ตอนที่ 5 ชื่อตอน ข้าต้องการเสบียงกรัง

1429 คำ
​เจี้ยนหวาหอบหายใจพักหนึ่งและทะยานออกไปนอกกำแพงเมือง ไปคุ้มกันเจ้าหนังเสือที่มีคนไล่ล่าติดตามมาตามเป็นพรวน แม้บางส่วนผู้คุมกฎทั้งสิบจะเข้าช่วยแล้ว แต่ยามนี้มันบาดเจ็บและม้าก็วิ่งช้านัก เจี้ยนหวาจึงต้องเร่งเข้าช่วยมันไปตลอดทางไปจนถึงกำแพงเมือง เมื่อมันขี่ม้าเข้าไปได้และวางสตรีบาดเจ็บทั้งสองลงไปในอ้อมแขนของทหารทั้งหลาย เจ้าหนังเสือก็หอบหายใจกระอักเลือดออกมาคำโตและดวงตาพร่ามัวลงไปแล้ว "รัชทายาทพะยะค่ะ กระหม่อมมาแล้ว หลวนฝูมาแล้ว อาฝูมาแล้วกระหม่อม" มันเอ่ยพร่ำเพ้อออกมาและดวงตาปรือลงไปก่อนจะร่วงลงมาจากม้า เจี้ยนหวาต้องดึงมันเอาไว้อย่างทุลักทุเล หักธนูออกและจับเสื้อหนังเสือของมันไว้ ดึงชักม้าพามันไปยังที่โรงหมอ กว่าจะถึงนางก็เหนื่อยจนแทบจะขาดใจ ดื่มน้ำในโรงหมอไปอึกใหญ่ นางถลึงตามองหมอที่ทำสายตากรุ้มกริ่มจ้องมองนาง ที่กำลังดื่มน้ำหกเลอะเทอะบนทรวงอก อย่างกำลังจะขาดใจตายลงไปแล้ว "มองอันใด ไปรักษามันนู่น เจ้าหมอชีกอ !! " "หึ หึ ก็เจ้างามเสียอย่างนี้ ข้ามีดวงตา อันใดข้าจึงจะไม่มองเล่าเจี้ยนหวา หากเจ้าจะวิวาร์กับผู้ใดนึกถึงข้าบ้างได้หรือไม่ เจี้ยนหวาคนงาม " บุรุษใส่หนังเสือ ดวงตาใกล้จะหลับแต่ยังได้ยินเสียงบุรุษเกี้ยวพาราสีกัน จึงจดจำชื่อนางจนขึ้นใจ เจี้ยนหวา บุรุษท่องชื่อของนางซ้ำๆขึ้นมา "ขอบคุณมาก แม่นางเจี้ยนหวา ข้าขอบคุณ" เจี้ยนหวาตบแผลมันเบาๆ และเอ่ยเสียงดังขึ้นมา "รอเจ้ารอดตายค่อยขอบคุณข้าเถิด ข้าต้องการข้าวสารและเสบียงคลังให้ส่งมาจากเมืองหลวง องค์หวงซ่างคงมิใจจืดกระมัง อย่าลืมข้าวสารของข้าเล่า อื่นใดข้ามิเอา จงจดจำไว้ให้ขึ้นใจ !!! " ทหารบาดเจ็บทยอยชักม้าจนมาถึงโรงหมออย่างเงียบเชียบ สตรีบางนางก็รู้จักวิชาหมอช่วยทำแผลผู้คนเองอย่างคล่องแคล่ว เจี้ยนหวาหัวเราะชอบใจและช่วยปลดชุดเกราะ หักธนู กรีดปากแผล รอหมอชีกอลงมานาบแผลด้วยเหล็กเผาไฟ ทหารกัดผ้าแน่นมิปริปากส่งเสียงร้องออกมาแม้ครึ่งคำ เจี้ยนหวาขึ้นมาและช่วยทาขี้ผึ้งให้เบาๆ นางเอ่ยต่อหน้าผู้คนขึ้นมาอีกครา "พวกเจ้าจงจำให้ขึ้นใจ ข้าต้องการข้าวสารและเสบียงเป็นค่าตอบแทนในครานี้ จงไปทูลองค์หวงซ่าง หลังจากที่รอดตายไปได้แล้ว เข้าใจหรือไม่!!! " ทหารบาดเจ็บยกยิ้มน้อยๆขึ้นมาที่มุมปาก มองชมคนงามที่ชี้นิ้วสั่งการผู้คน ช่างน่าขำนัก นางข่มขู่ชาววังเอาข้าวสาร มันอยากจะหัวเราะให้ตาย แต่มันก็เจ็บปวดที่บาดแผล มันรู้ตนดี เช่นนี้คงหัวเราะไม่ออกไปอีกนาน สตรีถามชื่อนางขึ้นมาอีกคราหนึ่ง "ท่านมีนามว่าอันใดหรือ ท่านผู้มีพระคุณ " เจี้ยนหวายกยิ้มและยิ้มสว่างไสวขึ้นมา นางตอบออกมาอย่างว่องไว "ข้าผู้ต้องการข้าวสารและเสบียงจากหวงซ่าง คือเจี้ยนหวาแห่งง๊อไบ๊ " สตรีในวังหลวงขำพรืด เอาผ้าบางๆปิดหน้าเบาๆ หัวเราะขึ้นมาจนตัวสั่นกระเพื่อม "นางจดจำสตรีผู้นี้จนขึ้นใจ สตรีผู้งดงามจนล่มเมือง เช่นนี้มากกว่าข้าวสารนางก็คงได้ เกรงว่าองค์หวงซ่างจะแทบรื้อเสบียงทั้งวังหลวงมากองไว้ที่แทบเท้าของนาง ในยามที่ได้พบเจอนางด้วยพระองค์เองเป็นแน่แล้ว แต่เช่นนั้นคงมิเหมาะกับสตรีเก่งกาจเช่นนางแน่ นางมิเหมาะกับวังหลวงที่น่าเบื่อเช่นนั้น นางเหมาะกับที่เช่นนี้ดีอยู่แล้ว" สตรีวังหลวงยกยิ้มให้นาง และรับคำของนางเบาๆ "ข้าจะกราบทูลองค์หวงซ่างแน่นอนเจ้าค่ะท่านผู้มีคุณ มิทราบว่ายามนี้ท่านน้อยๆทั้งสองนั้นอยู่ที่ใดกันหรือเจ้าคะ" เจี้ยนหวายกยิ้มและชี้ขึ้นไปบนง้อไบ๊ "อยู่บนสำนักง้อไบ๊ คาดว่าท่านอาจารย์คงรับเจ้าตัวน้อยทั้งสองเป็นศิษย์แล้ว เพราะทั้งสองนั้นมีวาสนากับง้อไบ๊ การจะช่วยเจ้าทั้งสองนั้นได้อย่างมั่นคงก็คือการให้ร่ำเรียนวรยุทธ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ผู้อื่นจะรังแก ผู้อื่นจะลักลอบฆ่า คงจะยากเย็นกันบ้างแล้ว เช่นนี้เมื่อพวกเจ้าหายดีก็จงกลับไปกันก่อนเถิด ทิ้งทั้งสองเอาไว้ที่ง้อไบ๊ สำนักเราในยามนี้มิใช่ชั่ว แม้กองทัพขนกันมาทั้งกอง ข้ายังคิดว่าพวกเรานั้นยังจะสามารถต้านทานไหว เช่นนั้นพวกเจ้านั้นมิต้องกังวลใจ ยามนี้ศิษย์ของเราล้วนคล้ายเดนตายกันไปแล้วในทุกวัน เมื่อสำเร็จวิชา ทั้งสองคงเป็นรัชทายาทและองค์หญิงเดนตายที่ไร้ผู้ต้านทานเป็นแน่ " นางกำนัลน้ำตาคลอ โขกศีรษะลงบนพื้นไปต่อหน้าเจี้ยนหวา "ขอบคุณท่านเจี้ยนหวาผู้มีพระคุณ ข้าจะมิลืมเลือนเลยเจ้าค่ะ" เจี้ยนหวายิ้มและนั่งลง ยกตัวของนางขึ้นมาจากพื้นและตบบ่านางลงไปเบาๆ "ขอบคุณโชคชะตาและหยางเจี๋ยเถิด เพราะมันเล่าเรื่องราชวงศ์ให้ข้าฟัง ข้าจึงมองเห็นลวดลายดอกมู่ตานที่อยู่ในสภาพขมุกขมัวนั้นได้ มิเช่นนั้นข้าคงนึกว่าเด็กสองคนนั้นคือบุตรของขอทาน มอมแมมเช่นนั้นผืนผ้ายังเปลี่ยนสี ช่างน่าอนาถนัก" "หยางเจี๋ย สกุลหยาง คุณชายของสกุลหยางหรือเจ้าคะ" นางกำนัลดวงตาโตขึ้นมาและดึงเสื้อของเจี้ยนหวาอย่างลืมตน เจี้ยนหวาเหล่ดวงตาออกไปและดึงมือของนางออก จัดเสื้อผ้าของตนใหม่อย่างถือตน และกล่าวตอบนางออกไป "ใช่ มันเป็นศิษย์น้องของข้าเอง เป็นผู้คุมกฎหนึ่งในสิบคนที่ไปช่วยเจ้า อีกมินานมันคงไปนำคนที่เหลือกลับมาได้ มันเก่งนัก แต่มันบอกว่าบิดาและพี่ชายของมันนั้น เก่งกว่ามันมาก ได้ยินว่าบิดาของเจ้าหยางเจี๋ยนั้นเป็นแม่ทัพรักษาชายแดนอยู่ " นางกำนัลและทหารองครักษ์ยกยิ้มยินดีขึ้นมาในใบหน้า ดีใจที่ได้พบกับผู้มีฝีมือ เช่นนี้หนทางที่จะฝ่าวงล้อมกลับเมืองหลวงไปคงง่ายขึ้น หรือหากมิพบหนทางใด คงส่งข่าวไปทางนกพิราบของสกุลหยาง เช่นนี้ข่าวก็คงไปถึงวังหลวง หรืออาจให้กองทหารส่งกองกำลังหนุน ออกมาช่วยพวกมันออกไปได้" คิดมินาน เจี้ยนหวาก็เอ่ยคำออกมาในทันใด "หากพอแค่พวกเจ้าอาการทุเลาดีขึ้นแล้ว ก็ขึ้นบันไดไปพบอาจารย์ของข้าเสียที่บนง้อไบ๊ที่มีบันไดพันขั้น จงเตรียมกายของพวกเจ้าให้พร้อม และจงขอกำลังคุ้มกันพวกเจ้าออกไปเมืองหลวง ไปพร้อมหยางเจี๋ยเสียเลย ทิ้งเจ้าเด็กน้อยไว้ที่นี่ เมื่อมันแข็งแกร่งพอ อาจารย์จะหาคนไปส่งมันเอง พวกเจ้าอยู่นานแล้วจะเปลืองข้าว ยามนี้ที่นี่ปลูกข้าวมิพอเพียงแล้วเพราะสงครามข้างนอกนั่น จงไปนำข้าวสารมาและนำทัพมาปราบกบฎเสีย ผู้คนลำบากยากแค้นแล้ว ข้าเหนื่อยจะตกปลาลงมาแจกจ่ายผู้คนเสียแล้ว" “ข้าเหนื่อยที่จะต้องทอดปลาลงมาแต่เช้ามืด เช่นนั้นจงเร่งบำรุงร่างกายและจากไปเสีย และจงกลับมาพร้อมกองทหารและเสบียงกรัง เข้าใจแล้วหรือไม่ " องครักษ์พยักหน้าและขบฟันลงไปบนริมฝีปาก "เข้าใจนางแล้ว ว่าเหตุใดกันนางจึงต้องการเสบียง นางมิได้อดอยากอันใด นางต้องการช่วยผู้คนที่ลี้ภัยสงครามมาต่างหากเล่า ยามนี้ที่นี่ถูกโอบล้อม แม้ปลอดภัยแต่มินานนั้นก็จะมีภัยแล้ว พวกมันนั้นนำภัยมาสู่ง้อไบ๊ในยามนี้ และบนนั้นก็คือที่หลบภัยแห่งเดียวที่จะสามารถรักษาชีวิตขององค์รัชทายาทน้อยและองค์หญิงน้อยทั้งสองได้" "ขอสวรรค์ทรงรักษาพระองค์เถิด ช่างน่าเวทนานัก "
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม