“เจ้าไม่ต้องกลัว ...” ฮองไทเฮายื่นพระหัตถ์มาให้นางไปหลบด้านหลัง แต่นางกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ
“มิใช่เพคะ แผลนี้...แผลนี้...” นางคิดคำพูด ใจเต้นรัว หันไปมองหน้าชายผู้นั้นแต่เขากลับกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“เจ้าไม่ต้องกลัว”
“แผลนี้โดนกิ่งไม้เกี่ยวเพคะ ไม่ใช่เพราะคนผู้นั้น” นางพูดความจริงแล้ว แต่ฮองไทเฮากลับถอนหายใจหนักหน่วง
“เจ้าไม่ต้องไปแก้ตัวแทนเขา” ฮองไทเฮาปลอบนาง “เฟยเทียน ต่อให้เจ้าเป็นแม่ทัพใหญ่สร้างคุณงามความดีมากเพียงใด แต่เจ้าไม่ควรทำร้ายหญิงที่ไม่มีทางสู้เช่นนี้ หากนางทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ ก็ไม่ควรลงไม้ลงมือ วันข้างหน้านางเสียโฉมจะว่าอย่างไร”
มีเพียงเสียง ‘เหอะ’ ในลำคอ คล้ายว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นเพียงเรื่องไร้สาระ นางจำไม่ได้ว่าพระสนมหรือฮองเฮาเข้ามาเตือนฮองไทเฮาให้รีบพานางไปทำแผล นางจึงได้ก้าวเดินออกจากที่นั่น นับจากวันนั้น นางได้รับของปลอบขวัญมากมาย แพรพรรณงดงาม เครื่องประดับหรูหรา แต่นางไม่ได้รับของเหล่านั้น เป็นท่านแม่เก็บไว้เอง วันเวลาผ่านไป เรื่องของนางถูกลืมเลือน มีเพียงแต่นางที่ติดตามข่าวคราวของชายผู้นั้น จนได้รู้ว่าเขาคือ องค์ชายเฟยเทียน แม่ทัพใหญ่ผู้ผนวกดินแดนมังกรให้เป็นผืนแผ่นดินเดียว
สองปีมานี้ฮองไทเฮาโปรดกล้วยไม้และพรรณไม้หายาก เมื่อสิ่งใดที่ฮองไทเฮาโปรดปรานก็มีผู้คนนำไปถวาย แต่กล้วยไม้บางชนิดเมื่อย้ายถิ่นที่อยู่กลับไม่เจริญงอกงาม ฮองไทเฮาร้อนพระทัยหาผู้มาดูแลกล้วยไม้เหล่านี้ ปีนั้นนางอายุสิบหกได้เข้าไปถวายพระพรฮองไทเฮาในวันประสูติ นางแอบเห็นองค์ชายเฟยเทียน แม้ถูกปลดจากตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว แต่กระนั้นพระองค์ทรงน่าเกรงขาม สง่างาม นางแอบมองอยู่ไกลๆ
ด้วยใบหน้าอัปลักษณ์ของตนทำให้นางไม่กล้าเข้าใกล้ผู้อื่น ทำตัวราวกับตัวเองเป็นเชื้อโรคเสียเอง ที่ผ่านมานางพยายามบอกผู้อื่นเสมอว่าวันนั้นเป็นอุบัติเหตุ กิ่งไม้นั้นตวัดบาดแก้มนางจริงๆ แต่กลับไม่มีผู้ใดเชื่อ ยังคงโทษว่าเป็นความผิดขององค์ชายเฟยเทียน ทำให้นางรู้สึกผิดติดค้างอยู่ในใจ และคราวนั้นเองนางแอบย่องไปดูกล้วยไม้ของฮองไทเฮา ช่วยจัดการดูแลบำรุงรักษาให้ เจ้ากล้วยไม้ใกล้ตายจึงฟื้นคืนชีพมา นางคิดว่าสิ่งที่ทำไม่มีผู้ใดรู้เห็น แต่หลังจากนั้นสามวันก็ถูกเรียกตัว บรรดาสาวใช้ที่ไม่เคยดูแลนางต้องช่วยแต่งตัวแล้วรีบเข้าตำหนักของฮองไทเฮา ที่นางถูกเรียกเพราะมีขันทีผู้หนึ่งบังเอิญเห็นนางดูแลกล้วยไม้ล้ำค่าของฮองไทเฮา
“หม่อมฉันว่านหนิงเหมยเพคะ”
“เป็นเจ้าเองหรอกหรือ” ฮองไทเฮาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสาร รอยแผลเป็นนูนหนาบนใบหน้า ราวกับรอยจารึกที่ไม่มีใครอยากจดจำ “ดูท่าทางเจ้าคงเป็นพวกมือเย็น มีพรสวรรค์เรื่องพวกนี้ อย่างไรแวะเวียนมาช่วยดูแลกล้วยไม้ของข้าหน่อยจะได้หรือไม่”
“หม่อมฉันยินดีเพคะ”
ด้วยเหตุนี้ ทุกห้าวันหรือเจ็ดวันนางต้องได้เข้าวังไปตำหนักฮองไทเฮา คอยดูแลต้นไม้และดอกไม้หายากเหล่านั้น ให้เบ่งบานเป็นที่พอพระทัยของฮองไทเฮา
นางเหมือนจะเป็นคนโปรด แต่เป็นคนโปรดที่ฮองไทเฮาไม่อยากทอดพระเนตรมองเพราะรอยแผลบนใบหน้า แม้นางปิดครึ่งใบหน้าของตนก็ตาม นางยังคงใช้ชีวิตปกติแบบไร้ตัวตนในบ้านตระกูลว่าน เป็นลูกอนุซ้ำยังมีรอยแผลอัปลักษณ์นี้อีก ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ามาสู่ขอเป็นภรรยา
เอาเถอะ นางไม่รู้สึกเดือดร้อนอันใด พอใจใช้ชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้ เพียงหวังว่าสักวัน จะได้พบชายผู้นั้นอีกสักครั้งครา.
……………
รถม้ามารับว่านหนิงเหมยเช่นทุกครั้งเพื่อไปตำหนักของฮองไทเฮา หญิงสาวมักได้ยินเสียงฝากฝังให้พูดถึงคุณงามความดีของบิดา หรือไม่ก็หาตำแหน่งดีๆให้บุตรชายนิสัยดีของท่านพ่อ นางได้แต่พยักหน้ารับไปอย่างนั้น หากคนอย่างนางสามารถพูดจาประจบสอพลอได้จริง นางคงมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ พอขึ้นรถม้าแล้ว นางหัวเราะกับความคิดของตัวเอง ดีกว่านี้? ไม่หรอก แบบนี้นั่นแหละ ดีมากแล้ว
เห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในตระกูลของตัวเอง นางได้แต่ถอนหายใจ ต่อให้นางแต่งงานออกไป ใช่ว่าจะได้เจอผู้ชายดีๆ ‘ภรรยาสามอนุสี่’ บ้านไหนก็บ้านนั้น เห็นความวุ่นวายมามากพอแล้ว ชีวิตนี้ไม่ได้แต่งงาน นางไม่รู้สึกเสียใจอะไรสักนิด
เมื่อมาถึงตำหนักของฮองไทเฮา ว่านหนิงเหมยเข้าไปถวายพระพรแล้วจึงขอตัวไปที่สวนสี่ฤดู ระหว่างทางเดินได้ยินเสียงนางกำนัลพูดถึง ‘องค์ชายเฟยเทียน’ จะเสด็จกลับวังหลวง หญิงสาวถึงกับชะงักเท้าไปแล้วรีบดึงสติกลับมา เมื่อถึงสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา ไม่มีผู้อื่นอยู่ที่นี่ เป็นเช่นนี้เพราะคำขอร้องของนางเอง
“ยามดูแลต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้ หม่อมฉันเหงื่อออกมาก อยากปลดผ้าปิดหน้าเพคะ”
ไม่มีผู้ใดอยากเห็นรอยแผลเป็นบนแก้มขวาของนางนัก ฮองไทเฮาทรงยอมให้นางอยู่ลำพัง ว่านหนิงเหมยปลดผ้าโปร่งออก ม้วนแขนเสื้อขึ้น นางไม่เคยไว้เล็บยาว มักตัดให้สั้นเสมอปลายนิ้ว เพราะดินมักติดซอกเล็บ ใบหน้าหวานผุดรอยยิ้ม มองดูกล้วยไม้ป่าที่เอียงอายอยู่ไม่ไกลนัก นางเดินเข้าไปใกล้แล้วส่ายหน้าไปมา นิ้วเรียวชี้ไปยังกลีบดอกสีเหลืองอ่อนกระจ่างตา
“ข้าบอกแล้วใช่ไหม เจ้าต้องส่งกลิ่นหอมทุกครั้งที่ฮองไทเฮาเสด็จมา มิเช่นนั้นจะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้า”
เสียงใบไม้สั่นไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดทำให้นางหัวเราะออกมา หญิงสาวหันไปแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นใส่ ยื่นมือไปประคองดอกกล้วยไม้ สงบใจเพียงครู่เดียว กล้วยไม้ที่เหี่ยวเฉาเมื่อครู่ พลันกลับมาสดใสอีกครั้ง นางยิ้มน้อยๆ เดินไปนั่งบนพื้นหญ้าอ่อนนุ่ม ถอดรองเท้าปักลายดอกไม้ออกแล้วเหยียดเท้าเปลือยเปล่าเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางอายุเก้าขวบ หลังจากช่วยงานป้าฮุยเหอแล้ว นางเดินจากครัวเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งที่ศาลาหกเหลี่ยม ด้วยความสนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายผู้มีเส้นผมสีเงินยวง คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง ใบหน้าสุขุมนั้นวางหมากอย่างไร้ความลังเล นางเห็นเขาเดินหมากเพียงผู้เดียว กำหมากทั้งดำและขาวก็งุนงงจนอดถามไม่ได้
“ท่านเดินหมากคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้หมากขาวหรือหมากดำชนะ ท่านก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่รึ”
“หือ?”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองนาง
“ขออภัย พี่ชาย ข้าแค่สงสัย” นางหดคอด้วยความรู้สึกผิด จำได้ว่าเวลาเดินหมากไม่ควรพูดแทรกหรือส่งเสียงดังรบกวนสมาธิผู้อื่น
“เด็กน้อย เจ้ามองเห็นข้างั้นรึ”
ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าหงึกๆ นางเห็นมุมปากยกยิ้มก็รู้สึกโล่งอก เขาเคาะนิ้วที่เก้าอี้กลม คล้ายสั่งให้นางไปนั่ง เด็กหญิงตัวน้อยจึงเดินไปนั่งใกล้ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมงดงามนัก
นางจะให้ผู้ใดรู้ไม่ได้ว่า นางพูดคุยกับต้นไม้ดอกไม้เหล่านี้ได้
“แปลกจริงที่เจ้ามองเห็นข้า”
“พี่ชายนั่งตรงนี้ ข้าเดินผ่านก็ย่อมมองเห็น” นางโคลงศีรษะอย่างงุนงงในสิ่งที่เขาพูด
“ไม่หรอก ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นข้า” เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ชวนให้หลงใหลนัก
“พี่ชายเป็นแขกของท่านพ่อรึ” นางถามด้วยความสนใจ ไม่ได้
หวาดกลัวชายแปลกหน้าผู้นี้ แต่เขากลับส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เจ้าเดินหมากเป็นหรือไม่” เขาถามพลางวางหมากสีดำลงกระดาน
“ไม่เป็นเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้จับเม็ดหมากด้วยซ้ำ” นางพูดเสียงเบา เรื่องพวกนี้มีแต่คุณชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เรียน
“เช่นนั้นเจ้ามาเดินหมากเป็นเพื่อนข้าหน่อยก็แล้วกัน”
“แต่ข้าเดินหมากไม่เป็น...”
“ข้าจะสอนให้”
“พี่ชายพูดจริงนะ ไม่หลอกข้านะ”
“แล้วเจ้าไม่กลัวข้ารึ” เขาถามพลางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง เด็กหญิงส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้มกว้าง
“ท่านไม่ใช่ภูตผี มีอะไรให้ข้ากลัวเล่า”