"อย่าทำหน้าบึ้งสิหนูวา"
คุณนุชนารถผู้เป็นมารดาของวาทยาเอ่ยขึ้นมาในขณะที่นั่งอยู่ในรถเพื่อไปรับประทานอาหารบ้านของเพื่อนสนิทที่นัดกันไว้เย็นนี้
"ลูกไม่อยากมาคุณไม่น่าบังคับลูก"
ผู้เป็นบิดากล่าวขึ้นด้วยความเห็นใจบุตรสาวคนเดียว
"คุณภากรคะ เงียบๆไปเลยค่ะ มือไม่พายอย่าเอาเท้าราน้ำ"
ผู้เป็นสามีเงียบกริบไม่บอกก็พอจะเดาออกว่าครอบครัวนี้ใครใหญ่ที่สุด
"หยุดค่ะ ทั้งคู่เลยวามาแล้วนี่ไงคะคุณแม่ อย่าว่าคุณพ่อเลย"
วาทยาหญิงสาวอายุยี่สิบสองกำลังเรียนปริญญาตรีปีนี้ปีสุดท้ายและกำลังจะจบในไม่กี่วันนี้
"งั้นหนูก็ทำหน้าสวยๆหน่อยลูก เดี๋ยวเจอพี่เค้าจะได้ดูสวยๆ"
"คุณแม่ไม่คิดหน่อยเหรอคะ ว่าเอาลูกสาวมาใส่พานให้เค้าถึงที่"
"แต่บ้านนี้รวยมาก เหมาะสมกับลูกแม่ที่สุด"
"บ้านเราก็ไม่จนนะคุณ ทำไมต้องมุ่งหาแต่คนรวยๆ"
ผู้เป็นสามีอดที่จะพูดทักท้วงขึ้นมาอีกไม่ได้ถึงแม้จะโดนห้ามอย่างไรก็เถอะ
"คุณไม่เข้าใจหรอกถ้าลูกไปคว้าคนไม่มีหัวนอนปลายเท้ามาถึงตอนนั้นคุณจะเข้าใจ"
ผู้เป็นสามีถอนหายใจออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
-ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงบนท้องถนน-
รถเลี้ยวเข้ามาในคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลวัชรโชติ คนขับรถมาจอดนิ่งหน้าประตูทางเข้าโดยมีหญิงสูงอายุหรือคุณญาดามารออยู่ก่อนแล้ว
"สวัสดีค่ะคุณพี่"
คุณนุชนารถทักทายรุ่นพี่สมัยเรียนของเธอทั้งคู่คบหากันมานมนานทั้งแต่วัยสาวจนถึงตอนนี้ที่ใบหน้าของทั้งสองเริ่มมีริ้วรอยนับว่านานมากทีเดียว
"สวัสดีค่ะคุณน้อง ไม่เจอกันนานคิดถึงจังเลยค่ะ"
คุณญาดาสวมกอดคุณนุชนารถหลวมๆทักทายกันตามมารยาท
"สวัสดีค่ะคุณภากรเชิญข้างในกันค่ะ เจ้าธันวารออยู่แล้ว"
"สวัสดีค่ะคุณป้า"
วาทยายกมือไหว้บ้างเธอจำได้ว่าสมัยเด็กๆเธอเคยมาบ้านนี้บ่อยๆและเคยเล่นกับลูกชายของคุณป้าญาดาทั้งสองอยู่เสมอ
"หนูวาโตเป็นสาวแล้ว มาป้ากอดหน่อย"
วาทยายิ้มออกมาพร้อมสวมกอดหญิงสูงอายุอย่างถูกชะตาจำได้ว่าตอนเด็กๆท่านเอ็นดูเธอมากเพราะไม่มีลูกสาว
"ไปกันจ่ะ เข้าไปข้างในกัน"
ทั้งหมดเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกห้องรับแขกสไตล์ลักชูรี่โทนสีน้ำตาลอ่อนดูหรูหราอลังการ ตอนนี้หมอธันวานั่งอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มลุกขึ้นต้อนรับทันทีที่แขกเดินมาถึง วาทยาที่ตอนนี้กวาดสายตาไปรอบๆบ้านอย่างคิดถึงสมัยวัยเด็กแต่ดูเหมือนข้างในจะเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆเป็นทันสมัยมากขึ้น
"สวัสดีครับคุณอาทั้งสอง"
หมอธันวายกมือขึ้นไหว้แขกด้วยรอยยิ้มอย่างมีมารยาทถึงแม้ภายในใจจะไม่ค่อยอยากจะมาก็ตามแต่ แต่วาทยานั้นยืนหันหลังอยู่ไม่ทันที่จะหันมามอง
"น้องวาคะ ไหว้พี่หมอธันวาสิ"
วาทยาเอี้ยวตัวกลับมาที่ชายหนุ่มรูปหล่อ และยกมือขึ้นไหว้ ทว่าเมื่อตาประสานตาวาทยาถึงกับเบิกตาโพลงหน้าซีดเผือดแทบจะอยากดำดินหนี
"คุณหมอ!"
"เธอนั้นเอง!"
"นี่รู้จักกันแล้วเหรอคะ"
"อะ..เอ่อไม่ค่ะ ไม่ได้รู้จัก"
วาทยาอึกอักทันทีเพราะว่าวันก่อนเธอไปพบคุณหมอธันวาที่คลินิกมาเพื่อจะทำหน้าอกแต่ว่าพอเขาจะตรวจวัดขนาดหน้าอกของเธอ เธอก็เกิดใจเซาะแล้ววิ่งออกมาจากคลินิกเลย
หมอธันวารู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวสวยตรงหน้าที่จะไปทำหน้าอกกับเขาวันก่อนนั้นไม่อยากให้ครอบครัวรู้
"อ้อ!เอ่อครับ ผมคิดว่าผมน่าจะจำผิดคนครับ"
วาทยาโล่งอกที่หมอธันวาไม่พูดอะไรออกมา
"ไปที่ห้องรับประทานอาหารกันดีกว่านะคะทุกคน"
คุณญาดาเดินนำทั้งหมดไป
-1ชั่วโมงผ่านไปหลังรับประทานอาหารเสร็จ-
"ธันวาพาน้องออกไปเดินเล่นสิจ้ะลูก"
คุณญาดาสั่งบุตรชาย
"ครับแม่"
ธันวาหันไปมองยัยตัวแสบที่ทำเขาเสียเวลาในวันก่อน
"ไปกันครับน้องวาทยา"
"ค่ะ"
วาทยาเดินตามร่างสูงโปร่งของหมอธันวาไป
'ดีเลย มีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย'
วาทยาพูดออกมาในใจเบาๆ
หมอธันวาพาหญิงสาวมานั่งที่ศาลาข้างสระน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นเป็นที่นั่งเล่นและพักผ่อนหย่อนใจ
"คุณหมอคะ"
"ว่าไงครับ"
เสียงเย็นเชียบของเขาตอบกลับมา
"เรื่องวันนั้นรบกวนคุณหมออย่าบอกคุณพ่อคุณแม่นะคะ"
"เรื่องวันไหน?"หมอธันวาแสร้งทำเป็นไม่รู้เพราะยังนึกหมั่นไส้เธออยู่หน่อยๆ
"ก็วันนั้นที่จะไปทำหน้าอก"
"อ้อ!ที่ผมจะตรวจขนาดหน้าอกของคุณแล้วคุณก็วิ่งหายไปเลยอย่างนั้นเหรอ ผมเสียเวลามากๆเลยนะ"
"เบาๆสิคะ..ก็ใครจะเปิดให้ดูกันง่ายๆล่ะคะ"
วาทยาทำสัญลักษณ์ชุ๊ปากให้เขาเงียบเสียงลงและกระซิบบอกเขาเสียงเบา
"เสริมหน้าอกไม่ต้องดูหน้าอกงั้นคุณจะไปเสริมทำไม อืม แต่ดูๆแล้วไม่เห็นจะต้องเสริมอะไรได้แล้วนะ ก็มีอยู่บ้างแล้วไม่ใช่เหรอนั่นน่ะ"
พูดพรางจ้องมองไปที่หน้าอกของเธอในชุดเดรสยาวรัดรูปที่ผู้เป็นมารดาเลือกให้เธอใส่
"เอะ!มองอะไรคะ?"
วาทยาเอามือขึ้นปิดหน้าอกทันทีที่สายตาคมภายใต้กรอบแว่นนั้นมองสำรวจมาที่หน้าอกของเธอ
"จะตกใจทำไมผมก็เจอมาแล้วเป็นพันคน"
"แต่วาไม่เคยเปิดหน้าอกให้ใครดูค่ะ"
หน้าเธอเริ่มบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ
"นี่ คุณรู้ใช่มั้ยว่าพ่อแม่ของคุณกับแม่ผมนัดให้เรามาดูตัวกัน"
หมอธันวาเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นว่าวาทยาเริ่มหน้าแดงเพราะความอับอาย
"ก็รู้อยู่"
"บอกไว้ก่อนเลยนะ ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้และก็ยังไม่คิดจะแต่งงานกับใครด้วย"
วาทยาเงียบนิ่งคิดเธอจำได้ว่าเพื่อนๆของเธอต่างก็เมาส์มอยเรื่องนี้กันว่าหมอธันวานั้นอกหักมา เลยกลายเป็นคนเย็นชาปิดกั้นตัวเองและไม่เคยมองสาวๆคนไหน วาทยาก็ได้รับรู้ตอนนี้นี่เองว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
"งั้นเอาแบบนี้ดีมั้ยคะ...เราแกล้งเป็นแฟนกันคุณพ่อคุณแม่จะได้ไม่นัดวาไปดูตัวที่ไหนอีกวาเองก็ไม่อยากไปดูตัวแล้วค่ะ"
หมอธันว่าถึงกับอึ้งกับข้อเสนอของวาทยาแต่ก็แอบเห็นด้วยเหมือนกันทุกวันนี้เขาอึดอัดจากการโดนจับมาดูตัวเต็มที
"เอาอย่างนั้นเหรอ?"
วาทยาคิดแผนซ้อนแผนเพราะระหว่างนี้เธอจะเอาชนะหัวใจที่เย็นชืดของเขาให้ได้
"ค่ะ ตกลงตามนี้นะคะ"
"อืม..ก็ได้"
"งั้นลุกขึ้นมาค่ะ พวกเค้ากำลังแอบมองเราอยู่"
หมอธันวามองไปทางที่หญิงสาวโบ้ยปากก็เห็นว่าแม่ของทั้งคู่กำลังยืนแอบมองผลงานของตัวเองอยู่
"พี่ธันวา วาจะเรียกแบบนี้นะคะ ส่วนพี่ธันวาต้องเรียกวาว่าน้องวาโอเคมั้ย?"
"เอ่อ..อืม น้องวา"
ไม่รู้อะไรดลใจทำให้เขาต้องเออออไปกับหญิงสาวตรงหน้าทุกเรื่อง เจ้าหล่อนเหมือนเด็กสาวกะโปโลไม่เหมาะกับเขาเลยสักนิด ถึงแม้ว่าหน้าตาของเธอจะดูสวยน่ารักมากก็ตามแต่นิสัยออกแก่นๆไปหน่อยนึง
'เหมือนมาเล่นกับเด็กๆ แต่ก็เอาเถอะอยากรู้ว่าเธอจะมาไม้ไหน?'
"เอามือมาค่ะ เราต้องจับมือกันเดินกลับไป จะได้เนียนๆ"
วาทยาหัวเราะคิกๆอยู่ในใจเพราะเธอนั้นหลอกจับมือคุณหมอธันวาอยากรู้ว่าใจเขาจะตบะแตกมั้ย แต่วาทยาก็แอบใจสั่นอยู่บ้างเหมือนกัน
'เราก็สวยไม่เบานี่นาอยากรู้เหมือนกันว่าจะใจแข็งเย็นชาได้นานแค่ไหน"