ทั้งคู่เดินกลับกันเข้ามาในบ้านเพราะได้เวลาที่ต้องกลับกันแล้ว คุณนายทั้งสองมองหน้าผู้เป็นบุตรชายและบุตรสาวสลับกันไปมาใบหน้านั้นยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เหมือนว่าทั้งสองจะสานสัมพันธ์ไปกันได้ด้วยดี
"เอ่อ..คุณแม่คะ"
วาทยาเอ่ยขึ้นมา
"ว่าไงคะน้องวา"
"เอ่อคือว่าหนูกับพี่ธันวาตกลงกันแล้วว่าจะลองคบกันดูค่ะ"
"หืม..จริงเหรอลูก"
วาทยาพยักหน้าให้ท่านทั้งสองคนเป็นการยืนยันอีกครั้ง
"โอ้!เป็นข่าวดีของป้าจริงๆ ในที่สุดป้าก็ได้ว่าที่ลูกสะไภ้สักที"
หมอธันวายืนนิ่งไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาปล่อยให้วาทยาเป็นคนพูดเองทุกอย่างและตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาอยากจะกลับคอนโดเต็มทีแล้ว
"ธันวาลูกทำให้แม่ชื่นใจมากเลยวันนี้"
คุณนายญาดาเดินไปสวมกอดลูกชายอย่างขอบคุณที่ทำให้ตนสมหวังสักที
"ครับคุณแม่"
หมอธันวาอดที่จะเอ่ยออกมาไม่ได้ถึงแม้ว่าภายในใจนั้นแทบจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับวาทยาเลยทุกอย่างเป็นแค่แผนที่หญิงสาวเสนอมาและเขาก็ลองสนองกลับไปก็แค่นั้นเพื่อตัดปัญหาทุกอย่าง ในอนาคตค่อยบอกว่าเลิกกันก็คงไม่เป็นอะไร เพราะมันเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ที่จะเลิกกับใครหรือคบกับใครก็ได้
"อืม..วาว่าเรากลับกันเถอะนะคะ วาทำวิทยานิพนธ์ค้างอยู่นิดหน่อยค่ะ เดี๋ยวจะส่งไม่ทัน"
"อ้อ เหรอคะลูก โอเคงั้นเรากลับกันเถอะค่ะ"
เมื่อร่ำลากันเสร็จแล้ว คุณนายญาดาและหมอธันวาเดินไปส่งทั้งหมดที่รถเพื่อกลับบ้าน กว่าที่คุณนายทั้งสองจะพูดร่ำลาเป็นการส่วนตัวเสร็จก็กินเวลาไปเกือบยี่สิบนาที จนวาทยาและผู้เป็นบิดาที่นั่งรออยู่บนรถทำได้แค่หยิบโทรศัพท์มาเปิดดูนั่นนี่เพื่อฆ่าเวลา
"ลูกจะคบกับหมอธันวานั้นจริงๆเหรอ?"
ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามขึ้นมาเพราะเห็นบุตรสาวของตนตกลงปลงใจง่ายเกินไปมันเหมือนไม่ใช่นิสัยของวาทยาแม้แต่นิด
"จริงค่ะพ่อ วาอยากจะลองดู"
วาทยาโกหกคำโต จริงๆแล้วหญิงสาวแทบจะไม่เคยมีอะไรปิดบังผู้เป็นพ่อเลยแต่คราวนี้จำเป็นต้องโกหกเพราะถ้าบอกความจริงไป พ่อของตนต้องไม่ยอมแน่ๆ
"ถ้าลูกคิดดีแล้วก็ลองดูแต่ถ้าไม่โอเคลูกก็รีบถอยออกมาทันทีเลยนะไม่ต้องเกรงใจใครทั้งนั้น"
"ได้ค่ะพ่อ ก็มีแต่คุณพ่อที่เข้าใจวาที่สุด"
วาทยาพิงไปบนไหล่ของผู้เป็นบิดาอย่างออดอ้อน ผู้เป็นบิดาลูบหัววาทยาเบาๆด้วยความเอ็นดู
-มหาวิทยาลัย-
"อะไรน๊ะยัยวา?"
"เบาๆหน่อยยัยรุ้ง คนเค้าหันมามองกันหมดแล้วโน้น"
สองสาวนั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในมหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง
"แกได้คบกับหมอธันวาจริงๆเหรอ กรี๊ดดดด!"
วาทยารีบเอามืออุดปากพราวรุ้งเอาไว้ที่เริ่มเห็นว่าเพื่อนเริ่มจะเก็บอาการไม่อยู่
"ก็ใครจะคิดล่ะ ว่าหมอธันวาคนนั้นคือคนเดียวกับพี่ธันวาตอนชั้นเด็กๆ"
"แกรู้มั้ย?ว่าในโซเชียลเค้าคลั่งหมอธันวากันขนาดไหน"
"ก็พอจะรู้อยู่ แต่ว่าเราไม่ได้คบกันจริงๆน่ะสิ"
พราวรุ้งถึงกับหยุดยิ้มเปลี่ยนมาเป็นทำหน้าทำตาสงสัยแทน
"อะไรยังไงว่ามาสิ?"
"ก็ชั้นเล่นไปบอกพี่เค้าว่าชั้นน่ะอยากเป็นแฟนหลอกๆกับพี่เค้า เพื่อที่คุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่จับชั้นไปดูตัวอีก แต่ว่า"
"แต่ว่าอะไร?"
"ชั้นดันรู้สึกว่าชั้นชอบพี่เค้าจริงๆ และก็อยากจะเป็นแฟนกับพี่เค้าจริงๆน่ะสิยัยรุ้ง"
"ก็พอจะเข้าใจได้ หล่อขนาดนั้นใครไม่ชอบก็บ้าล่ะ"
"แต่ว่าดาเมจแห่งความเย็นชาไร้ความรู้สึกของพี่แกมีพลังสูงมาก ขนาดชั้นสวยขนาดนี้ยังไม่อยู่ในสายตาเลย แลกเบอร์แลกไลน์กันแล้วด้วย ทักไปพี่แกแค่อ่านแต่ไม่ตอบกลับมาเลยสักนิด ชั้นอยากรู้นักว่าข้างในตัวของพี่ธันวายังมีหัวใจมีความรู้สึกอยู่มั้ย?"
"ก็พี่เค้าน่าจะยังไม่ลืมคนรักเก่า ชั้นได้ข่าวมาว่าพี่เค้ารักคุณมินดามาก คุณมินดาแฟนของคุณธนินเจ้าของห้างที่เราไปเดินช้อปกันบ่อยๆนั้นแหละ"
"น่าอิจฉาจังเลย ได้รับความรักมั่นคงจากพี่หมอธันวาขนาดนั้น"
"แต่คุณธนินเค้าก็ไม่ย่อยเลยนะ หล่อแบบหล่อมาก หล่อแบบตะโกนพอๆกับพี่หมอธันวานั่นแหละ"
วาทยาเอามือเท้าคางอย่างรู้สึกสิ้นหวัง แต่ถึงอย่างไรเธอจะไม่ยอมแพ้ยังไงก็แล้วแต่ต้องพิชิตหัวใจคุณหมอธันวามาอยู่กับเธอให้ได้
"เอาน่าายัยวา ถึงอย่างไรคุณมินดาเค้าก็แต่งงานมีครอบครัวไปแล้วไม่ใช่คู่แข่งแกแน่นอน เพราะฉะนั้นแกต้องทำให้ได้"
"เย็นนี้หาเรื่องไปหาดีมั้ย?"
"เจอง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?"
"ไม่ยาก แค่ให้คุณแม่จัดทางให้"
วาทยาอมยิ้มออกมาอย่างกำลังใช้ความคิดว่าจะไปหาหมอธันวายังไงดี
"อย่างนั้นก็อย่ารอช้าสิจ้ะคุณเพื่อน ว่าแต่งานของเราไปถึงไหนแล้ว มัวแต่คิดแผนพิชิตหัวใจผู้ชายอยู่นั่นแหล่ะ"
วาทยาหันมามองหน้าพราวรุ้งพร้อมกับหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อรู้สึกว่าเรื่องผู้ชายจะกลายเป็นวาระแห่งชาติสำคัญกว่าเรื่องอื่นไปซะแล้ว เพราะปกติวาทยาไม่ใช่คนแบบนี้เลยแม้แต่นิด เธอแทบจะไม่สนใจผู้ชายหรือเคยมีแฟนมาก่อนเลยสักคน เธอต้องการจะเรียนให้จบเพื่อที่จะไปเรียนต่อที่เมืองนอก
เพื่อกลับมาช่วยผู้เป็นบิดาและมารดาบริหารงานโรงงานอาหารทะเลแปรรูปเล็กๆของครอบครัว ครอบครัวของวาทยาไม่ได้ถึงกับร่ำรวยเป็นระดับมหาเศรษฐีแต่ก็มีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเองมาทั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า