แรงปะทะจากลมและเสียงหวีดหวิวขณะเรือแล่นดังจนพิชชาอรต้องตะโกนสวนออกไป “ว่าไงนะคะ”
“คุณโอเคไหม” เขาหันมาถามพร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์โอเค เธอจึงตอบกลับไป “โอเคค่ะ” ถึงจะเป็นการลงเรือครั้งแรกก็เถอะ
วันนี้มาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ปุญญ์ชวนเธอให้ข้ามมาที่เกาะด้วยกัน
เขาบอกว่าเกาะนี้เป็นเกาะส่วนบุคคล เพียงห้าสิบนาทีจากท่าเรือบาลีฮาย พิชชชาอรและเขาก็มาถึงเกาะนี้ด้วยสปีดโบ้ทด้วยกัน ที่ปกติทางเกาะนั้นจะมีออกทุกชั่วโมงเพื่อกลับขึ้นฝั่ง
เมื่อถึงปุญญ์ลงไปก่อนพร้อมกับรอรับให้เธอลงจากเรือด้วยการยื่นมือออกรอเหมือนรับเด็กๆ เร่งให้เธอลงด้วยสายตาของผู้บริหารที่เขามักใช้บ่อยๆเวลาเธอขัดเขา พิชชาอรเก้ๆกังๆไม่กล้าทิ้งตัวลงไปให้เขาอุ้ม แต่แล้วเมื่อเรือโคลงจากคลื่นลมในทะเล เธอจึงเสียหลักจนเกือบตกลงไปในน้ำที่แม้ไม่ลึกแต่หากไม่ตั้งหลักดีดีคงเปียกเป็นลูกแมวตกน้ำ หมดท่าเอาแน่ๆ
เดชะบุญที่ปุญญ์รับเธอเอาไว้ได้ทัน แล้วพาอุ้มจนมาถึงบริเวณที่เป็นทรายแห้งๆค่อยปล่อยให้เธอลงยืน
“ขอบคุณค่ะ”
พิชชาอรบอกเขาด้วยใบหน้าแดงจัดด้วยความเขินอายเมื่อต้องใกล้ชิดกับผู้ชายมากเสน่ห์แบบปุญญ์
วันนี้ปุญญ์อยู่ในชุดลำลองสีอ่อนสบายตา เขาเดินนำขึ้นไปบนเกาะบริเวณบ้านพักโดยมีเธอเดินตามหลังไปด้วยความรู้สึกที่ยังเขินอายอยู่มาก
บ้านบนเกาะล้อมรอบไปด้วยสีฟ้าครามของน้ำทะเลและผืนทรายที่แม้จะไม่ขาวจัดแต่สีครีมของมันก็ทำให้กลมกลืนกันได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสบายตาอีกด้วย ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็เจอหญิงสาวสองคน คล้ายจะเป็นแม่ลูกกัน กำลังจัดเตรียมของอยู่ด้านใน
“สวัสดีค่ะคุณปุญญ์” หญิงคนที่ดูอายุมากกว่ากล่าวทักทายเขาด้วยท่าทางเกรงๆ
“ช่วยเอาของไปเก็บที่ห้องให้ด้วยครับ” ปุญญ์บอกให้เข้ามารับของไปจากเขา คนรับคำสั่งกะวีกะวาดทันที แล้วปุญญ์จึงหันมาถามเธอ
“หิวไหมครับ”
“ยังค่ะ เพิ่งกินก่อนลงเรือมานี่เอง”
“งั้นจะเข้าไปพักในห้องก่อนไหมครับ”
“ดีค่ะ”
พิชชาอรเดินตามเด็กหญิงวัยไม่น่าเกินสิบห้าปี ไปที่ห้องพักของเธอ ส่วนปุญญ์เดินออกไปอีกทางเพราะมีสายเรียกเข้ามาพอดี คงไปรับสายสนทนาที่เรียกเข้ามาซ้ำๆหลายครั้งแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสได้โทรกลับ
“คุณเป็นแฟนกับคุณปุญญ์หรือคะ”
แม่สาวน้อยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ ทั้งยังทำเอาคนถูกถามเก้อไปเช่นเดียวกัน “ไม่ใช้จ้ะ พี่เป็นเพื่อนกับคุณปุญญ์”
เด็กสาวเอียงคอมองหน้าพิชชาอรอย่างสงสัย ก่อนจะพูดออกไป “แต่...คุณปุญญ์ไม่เคยพาใครมาที่บ้านนี้เลยนะคะ”
พิชชาอรได้ฟังอย่างนั้นพลันรู้สึกราวกับหลุดลอยขึ้นไปบนฟ้า ได้แต่บอกตนเองว่าอย่าคิดมาก แค่เขาไม่เคยพาใครมาก็ใช่ว่าจะคิดอะไรกับเธอมากไปกว่าที่เป็นอยู่นี่
“นก นกเอ้ย”
เสียงเรียกดังมาจากหน้าพักของเธอ เด็กสาวที่เธอเพิ่งได้รู้ชื่อว่าชื่อนก ขานรับแล้ววิ่งออกไปตามเสียงเรียก ครู่ใหญ่ๆปุญญ์เข้ามาเคาะประตูแล้วถามตรงหน้าห้องพักของเธอ
“เก็บของอยู่หรือเปล่าครับ”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“ไปเดินเล่นกันไหม ให้สร้อยเตรียมอาหารไว้แล้ว เดี๋ยวเรากลับมากินด้วยกัน”
เขาแจงทั้งยังชวนเธอออกไปเดินรอบเกาะเลียบทะเลไปไม่ไกลนัก พอได้สูดกลิ่นไอทะเลและถูกลมแดดไล้ผิวกายพร้อมกับพูดคุยกับเขาด้วยเรื่องสบายๆก็ทำให้พิชชาอรผ่อนคลายลงมาไม่น้อย หลังจากนั้นจึงพากันกลับเมื่อเห็นสมควรแก่เวลา ถึงแล้วถึงเห็นว่าสองสาวแม่ลูกยังคงง่วนอยู่กับอาหารที่ยังไม่แล้วเสร็จดี พิชชาอรเดินเข้ามาถามใกล้ๆ
“ทำอะไรกันบ้างแล้วคะ”
“มีต้มยำทะเลมะพร้าวอ่อน กุ้งทะเลเผา ผัดกระเพราปลาค่ะคุณ”
พิชชาอรยื่นหน้าไปมองในอ่างล้างที่ยังมีของสดวางไว้ “นี่หมึกไข่หรือเปล่าคะ”
“ค่ะคุณ”
“งั้นทำหมึกไข่นึ่งมะนาวอีกที่ก็แล้วกันนะคะ จานนี้กี๋ทำเองค่ะ”
ปุญญ์มุ่ยหน้าหน่อยๆ ออกปากห้าม “ให้เขาทำกันไปเถอะครับ คุณไปอาบน้ำดีกว่า หรือจะเล่นน้ำรอดี”
พิชชาอรลงมือล้างของในอ่างทันที แล้วหันมาบอกเขา “กี๋ทำเองดีกว่าค่ะ รับรองเมนูนี้คุณก็กินได้ไม่เผ็ด”
ปุญญ์มองเธออย่างชั่งใจแล้วถาม “ให้ผมช่วยอะไรไหม”
“เคยเข้าครัวไหมคะ”
“เคยสิครับ”
“งั้นปอกกระเทียมเลยค่ะ สับพริกเป็นไหมคะ”
“อันแรกยังพอฟังดูง่ายๆอยู่นะ แต่อันหลังนี่ผมว่าจะยากไปแล้วล่ะ” ปุญญ์ว่าขึ้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับสามสาวในทันที
“งั้นไปนั่งรอเถอะค่ะ ฉันทำเอง”
“ผมอยากช่วย” เขายังดึงดัน เธอเลยแกล้งว่าให้ ในใจนึกขำเขาอยู่ไม่น้อย “จะขวางน่ะสิคะ”
ปุญญ์แกล้งหรี่ตาคมของเขา แต่ท่าทางเขานั่นดูออกชัดเจน ว่ากำลังกล่าวหาเธอ “บอกตามตรงนะ ผมกลัวมีคนแกล้งผม”
“ใครจะแกล้ง...”
พิชชาอรเลยแกล้งลากเสียงสูงบอกบ้าง แล้วทำตาโตอย่างจะเย้าเขา ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน
ทั้งคู่ชวนกันคุยช่วยกันปรุงอาหารไปพร้อม แว่วเสียงหัวเราะหยอกล้อออกมาเป็นระยะๆ จนเด็กสาวที่ชื่อนกอดไม่ไหวสะกิดแม่ของตนเองให้มองตาม เมื่อแอบเห็นว่าปุญญ์แกล้งหญิงสาวที่พามาด้วย แล้วอดหน้าแดงแทนไม่ได้ เพราะไม่เคยเห็นเจ้านายหนุ่มในอากัปกิริยาเช่นนี้พาใครมาที่นี่มาก่อน ไหนจะแววตาที่มองกันนั่นอีกไม่ใช่แฟนแล้วจะเรียกกันว่าอะไรดี
อาหารเสร็จเรียบร้อยเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พร้อมถูกยกไปวางรอที่ห้องอาหาร ห้องที่เปิดด้านหน้าออกสู่ทะเล โดยมีพื้นที่ส่วนที่เป็นด้านนอกบางส่วนเป็นสระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก มาพร้อมเสียงเพลงที่ไม่รู้ว่าแหล่งกำเนิดเสียงถูกซุกซ่อนไว้ตรงไหน แต่มันดังคลอเสียงคลื่นและแรงลมได้อย่างลงตัวเหมาะเจาะพอดิบพอดี
“หิวมากไหมคะ ขอฉันอาบน้ำครู่เดียวนะ”
ปุญญ์พยักหน้าตอบรับเดินไปบอกสองแม่ลูกให้แบ่งอาหารไปกิน เช้าค่อยมาเก็บของ แล้วนั่งรอที่โซฟา ก่อนจะนึกได้เขาลุกไปหยิบไวน์มาเปิดรอ ครู่เดียวพิชชาอรจึงตามสมทบ เธออยู่ในชุดกระโปรงตัวสวย...ชุดที่เขาเคยส่งให้เธอคราวนั้น
ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอหยิบมันใส่กระเป๋ามาด้วย ตั้งแต่ตอนจัดกระเป๋าเพื่อมาประจำสาขาพัทยา
“ยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยค่ะที่หาชุดไว้ให้เปลี่ยน” พิชชาอรบอกเขินอายน้อยๆ
ปุญญ์รสนิยมใกล้เคียงกับเธอ ทั้งสีและแบบของชุดถูกใจเธอมาก คราวนั้นเธอไม่ได้ใส่เพราะไม่พอใจเขาล่ะหนึ่ง และอมิตาแวะซื้อเสื้อผ้ามาให้ด้วยจึงขอยืมของพี่สาวเอามาใช้แทน แล้วเก็บชุดนี้ไว้ในตู้อีกที พอเขาชวนเธอมาเที่ยวเลยนึกได้ว่าน่าจะหยิบมาใส่ในโอกาสนี้ เห็นสายตาที่เขามองมาด้วยความถูกใจก็ประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“เลิกจ้องแบบนั้นเถอะค่ะ ฉันเขินนะ”
“คุณสวย”
เขาชมด้วยท่าทีจริงจัง จนพิชชาอรอมยิ้ม แน่ล่ะที่เธออายและไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดีมือไม้เหมือนมีมากจนไม่มีที่จะเก็บมัน จึงหันหลังให้เขาแทนแล้วเดินไปหยิบจัดของบนโต๊ะทั้งๆที่ไม่มีให้จัดแล้ว พอเบือนหน้ามาชวนเขากินอาหารก็เห็นเขาหยิบกล้องโพราลอยด์มาถ่ายภาพของเธอเอาไว้ พิชชาอรรีบยกมือบัง บอกเสียงดุ
“ไม่เอาค่ะ ฉันไม่ชอบถ่ายรูป”
“ทำไมล่ะ คุณสวยออก”
“นี่เมาแล้วใช่ไหมถึงมองว่าฉันสวย” พิชชาอรเย้าเขาก่อนบอกความจริงถึงเหตุที่เธอไม่ชอบ “ฉันถ่ายรูปไม่ขึ้นน่ะค่ะ เลยไม่ชอบถ่าย วางกล้องลงเถอะนะคะ”
“ไม่จริงหรอก ดูนี่ รูปคุณสวยออก สวยกว่าตัวจริงด้วยซ้ำ”
เขาว่าแล้วหยิบภาพที่ถ่ายไว้ยื่นให้เธอ พิชชาอรอดค้อนเขาไม่ได้ แล้วเอื้อมไปคว้าเขาก็ดึงกลับไม่ยอมให้เสียอย่างนั้น แล้วแกล้งทำหน้างอนๆ ถามเขา
“ตัวจริงไม่สวย?”
“ไม่ตอบดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ยอมกินอาหารฝีมือตัวเองแล้วโบ๊ยให้ผมกินแทน ไปครับลงมือกินกันดีกว่า รูปเดี๋ยวเอาไว้ดูทีเดียวนะ”
ปุญญ์ขยับเก้าอี้ไว้รอ พอเธอลงนั่งเรียบร้อย เขาจึงไปประจำที่แล้วตักอาหารให้ก่อนค่อยจัดการกับตัวเอง นานทีเดียวกว่าที่ทั้งคู่จะจัดการจนอิ่มท้อง เขาชวนเธอมานั่งรับลมต่อที่ข้างสระน้ำ ที่ลมเริ่มพัดแรงคล้ายจะมีฝนในคืนนี้ โดยไม่ลืมยกขวดไวน์และกล้องติดมือมาด้วย อึดใจเดียวสายฟ้าแลบแปลบปลาบตรงปลายขอบฟ้า
พิชชาอรเห็นเข้าพอดี รีบยกมือขึ้นปิดตาตนเองร้องวี้ดเบาๆ ปุญญ์ที่มองอยู่ถึงกับขำออกมา ถามกลั้วหัวเราะ
“คุณกลัวฟ้าร้อง?”
เห็นแววตาล้อเลียนของเขาแล้ว เธอรีบนั่งตัวตรงบอกปัด “ไม่ค่ะ ฉันแค่ไม่ชอบมัน แล้วคุณล่ะกลัวอะไรบ้าง”
ปุญญ์ยักไหล่หน่อยหนึ่งก่อนตอบ “ไม่มีนะ”
“แมนจัง”
“ประชดผมใช่ไหม”
“เปล่านะคะ”
“คุณน่ะเป็นคนชอบประชดประชัน เห็นนิ่งๆแบบนี้เถอะ อย่าให้ออกปากว่าเชียวล่ะ”
พิชชาอรอมยิ้มหน่อยๆ ใจพองคับอกเมื่อได้ยินเขาสาธยายนิสัยที่แท้จริงของตน น้อยคนนักจะรู้ล่ะ ว่าเธอเป็นคนอย่างไร นับว่าปุญญ์ไม่ธรรมดาเลยที่อ่านคนได้ขาดเช่นนี้ แล้วเขาก็ว่าต่อ
“ผมยังจำได้นะวันแรกที่เราเจอกันคุณบอกว่าไม่ชอบดื่มในที่แบบนั้น แล้วถ้าเป็นที่นี่ ที่ส่วนตัวคุณดื่มได้ไหม” น้ำเสียงเขาอ้อนผิดวิสัยจนเธอยอมบอกความจริงในตอนนั้น
“ดื่มได้ค่ะ วันนั้นฉันพูดไปเพราะหมั่นไส้คุณ”
“นั่นไง นึกไว้ไม่ผิด” ปุญญ์ว่ายิ้มๆแล้วถามกลับ “ผมทำอะไรให้คุณหมั่นไส้ บอกผมที”
ก็แค่ตอนนั้นที่เธอไม่ชอบหน้าเขา แต่ตอนนี้สิ เธอรู้ว่าชอบเขาเข้าอย่างจัง พิชชาอรเงียบไปไม่ยอมตอบ นึกแล้วแก้มนวลของเธอออกสีแดงปลั่งขึ้น ดีที่ตรงนั้นแสงสว่างมีไม่มาก จึงรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่คิดจะตอบคำเขาเสียอย่างนั้น
“นี่ของคุณครับ”
ปุญญ์รินไวน์ส่งให้เธอ พิชชาอรรับมาอย่างอิดออดเพราะเป็นคนไม่ค่อยดื่ม แต่ก็ต้องรับเขามาเธอเพ่งมองมันอึดใจแล้วยกดื่มทันที เพียงจิบเดียวก็ทำเอาร้อนซ่านไปทั่วกายสาว คิดในใจว่าหมดแก้วนี้คงต้องพอ เธอไม่อยากเมาในสถานที่แบบนี้ที่สำคัญคือการที่ต้องมาอยู่กับชายหนุ่มตามลำพัง มันคงไม่น่าดูเท่าไรนัก หากเธอเมา
“ผมเคยรถคว่ำด้วยก่อนกลับไทย กระดูกแตกจนต้องใส่เหล็กดามเอาไว้ เลยแอบไปสักมาให้มันปิดรอยแผล แต่ก็เห็นอยู่ดี” จู่ๆเขาก็เล่าขึ้น พร้อมโน้มตัวไปหยิบไวน์มารินเพิ่มในส่วนของตนเอง
“เหรอคะ”
“ห้ามบอกใครนะ ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยสักคน”
“แล้วทำไมกล้าเล่าให้ฉันฟัง”
“ไม่รู้สิ ผมรู้แต่ว่าอยากเล่าให้คุณฟัง” เขาว่าพร้อมกับมองสบตาเธออย่างมีความหมาย พิชชาอรเสก้มลงมองแก้วเครื่องดื่มเพราะทนสู้สายตาเขาไม่ไหว พอดีที่หูแว่วเสียงเพลงเพลงหนึ่ง
“Tell me” เธองึมงำขึ้น ก่อนที่เขาจะต่อท่อนต่อมา “Just want you want me to be...”
“คุณชอบเพลงนี้เหรอ” ปุญญ์ถาม สายตาเขาดูลุ่มลึกแปลกตาไปกว่าทุกที จนเธอประหม่ามากขึ้น แล้วเขาถึงเอื้อมมือไปหยิบขวดไวน์มาจัดแจงเทให้ แต่เธอมุ่ยหน้าบอก
“พอแล้วค่ะ” เธอกลัวเมานี่นา
“อีกแก้วเดียวพอแล้ว คุณกลัวเมาใช่ไหม รับรองหมดแก้วนี้คุณจะยังไม่เมาหรอก” ปุญญ์บอกยิ้มๆ เขาพูดราวกับว่าเข้ามานั่งอยู่ในใจเธอ
“แก้วสุดท้ายแล้วนะคะ ฉันพอแล้ว”
พิชชาอรตอบแบ่งรับแบ่งสู้ เธอไม่อยากทำตัวให้เสียบรรยากาศหนึ่งล่ะ อีกหนึ่งก็ไว้ใจทั้งเขาและตนเอง เธอยกแก้วไวน์ขึ้นจิบก่อนเบ้หน้า ปุญญ์เห็นเข้าก็ยิ้มขันกับท่าทีของเธอ เขามือไวทีเดียวรีบหยิบกล้องมาถ่ายภาพเอาไว้ บอกกลั้วรอยยิ้ม
“ดูหน้าคุณสิมีหลายอารมณ์น่าดูเลย”
“พอแล้ว หยุดถ่ายได้แล้วค่ะ ไหนขอฉันดูหน่อยซิ”
ปุญญ์ยิ้มๆทำท่าคิดหนักว่าจะให้เธอดีหรือไม่ จนพิชชาอรแกล้งทำหน้าบึ้งเขาเลยยอมส่งรูปทั้งหมดที่มีให้พร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างป่วนประสาทเธอ
เห็นภาพของตนเองแล้วยิ่งอายหนัก เขาจงใจถ่ายภาพเธอนี่นา
ที่จงใจคือถ่ายโดยไม่ได้มีความสวยเลยสักนิด บางภาพไม่ตาลอยก็อ้าปากน่าเกลียดนัก
พอขอเขามาดูแล้วเลยทำท่าจะยึดรูปไว้ไม่คืน แต่ปุญญ์ไวกว่าเขาแย่งคืนมาได้ในที่สุด แล้วทำท่ายกนิ้วชี้ส่ายไปมา บอกดุๆ “ไม่ได้ๆนี่ของผม”
“ไม่ค่ะ รูปพวกนั้นน่าเกลียดมาก ขอฉันเถอะนะ”
พิชชาอรมองภาพถ่ายของตนเองนิ่งแล้วใช้ความไวพุ่งเข้าไปคว้าอีกครั้ง แต่ก็ยังช้ากว่าเขาอยู่ดี
ไวน์เพียงไม่กี่จิบทำเธอเชื่องช้าลงถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ไม่ใช่แค่ความคล่องในการเคลื่อนไหวร่างกายเพียงเท่านั้นที่ทำให้หญิงสาวช้าลง ในทางกลับกันมันทำให้เธอกล้ามากขึ้นอีกด้วย เธอกล้าถึงขนาดที่จะเข้าไปใกล้เขาแล้วแย่งรูปมา
แต่พลาดไป เธอเสียหลักล้มหาโดยมีปุญญ์เป็นเบาะรองรับอยู่ มือของเขายกมาประคองทาบที่ด้านหลังเหนือสะโพกเต็มตึงของเธอ ความอุ่นจนร้อนทะลุผ่านเนื้อผ้าจนเธอรู้สึกได้ ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นระหว่างชายหญิงก่อกระแสความต้องการส่วนลึกๆที่ภายใน ปุญญ์ออกแรงที่ฝ่ามือนวดคลึงเบาๆ ตอนนี้ปากของเขาอยู่ชิดกับริมฝีปากของเธอ ทั้งลมหายใจยังคลอเคลียเคล้าใกล้สร้างความหวิวไหวจนพิชชาอรขนลุกเกรียวไปทั่วเรือนร่าง
มืออีกข้างของเขาปล่อยจากของที่ยื้อแย่งกันเคลื่อนมาเคลียที่ใบหน้าสวยก่อนเบี่ยงขึ้นไปทาบด้านหลังศรีษะของเธอ พิชชาอรรู้ได้ในวินาทีนั้นว่ากำลังจะเกิดสิ่งใด เลือดในกายร้อนผ่าวแทบเดือด สายตาหลุบมองที่ริมฝีปากของกันและกัน
It just takes a little bit of this,a little bit of that
It started with a kiss now we’re up to bat
เสียงเพลงที่เขาและเธอร่วมร้องเมื่อครู่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาต พิชชาอรหน้าแดงซ่านจนร้อนด้วยความชิดใกล้ที่มีระหว่างกัน เธอหายใจหอบแรงกลั้นใจออกปากห้ามเขาแต่เสียงกลับสั่นพร่าจนคนฟังลอบยิ้ม
“อย่าค่ะ”
“ผมขอ...จูบเดียว”
ปุญญ์บอกคลอเคลียเหนือริมฝีปากของเธอ