4

3044 คำ
  “ยอดตกอีกแล้วเหรอ เดี๋ยวเราค่อยมานั่งคุยกันนะ พี่ขอรับสายสักครู่ก่อน” พิชชาอรบอกพนักงานในคลินิกที่มีไม่ถึงสิบคนแล้วปลีกตัวออกจากห้องประชุมเล็กในสาขาพัทยาแล้วรับโทรศัพท์จากพนักงานคนเดียวที่เฝ้าหน้าร้านมากรอกเสียงลงไป “สวัสดีค่ะ” “ถึงพัทยาไม่บอกเจ้าถิ่นเลยนะครับ โทรไปก็ไม่ยอมรับสาย” ปุญญ์เย้ากลับมาฟังดูสบายๆแต่คนที่เริ่มไม่สบายนั่นคือเธอ พิชชาอรชักรู้สึกไม่ดีที่ปุญญ์พยายามติดต่อกับเธออยู่ จริงที่เขาโทรหาเธอทุกวันแต่เธอไม่ว่างพอจะรับสายเขา ซ้ำยังไม่โทรกลับเขาด้วย จึงตอบเขาด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานกลับไป “เพิ่งมาถึงค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ” “ปกติคุณกินมื้อเที่ยงที่ไหน” “ไม่กินค่ะ ฉันเพิ่งเข้างานมาช่วงสายนี่เองเลยกินมาแล้ว คุณมีอะไรอีกไหมคะ” “งั้นเย็นนี้เราไป…” ปุญญ์ยังพูดไม่จบ เธอก็ขัดเขาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวนะคะ ฉันว่า เราต้องคุยกันแล้วล่ะค่ะ” พิชชาอรเดินเลี่ยงออกจากเคาน์เตอร์ด้านหน้าร้านปลีกตัวเปิดประตูกระจกใสทางเข้าคลินิกเพื่อออกไปคุยให้ไกลจากลูกน้องในนั้น ไปตรงผนังกระจกใสที่กั้นเบื้องหน้าไว้คือบริเวณที่เธอหยุดยืนคุย เนื่องจากร้านได้บริเวณริมสุดของชั้น ที่พอยืนมองออกไปจะเห็นภาพรถราบนถนนเลียบหาดจอดติดไฟจราจรเบื้องหน้าอยู่ นิ่งนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของปุญญ์ที่เพียรโทรหาทุกวัน เธอตั้งใจจะบอกปัดเขา แต่แล้วกลับได้ยินเสียงที่ดังชัดกว่าในโทรศัพท์เสียอีกที่ข้างหูอีกฝั่ง “งั้นเย็นนี้ เราค่อยมาคุยกัน คุณไปทำงานก่อนดีกว่า” พิชชาอรหันควับไปทางด้านหลังต้นตอของเสียงที่ชัดกว่าในโทรศัพท์ ประสาทของเธอไวพอที่จะรู้สึกได้ว่าคนพูดยืนอยู่ที่ด้านหลังแล้วก็เห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้นจริงๆ ในมือเขามีโทรศัพท์ที่ยังไม่วางสาย ได้แต่ครางเสียงแผ่วเรียกเขา “คุณ...” “ผมรู้ว่าที่นี่ปิดสามทุ่ม และคุณคงหิวมากตอนนั้นน่ะ ที่นี่คุณรู้จักร้านอาหารอร่อยๆแล้วหรือยัง” “ฉัน...” ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูด เขาก็ยิ้มแล้วตัดบท “งั้นเย็นนี้ เราค่อยคุยกันครับ ผมรอนะ สามทุ่มใช่ไหม”            เขาบอกเสร็จ เดินจากไปทันที ทิ้งให้เธอยืนมองด้วยความหนักใจ เข็มนาฬิกาของวันนี้เดินไวกว่าทุกวันที่เธอเคยตั้งตารอมา ในที่สุดสามทุ่มก็มาถึง ปุญญ์รอเธออยู่แล้วที่เก้าอี้ชุดของคลินิก สาวๆในร้านพากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นเขาแจ้งความประสงค์ว่าขอรอเธอ            พิชชาอรทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว เมื่อออกจากห้องด้านในแล้วเจอเขานั่งรออยู่ ไหนจะสายตาล้อเลียนของเด็กๆในร้านนั่นอีก            “พี่กี๋กลับไปได้เลยค่ะ เดี๋ยวพวกเราปิดร้านกันเอง”            พิชชาอรพยักหน้าให้สาวๆเหล่านั้น พยายามไม่แสดงท่าทีประหม่าออกไปให้ใครได้เห็น แล้วหันมาบอกกับเขา “ไปค่ะ”            ปุญญ์ยิ้มให้คนอื่นๆในร้านแล้วเดินไปเปิดประตู ผายมือให้เธอเดินออกหน้าไปก่อน ทำเอาคนที่มองพากันยิ้มเขินแทนไปตามๆกัน            “โอย...เห็นพี่กี๋หงิมๆ แอบหยิบชิ้นปลามันเนอะ”            “แล้วนั่น...คุณปุญญ์ เจ้าของโรงแรมรึเปล่า”            “ก็ใช่น่ะสิ โอ๊ย...ฉันอิจฉาพี่กี๋” คนพูดบิดไปมาด้วยความเขินอาย ประหนึ่งเป็นหญิงสาวที่เดินคู่ปุญญ์ออกไปนั่นคือตนเองเสียอย่างนั้น จนเพื่อนต้องตบไหล่บอก            “นั่น เนื้อคู่หล่อนจอดมอ’ไซค์รออยู่ ไปเร็ว เดี๋ยวมาทะเลาะกันในร้านอีก คราวนี้หมอไล่หล่อนออกแน่” เพื่อนบอกล้อๆ ที่คราวก่อนคนพูดงอนกับแฟนหนุ่มแล้วมามีเรื่องวุ่นวายกันในนี้จนแพทย์หญิงเจ้าของคลินิกถึงกับคาดโทษว่าหากมีเรื่องกันอีกคราวนี้คงไม่แคล้วถูกให้ออกแน่ๆ                       ปุญญ์พาเธอไปยังร้านอาหารหรูที่เน้นขายอาหารทะเลสดๆ และทำเป็นอาหารไทยฟิวชั่น แต่รสจัดกว่าร้านอื่น เมื่อเลือกที่นั่งเรียบร้อย สั่งอาหารแล้ว พิชชาอรจึงใช้เวลานี้เพื่อจะได้คุยกับเขาให้เข้าใจตรงกัน เธออยากถอยห่างจากเขา เพราะยิ่งนานวัน ความรู้สึกที่มีต่อเขาก็ดูจะพิเศษมากไปกว่าทุกคน มันมากจนเธอกลัวความผิดหวัง กลัวความเสียใจ อมิตาทำให้เห็นมาแล้วว่าผู้ชายหน้าตาดีมีฐานะไม่พร้อมจะหยุดที่พวกเธอ เพราะเขามีคนที่เหมาะสม คู่ควรกว่า ทั้งหน้าตาและฐานะ            “ไหนคุณว่าเรามีอะไรจะต้องคุยกัน” กลายเป็นปุญญ์ที่ท้วงขึ้นมาก่อน เขาตั้งท่าฟังเธออย่างตั้งอกตั้งใจ พิชชาอรสูดลมหายใจเข้าลึกหน่อย แล้วค่อยพูดขึ้น “ฉันไม่สะดวกใจเลยค่ะที่ออกมากับคุณบ่อยๆแบบนี้ เพราะฉะนั้นอย่าชวนฉันออกมาอีกเลยนะคะ” “คุณมีแฟนแล้ว?” “ไม่มีค่ะ” “แล้วทำไมเราถึงจะออกมาด้วยกันไม่ได้”ปุญญ์ถามยิ้มๆก่อนสรุปที่ไม่พ้นเข้าข้างตนเอง “เราก็แค่ออกมากินข้าวด้วย คุยด้วยกัน บอกตามตรงนะผมรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้กินข้าวกับคุณ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วยกันหลายๆเรื่อง” “แต่ฉันคงไม่มีเวลามากนัก สาขาที่นี่ต้องทำงานหนักหน่อย ตอนเย็นต้องอยู่เคลียร์งานและคงหาอะไรกินกับเด็กในนั้นเลย เสร็จแล้วฉันคงเหนื่อยมากอยากกลับบ้านอาบน้ำนอนเลยค่ะ ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น” เธอแจงเป็นชุดอธิบายยาวเหยียดหวังว่าคนฟังจะเข้าใจง่ายๆ ปุญญ์เงียบฟังจนจบ นิ่งไปครู่เหมือนกำลังขบคิดปัญหาสำคัญ “งั้น...เราไปกินมื้ออื่นก็ได้ เช้าหรือเที่ยงดี” พิชชาอรไม่เคยคิดมาก่อนว่าปุญญ์จะมีนิสัยแบบนี้ เขาน่าจะเข้าใจ แต่นี่เหมือนว่าเข้าใจอยู่หรอก แต่ทำตัวมึนจนเธอนึกอ่อนใจ “มื้อไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นค่ะ”            คราวนี้ปุญญ์มีสีหน้าจริงจังขึ้น เขาประสานมือขึ้นบนโต๊ะ จ้องมองเธอแล้วพูดเหมือนกับสอน “คุณต้องมีเพื่อน มีคอนเนคชันดีดีนะ จะได้สะดวกกับงานของตัวคุณเอง จะมาเก็บตัว เอาแต่ทำงานงกๆ เลิกงานกลับบ้านนอน มันไม่ได้หรอก” แล้วตีคลุมต่อ สรุปมื้ออาหารที่จะให้เธอมากินกับเขา “งั้นตกลงว่าคุณต้องกินมื้อเที่ยงแล้วล่ะ หรือจะเป็นเช้าดี คุณตื่นกี่โมง” พิชชาอรถอนหายใจ บอกอย่างเหนื่อยอ่อน“ฉันไม่อยากเดินทางไปกินข้าวไกล มันเสียเวลางานค่ะ” “ก็ไปกินบนชั้นห้าไง” ปุญญ์บอกอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากแบบเธอ “ตกลงว่าไปเรากินมื้อเที่ยงด้วยกันนะครับ” แม้ความตั้งใจที่เตรียมไว้ของพิชชาอรจะไม่เป็นผลเท่าไรนัก แต่ก็อดรู้สึกเบิกบานในใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ปุญญ์ทำราวกับเธอสำคัญต่อเขามากจนเซ้าซี้อยู่ไม่เลิกรา ทั้งยังแฝงไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยที่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้ แต่แล้วท่าทีเอาใจใส่ของปุญญ์ที่มีให้ก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษ แม้เขาจะไม่ได้แสดงออกแบบชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวก็ตาม แต่นั่นยิ่งทำให้เธอสนิทใจยิ่งกว่า ที่เขาให้ความสนิทสนมกับเธอในฐานะอื่นแทนด้วยการคุยกับเธอแทบทุกเรื่อง บอกและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความคิดหลายอย่างด้วยกันที่ทำให้พิชชาอรสบายใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จนลืมไปเสียสิ้นว่าเขาเป็นญาติที่สนิทที่สุดของนาวิน หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ความสัมพันธ์ระหว่างปุญญ์และพิชชาอรดีขึ้นมากตามลำดับ เธอกับเขาสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง เขาปรึกษาเธอเรื่องผู้หญิงบ้าง เล่าเรื่องในครอบครัวให้ฟังบ้าง มีเรื่องมาขอคำปรึกษาเธอ บ้างและรับฟังกันและกันอย่างจริงใจกับข้อเสนอแนะที่ให้ไป จนรู้สึกเหมือนกับเป็นเพื่อนคนพิเศษของเขาได้ในเวลาไม่นาน มื้อนี้พิชชาอรนำเสนอขนมจีนให้ปุญญ์ เธอสาธยายยาวว่ามันอร่อยอย่างไรจนปุญญ์ยินยอมที่จะลิ้มรสชาติของมัน เธอจึงสบโอกาสสั่งให้เขา เลือกเป็นขนมจีนน้ำยากะทิแบบไม่เผ็ด ขณะรออาหารเขาก็ยื่นนามบัตรส่งให้ พิชชาอรถามขึ้นทันที “อะไรคะ” “เรายังไม่เคยแนะนำตัวกันแบบเป็นทางการเลยนะ ว่าไหม” เขาบอกยิ้มๆและต่อ “ผมปุญญ์ ปุญญกาจนรัตน์ครับ นี่นามบัตรผม” “แหม มันเลยเวลาแบบนั้นมาแล้วมังคะ” พิชชาอรว่ายิ้มๆแล้วหยิบนามบัตรเขาไปดู เห็นชื่อและตำแหน่งแบบนามบัตรทั่วไปในนั้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเขามองอยู่ก่อนแล้ว “ถ้าคุณมีอะไร...แค่โทรหาผม บอกชื่อกับพนักงาน เขาจะลัดคิวต่อสายตรงให้เลย” คนฟังอดทำหน้าไม่เชื่อไม่ได้ จนเขาต้องรีบสำทับ “จะลองดูก็ได้” “เบอร์คุณฉันก็มี” “อ้อ นั่นสิ” เขาว่าแล้วทำหน้าเหรอๆจนเธอขำ “แล้วคุณล่ะไม่อยากแนะนำตัวเองให้ผมรู้จักบ้างหรือ” “คุณรู้จักฉันแล้ว” พิชชาอรบอกยิ้มๆแบบเดิม เป็นยิ้มที่ปุญญ์เห็นแล้วอยากเอามือไปบีบแก้มเธอนัก จู่ๆก็รู้สึกวูบเข้ามาในหัวใจของเขา พอดีกับที่พนักงานยกอาหารมาบริการจึงหันมาจัดการกับจานตรงหน้าแทน พอเขาตักกินไปได้หนึ่งคำก็ซูดปาก หรี่ตามองหน้า “นี่แกล้งผมหรือเปล่า ไหนว่าไม่เผ็ดทำไมเป็นแบบนี้” “ไม่เผ็ดจริงๆนะคะ” “ชิมเลย” เขาว่าเสร็จตักใส่ช้อนของเธออย่างถือวิสาสะ แต่พิชชาอรมองแวบเดียวก็รู้ว่ารสชาติคงมีเผ็ดบ้าง เธอยิ้มแล้วตักเข้าปาก บอกยิ้มๆ “ไม่เห็นจะเผ็ดเลย” เห็นเขาบ่นว่าเผ็ด แต่ก็ยังตักกินอยู่จนคำสุดท้าย มีีเศษสีแดงติดตรงที่มุมปากของเขาเมื่อปุญญ์รวบช้อนวางลง พิชชาอรมองแล้วเม้มปากชั่งใจอยู่ครู่ว่าจะบอกเขาดีไหม สุดท้ายเธอจึงยอมชี้ปลายนิ้วบอก “เปรอะแน่ะค่ะ” “ไหน” เขาว่าแล้วยื่นหน้าให้เธอ บอกด้วยสายตาเหมือนเด็กชายตัวน้อยขี้อ้อน “เช็ดให้ผมที พิชชาอรมองเขาแล้วเหลือบไปมองคนอื่นๆเมื่อไม่เห็นมีใครสนใจที่โต๊ะของเธอเลยยื่นกระดาษทิชชูเช็ดตรงมุมปากให้ พยายามบังคับไม่ให้มือไม้สั่นเพราะความชิดใกล้มากเกินกว่าทุกที ขณะที่ปุญญ์เองก็มองจ้องหน้าเธออยู่ พิชชาอรกลับมองเฉพาะแค่ปากสีแดงระเรื่อของเขาเพียงเท่านั้น ที่ตอนนี้ออกสีจัดเพราะรสชาติของอาหาร ความรู้สึกชนิดหนึ่งแพร่ซ่านพุ่งกระจายอยู่ภายใน คล้ายกับตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ และแล้วก็เหมือนถูกใครเอาเข็มแหลมๆมาจิ้มจนร่วงหล่นลงสู่พื้น ด้วยเสียงทักทายที่ดูคล้ายจะ...คุ้นเคย “สวัสดีฮะพี่ปุญญ์ อ้าว! นึกว่าสาวที่ไหนมาคอยเอาใจ...ที่แท้ก็ญาติกันนี่เอง” คนมาใหม่ว่ายิ้มๆแฝงความนัยบางอย่างในน้ำเสียง เธอหันไปมองก็ทันได้เห็นว่านาวินลอบส่งสายตาให้ปุญญ์พอดีความรู้สึกโกรธที่จู่โจมขึ้นมาอย่างไม่รู้ทิศทางแล่นพล่านจนแทบระงับไม่อยู่ พิชชาอรหดมือกลับมาทันที พยายามระงับลมหายใจ คอเชิดแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว            ปุญญ์ยกผ้าซับปากอีกครั้งพยักหน้าน้อยๆลอบส่งสายตาให้นาวิน อีกฝ่ายยิ้มแล้วยอมล่าถอยไปอย่างรู้งานไม่ลืมบอกลาราวกับคนมีมารยาท แต่นั่นยิ่งทำให้พิชชาอรเดือดขึ้นไปอีก            “ผมไปนะฮะ ไม่กวนมื้ออาหารอร่อยๆของพี่ปุญญ์กับคุณ...พิชชาอรแล้วดีกว่า” คล้อยหลังนาวิน บรรยากาศบนโต๊ะที่ดูสนุกสนานเมื่อครู่เปลี่ยนไปในทันที เหมือนมีเมฆหมอกบางๆเคลื่อนเข้ามาปกคลุมและพร้อมจะส่งสายฟ้าฟาดลงมาบนโต๊ะที่ปุญญ์และพิชชาอรนั่งอยู่นั่นได้ตลอดเวลา หญิงสาวตัดสินใจรวบช้อนบ่งบอกว่าอิ่มแล้ว หรือไม่ก็คงเพราะเธอกินอะไรไม่ลงใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอค่อยๆแปรเป็นเฉยเมย ปุญญ์เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปแล้วได้แต่นึกบ่นญาติผู้น้องอยู่ในใจที่จะทำให้เขาเสียเรื่อง “ฉันขอตัวนะคะ” พิชชาอรว่าพร้อมกับจะดันตัวลุกขึ้นยืน ตัดสินใจเมื่อวินาทีที่แล้วนี่เองว่ามื้อนี้จะร่วมโต๊ะกินอาหารกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย “ผมไปส่งครับ” ปุญญ์เองก็มีท่าทีเงียบขรึมไปเช่นกัน เสียงของเขาฟังดูเครียดๆเมื่อบอก แล้วลุกขึ้นยืน เดินนำพิชชาอรไปที่ลิฟต์เขากดเปิดประตูลิฟต์ออกแล้วเข้าไปกดหมายเลขชั้นรอเธอ พิชชาอรเดินตามเข้าไปโดยไม่ได้สนใจมอง เธอเมินไปทางอื่นเพราะหงุดหงิดในใจที่ต้องมาเจอกับนาวิน เธอเหม่อมองออกไปด้านนอกที่เป็นกระจกใส แต่พอเห็นว่ามันเคลื่อนตัวขึ้นแทนที่จะลงไปด้านล่าง ก็ต้องหันกลับมามองทางเขาท่าทางเอาเรื่อง “คุยกันก่อนได้ไหม ผมขอเวลาไม่เกินสามนาที” เขาพูดขึ้นคล้ายกับรอตอบอยู่แล้วหากเธอถาม “เถอะค่ะ ปกติคุณทำอะไรก็ไม่เคยขอความเห็นของฉันอยู่แล้วนี่คะ” “อย่าทำเสียงแบบนี้สิ ผมใจคอไม่ดีเลย” “มีอะไรก็ว่ามาเลยค่ะ เสร็จแล้วฉันจะลงไปทำงาน” เธอบอกก็พอดีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ปุญญ์ส่งท่าทางบอกให้เธอเดินออกไปก่อน พอออกมาที่ด้านนอกที่เป็นชั้นบนสุดของอาคาร เธอพบว่ามันเป็นชั้นที่เป็นที่ทำงานของเขา เนื่องจากเป็นเวลาพัก จึงไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลย “เข้าไปคุยกันในห้องนะครับ” เขาบอกอย่างสุภาพจนเธอปฏิเสธไม่ลง คิดไปว่ามาขนาดนี้แล้วก็คุยกันให้จบๆไปเลยแล้วกัน พอเข้ามาในห้องทำงานของเขา ก็ดูเหมือนอารมณ์เดือดๆในกายของเธอค่อยคลายลง ห้องทำงานของเขามีวิวเบื้องหน้าไปน้ำทะเลและท้องฟ้าสีคราม และด้านหนึ่งทำเป็นอควาเรียมเล็กๆสำหรับสัตว์น้ำทะเล ดูเก๋ไก๋และลงตัวทีเดียว “ทำไมคุณดูแปลกไป ตั้งแต่นายวินมาทัก”            พิชชาอรบอกเสียงสงบขึ้น แต่ปุญญ์ฟังออกว่ามีความไม่พอใจในนั้นปนอย่างมหาศาลเลยทีเดียว แม้เสียงบอกจะนุ่มนวลก็ตามที “ฉันไม่ชอบเขา”                     “ผมก็ไม่ชอบ นายวินนิสัยแบบนั้นแต่เล็กจนโต แต่จะทำยังไงได้ละครับ ผมกับนายวินเราเป็นญาติกัน จะตัดออกก็นึกเห็นใจ คนปากไม่ดีแบบนั้นผมว่าเขาน่าสงสารออกนะ หรือคุณว่าไง” พิชชาอรเบือนหน้ามามองทางเจ้าของห้อง อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มหน่อยๆ เพราะนึกขันในคำพูดของเขา ปุญญ์รู้สึกโล่งใจตามไปด้วย บอกล้อๆว่า                              “อารมณ์ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”            “ก็ไม่ได้อารมณ์ไม่ดีตรงไหนนี่คะ” พิชชาอรบอกเขาไปอย่างยวนๆเช่นกัน ปุญญ์เดินเข้ามายืนเผชิญหน้ากับเธอ พิชชาอรเลยมองสบตาตอบกับเขา รู้สึกสะท้านขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นแววตาของเขาสิ่งสัญญาณบอกบางสิ่งกลับมา จนต้องหลบตาเขาในที่สุด            “อาทิตย์หน้าเราไป…”เขาถามไม่ทันจบดีก็แตะเข้าที่ข้อศอกเธออย่างสุภาพ พามายืนหน้ากำแพงกระจกใส ชี้มือออกไปด้านนอกที่เป็นน้ำทะเล สุดสายตา ถามต่อ “เห็นเกาะเล็กๆที่ตรงนั้นไหม เราไปเกาะนั้นกันนะครับ”            พิชชาอรอึกอัก “ฉัน…”            เขาบอกยิ้มๆอย่างเจ้าเล่ห์ “คุณได้หยุดตั้งสามวันแหนะ”            เธอหันควับมาถามเขา“ทำไมคุณรู้คะ”            “ลูกน้องคุณน่ะ ให้ความร่วมมือกับผมจะตายเวลาผมถาม”            เจ้าเล่ห์ พิชชาอรไม่ได้พูดออกมาแต่สีหน้าของเธอแสดงได้แจ่มชัดมากกว่าเสียงเสียอีก เธอหลบตาเขาแล้วหันไปมองยังเกาะที่เขาชี้ให้ดูเมื่อนาทีก่อนหน้า            “ตกลงไหม”            พิชชาอรได้ยินเสียงของเขาถามยืนยันอีกครั้ง แต่เธอยังคงนิ่งเงียบอยู่ ตั้งใจจะบอกเขาว่าเธอไม่ไปจึงหันกลับมาก็เห็นว่ามือของปุญญ์อยู่ใกล้ใบหน้าของเธอ พิชชาอรเบี่ยงหลบ ใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกประหม่า ได้ยินตัวเองถามเขาเสียงสั่นๆออกไป            “จะ...ทำอะไรคะ”            ใบหน้าหล่อเหลาของเขาอยู่ใกล้กับเธอจนเกินไป จนหญิงสาวหายใจติดๆขัดๆ เสียงของเขาชัดจนนึกหวั่นใจ “ผมนึกว่าคุณไม่ได้ยินเลยเข้ามาถามใกล้ๆ ตกลงว่าวันหยุดของคุณ เราไปพักที่เกาะด้วยกันนะครับ”            “มะ...เอ่อ...ค่ะ”            แล้วก็รู้ตัวในตอนนั้นว่าตนเองเดินลงหลุมที่ปุญญ์ได้ขุดรอเอาไว้แล้ว             
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม