ตอนที่ 3 ชื่อตอน ช่วยสตรี

1735 คำ
"คราแรกผู้คนล้วนยินดีที่จะลงกันไปทางบันไดสำนัก แต่มิคาดว่าบันไดจะทอดยาวตรงดิ่งไปจนถึงตีนเขา นับได้เป็นพันๆขั้น ขาลงนั้นช่างน่าหวาดผวาว่าจะกลิ้งตกเขา แต่ขาขึ้นเล่าจะทำเช่นใดกัน!!!! " ศิษย์ใหม่ต่างแข้งขาสั่นพั่บๆ โชคดีที่บันไดนั้นขั้นใหญ่มิสั้นนัก มิเช่นนั้นคงมีสะดุดกันลงมาตายกันบ้างล่ะ ยามถึงที่ตีนเขา เจี้ยนหวาแยกคนออกเป็นสองแถว ไปตามสีของตะกร้า แถวหนึ่งมุ่งไปที่โรงทาน แถวหนึ่งมุ่งไปขายปลายังโรงเตี้ยม ผู้คนต่างก็แย้มยิ้มส่งมาให้ "อ้าว สำนักง้อไบ้นั่นเอง ในวันนี้มีสิ่งใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ" เถ้าแก่หรูขยับกายอ้วนท้วนเข้ามาหา และมองไปที่ตะกร้าของศิษย์ใหม่ แย้มรอยยิ้มให้อย่างอารีย์ "เถ้าแก่ข้าจะขอนำปลาย่างมาแลกกับปลายข้าวสาร นำไปต้มที่โรงทาน ข้าจะทำข้าวต้มในเช้านี้ ท่านพอจะมีบ้างหรือไม่ ท่านลองตรวจสอบดูว่าจะให้ข้าวสารแก่เราได้เท่าใด เราจะเร่งนำออกไปมิรอคอยท่านยืนสนทนากับเราแล้วเจ้าค่ะ ยามเช้านั้นผู้คนต่างก็หิวโหย ที่ข้างนอกนั้นรบรากันมากว่าสิบวันแล้ว เช่นนี้เมื่อวานนี้ ข้าจึงจับปลาแล้วย่างไฟ บางส่วนข้าก็นำมายีทอดกรอบไปเสียแล้ว ช่างหอมอร่อยเชียว ท่านจะสนใจไปชิมฝีมือของข้าบ้างหรือไม่เล่า " "เหตุใดมิเอาข้าวสารไปเปล่าๆเล่า ข้าก็อยากช่วยเจ้าให้ช่วยเหลือผู้คนเฉกเช่นกัน " "มิได้หรอกเถ้าแก่หรู หากท่านช่วยเราจนหมดสิ้นกำไรแล้ว ยามนี้มีสงครามเกิดขึ้นมานานกว่าสิบวัน ข้าวยากหมากแพงขึ้นเสียแล้ว เช่นนี้ข้าวสารย่อมมีราคาแล้ว ท่านนำปลาของข้าไปขายนำมาซื้อข้าวสารต่อ ข้าจะนำมาแลกอีกดีหรือไม่เล่า ยามนี้ในสำนักนั้นมีศิษย์มากมาย การเก็บหน่อไม้ผ่าฟืนคงกระทำได้ง่ายขึ้น เช่นนี้ท่านว่ามิดีกว่าหรือ หากเราขึ้นเขาเก็บของป่า ยามนี้เจอโจรชุกชุมเราก็จะได้กำราบมันไปด้วย ดีกว่าให้ชาวบ้านนั้นขึ้นเขาไปเพียงลำพัง ยามนี้เราจะคุ้มภัยผู้คน และคัดแยกผู้คนให้ท่านสุขสบายดี ให้สมกับน้ำใจของท่านดีหรือไม่เล่าเถ้าแก่หรู " "หึ หึ เช่นนั้นก็จริงด้วย ข้าเองก็ต้องมีทุนกักตุนข้าวสารซินะ เช่นนี้ข้าจะเริ่มกักตุนข้าวสารเพียงอย่างเดียว และรอผักปลาจากสำนักง้อไบ๊ดีหรือไม่เล่า ต้นทุนในโรงเตี้ยมของข้าจะได้ลดลงไปบ้าง เพราะสินค้าของเจ้านั้นสดใหม่กว่าที่ใด แม้แต่ปลาย่างยังหอมกว่าพ่อครัวชั้นเลิศทั้งนั้น ผู้มีฐานะล้วนยอมจ่ายมันอย่างมิขัดใจ" "เช่นนั้นข้ายิ่งย่ามใจ จะลงมาช่วยผู้คนไปทุกวัน ท่านจะต้องอกแตกตายแน่เลยเถ้าแก่หรู " "ฮ่า ฮ่า ข้ายินดี อย่างใดที่นี่นั้นทางการก็มาช่วยเหลือข้ามิทัน คนจะหิวตายอยู่แล้วมิใช่หรือ เราจะปล่อยผู้คนอดตายก็คงมิได้ ช่วยคนดั่งสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น วันหน้าถ้าสงครามสงบ ผู้คนปลูกข้าวได้ก็คงนำมาคืนข้าเสียจนเต็มยุ้งฉาง เช่นนี้ข้ามินับว่ามีแต่ได้หรอกหรือไรเล่า แม่นางเจี้ยนหวา" เจี้ยนหวายิ้มแย้มยินดี แย้มรอยยิ้มจนผู้คนนั้นลมหายใจสะดุดขึ้นมา เถ้าแก่หรูยกมือขึ้นมาทาบที่ดวงใจ กลัวว่ามันจะกระเด็นไปหานางเสียแล้ว ถ้าหากนางมิใช่งดงามขนาดนี้ เห็นทีคงมิยินยอมนางง่ายๆแน่ ถึงมิได้อันใดจากนาง ก็ขอให้ได้เห็นรอยยิ้มของนาง เช่นนี้เถ้าแก่หรูก็พึงพอใจแล้ว หลังจากยิ้มเพ้ออยู่ที่หน้าโรงเตี้ยม ก็มิรับรู้ว่าพวกนางนั้นหอบข้าวสารจากไปเสียแล้ว ยามถึงที่โรงทาน เจี้ยนหวาเห็นผู้คนอพยพมานั้นมีผู้บาดเจ็บอยู่เสียมาก พวกนางขนของเข้าไปที่โรงทาน เด็กๆวิ่งตามมาเกาะแขนขาเพื่อร้องขออาหาร "พี่สาวข้าหิว พี่สาวขอข้าวข้าด้วยเถิด น้องข้าไม่สบาย พี่สาวได้โปรดเถิด" "เงียบบบบ !!! " เจี้ยนหวาตะโกนลั่น และพูดเสียงดังขึ้นมา "ผู้ใดมีแรงทำครัว รีบเร่งตามเข้าไปในโรงทานเสีย ข้ามีข้าวสารและปลากรอบในเช้านี้ เร่งเข้าไปช่วยกันหุงหาอาหารซะ แล้วจงรอคอยการจ่ายแจกอย่างเงียบสงบ จงรับไปแค่พออิ่มในเช้านี้ ยามสายข้าจะมาอีก ผู้ใดตามข้าไปหาอาหารขุดเผือกขุดมันได้ต่อจากนี้ก็จงไป ผู้ใดเจ็บป่วยไปที่โรงหมอที่ฟากนู้น" "ผู้ใดมีเงินจะบริจาคจงเข้าไปในโรงทานเพื่อช่วยเหลือผู้คนซะ ผู้ใดหาทางนำข้าวสารเข้ามาได้ก็จงเร่งนำมาเถิด จงช่วยเหลือกัน ข้าคือศิษย์เอกแห่งสำนักง้อไบ๊จะลงมาช่วยพวกเจ้านั้นขจัดภัยพาล" “หากพบว่ามีการปล้นสะดม โจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นมาก็จงแจ้งข้า หรือแจ้งไปที่โรงหมอนั้น แล้วข้าจะลงมาช่วยเหลือ ปราบปรามมันลงไปให้ในคราเดียว " เจี้ยนหวาตะโกนดังลั่นและยืนท้าวสะเอวควบคุมการแจกจ่ายอาหาร นางป่าวประกาศแก่ผู้คนถึงทางไปที่แม่น้ำใหญ่ให้ทอดแหตกปลา ชี้ทางไปที่ป่าไผ่ให้ก่อสร้างเพิงบังแดดฝน ชี้ทางไปล่าสัตว์หาสมุนไพรหยูกยามาดูแลตนเอง ยามสิ้นไร้เงินตราและกล่าวออกมาว่า "โรงหมอแห่งนั้น หากผู้ใดมีทรัพย์ก็จงจ่ายออกไปเถิด เพื่อไว้ซื้อหยูกยา หากมิมีทรัพย์มาก ในยามที่พวกเจ้าหายดีแล้ว จงเร่งออกไปหาสมุนไพรมาจ่ายทดแทนกัน ผ้าขาวก็จ่ายได้ เร่งช่วยเหลือกันไปจนกว่าจะสิ้นสงคราม ยามที่สงครามสงบลงไปแล้วทุกสิ่งคงดีกว่าเดิม เชื่อข้าเถิด " "ส่วนพวกเจ้า เจ้าเด็กขี้แง พรุ่งนี้ข้าจะทำน้ำตาลปั้นมาแจก วันนี้จงกินข้าวเสียให้อิ่มก่อน อดทนเอาไว้แล้วมินานมันจะผ่านไป หากพวกเจ้านั้นเติบโตจนมากพอแล้วอยากทดสอบกำลังของตน จงผ่านค่ายกลขึ้นไปให้รอดตายแล้วมาเป็นศิษย์น้องของข้าซะ " เจี้ยนหวาแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างน่าขนลุก ทำท่าทางอย่างภาคภูมิใจ ทำให้บุรุษมากมายล้วนจ้องมองมาที่นาง เพราะนางนั้นงดงามเสียจนใจกระตุก เจี้ยนหวาเดินผ่านผู้คนออกไปเรื่อยๆ จนพบม้าที่วิ่งเตลิดไร้คนก็กระโดดขึ้นไปบนหลังม้า ม้าพลันหันกลับวิ่งห้อตะบึงออกไปนอกเมืองในทันที "ม้ามีเจ้าของ???" เจี้ยนหวาคิดในใจแล้วกอดรัดมันแน่น นั่งอยู่บนหลังม้าเฉยๆ รอคอยว่าม้าจะพานางไปที่ใดได้ นางจะลองตามมันไปดู มิคาดยามที่ม้านั้นหยุดฝีเท้าลง นางได้พบกับการปะทะกันของโจรป่าและขบวนผู้คุ้มภัย ในขบวนมีสตรีอยู่ตรงกลาง ในวงล้อมมากมาย เจี้ยนหวามองไปที่นั่นและลูบขนของม้าเบาๆ ผู้คุ้มภัยที่มีดวงตราของสำนักคุ้มภัยมีเลือดท่วมกาย และกำลังจะเสียเปรียบแล้ว เจี้ยนหวาหรี่ตามองผู้คนในชุดสีแดงที่มีดวงตราของพรรคมารแดง นางหรี่ดวงตาลงและทะยานฟ้าขึ้นไปกลางวงล้อม ซัดฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง ปะทะลงไปในกลางวงของเป้าหมาย ผู้คนกระอักเลือดล้มลงไปกว่าครึ่ง สำนักคุ้มภัยพลันยิ้มยินดีขึ้นมา เมื่อยามที่เห็นตราสำนักง้อไบ้อยู่บนที่อกเสื้อของนาง "แม่นางโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด พวกนางสำคัญนักจะให้ตกอยู่ในอันตรายมิได้เลย ได้โปรดเถิด" เจี้ยนหวาพยักหน้าเพียงน้อยนิดและถีบตัวขึ้นไปบนยอดไผ่ ยกดาบฟาดฟันลงไปที่หมู่พรรคมารแดงทั้งหลาย นางร่ายรำระบำผีเสื้อ ชายเสื้อของนางคล้ายผีเสื้อสีแดงบินวนอยู่นับล้านตัว และผู้คนก็กรีดร้องขึ้นมา "อ๊าก เนื้อข้า ตาข้า ขาข้า แขนของข้า อ๊าก " สตรีทั้งหลายดวงตาโตขึ้นและเร่งหันหลังไปกอดกันในทันใด ยามที่เห็นใบมีดบาดผิวผู้คนจนขาดวิ่นแขนขาล่องลอย พวกนางก็มิยอมลืมตาขึ้นมาอีก ยิ่งยังมีเสียงตะโกนดังขึ้นอีกคราหนึ่ง พวกนางก็ยิ่งหลับตาลงไปแน่นหนา "หลับตาเอาไว้ซะ หากพวกเจ้านั้นมิอยากจะหวาดผวาไปจนตาย พวกเจ้าจงเร่งพาพวกนางผ่านไปที่ตีนเขาเถิด มีโรงเตี้ยมที่ตีนเขาของสำนักง้อไบ๊ อย่างไรค่อยคุยกันในคราหลังก็ย่อมได้ ที่นี่มินานคงจะเริ่มมีกลิ่นเน่าเหม็นในไม่ช้าแล้ว ควรเร่งรีบไปเถิด ค่อยย้อนมาฝังกลบพวกมันก็ย่อมได้ เพราะข้านั้นจะมิทำมันอย่างแน่นอน “ ผู้คุ้มภัยโค้งกายให้นางและนำสตรีขึ้นรถม้าที่เสียหายบางส่วน ม้าตัวที่นำนางมานั้นก็เป็นของผู้นำขบวนนั่นเอง มันออกไปตามหาคนมาช่วยเจ้านายของมัน เจี้ยนหวาชื่นชมนัก นางก้มลงสำรวจศพช้าๆ เปิดใบหน้าดูไปทุกรายและบ่นเบาๆขึ้นมา "ไหนผู้ใดว่า พวกมารแดงนั้นหล่อเหลา นี่มันมิต่างจากพวกกรรมกรตีข้าวเลยมิใช่หรือ กุลีบ้านข้านั้นยังงดงามกว่าพวกมันอีก ผู้ใดช่างกล้าปล่อยข่าวหลอกลวงกัน เสียอารมณ์ชะมัด ฝีมือก็ชั้นปลายแถว สำนักคุ้มภัยบ้านั่นทำอันใดกันอยู่นี่ จึงตกอยู่วงล้อมของพวกมันได้ ช่างน่าทุเรศเสียจริงเชียว"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม