอยู่แท้ๆ และนั่นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยดีเลย
“ฉันกะจะถามเธอตั้งแต่เมื่อวานแล้ว....แต่ไม่มีโอกาส” น้ำเสียงราบเรียบของเขาส่งผลให้หญิงสาวเงียบเพื่อรอฟังคำพูดต่อไปของเขาอย่างตั้งใจทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่น เธอก็คงจะหัวเราะแล้วตบไหล่อีกฝ่ายดังป๊าบเพราะไม่อยากให้เขาชัดสีหน้าแบบนั้น
แต่ก็นะ...เธอยังไม่สนิทกับเอสตาร์ถึงขั้นที่จะทำอะไรแบบนั้นได้สักหน่อย
“เมื่อวานตอนเช้า...มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า” แววตาที่แสดงถึงความรู้สึกผิดส่งผลให้คราเทลขมวดคิ้วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ ราวกับว่าเขารับรู้เรื่องราวอะไรมา เรื่องราวที่เธอถูกลอบโจมตีที่บ้านของเนเธอร์ ทั้งๆที่เธอเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นแค่ความเข้าใจผิด
เอสตาร์จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีอเมทิสต์อย่างค้นหาคำตอบ สาเหตุที่ทำให้เขากระวนกระวายนั้นก็เพราะว่าอาการของเขานั้นกำเริบในช่วงเวลาที่เขารับรู้ว่าหญิงสาวได้รับอันตรายพอดี เขาจึงไม่มีโอกาสได้ช่วยเธอ แต่เมื่อเขาเห็นว่าคราเทลยังปลอดภัยเขาก็สบายใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าเธออาจจะได้รับบาดเจ็บแต่ไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา
อีกทั้งเขายังรู้ว่าคราเทลเพิ่งจะทำพันธะกับองครักษ์อีกคนหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้จัก แต่สิ่งที่เขารับรู้ได้ก็คือพลังของอีกฝ่ายนั้นแตกต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง น่าแปลกที่หญิงสาวสามารถรับพลังเหล่านั้นเข้าไปในตัวได้โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิด
“อ๋อ...มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันนิดหน่อยที่บ้านน่ะ ว่าแต่...นายถามทำไม?” คราเทลถามกลับในขณะที่ดวงตาหวานนั้นมองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้นแต่กลับได้เพียงฝ่ามือหนาๆที่วางลงบนศีรษะของเธอก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของมือจะลูบเส้นผมสีน้ำตาลแดงของเธออย่างอ่อนโยนจนเธอถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปนานกว่าหนึ่งนาที!
“เอ่อ...มาลงชื่อด้วยค่ะ” เสียงของนักเรียนหญิงรุ่นพี่ส่งผลให้คราเทลได้สติ เธอส่งสายตาไปมองเอสตาร์ที่ยืนยิ้มที่มุมปากอยู่อย่างคาดโทษ ก่อนจะส่งยิ้มแห้งๆให้กับหญิงสาวที่นั่งรออยู่ตรงโต๊ะแล้วเดินตรงไปลงชื่อด้วยปากกาขนนกสีดำสนิทแล้วเขียนชื่อของตนเองด้วยลายมือบรรจงเสียจนรุ่นพี่ถึงกับอดนึกชมในใจไม่ได้
‘ก็แหม! ปกติคนที่มาสมัครเข้าภาคนี้ต่างก็เป็นพวกโหดๆแล้วชอบเขียนลายมือตวัดกันทั้งนั้นเลยนี่นา! แต่สาวน้อยคนนี้กับผู้ชายเมื่อครู่กับลงชื่อด้วยลายมือสุภาพเรียบร้อยจนทำให้ชักน่าสนใจเข้าแล้วล่ะสิ’
เธอคิดพลางอมยิ้มที่มุมปากจากนั้นก็มองตามร่างทั้งสองร่างที่เดินออกจากบริเวณนั้นโดยไม่หันกลับมามองเลยแม้แต่น้อย