ชายผู้นั้นแหงนหน้าหัวเราะ ดึงนางมานั่งบนตัก สอนจับเม็ดหมาก วางหมาก เรียนรู้การเรียกจุดต่างๆ บนกระดาน กลายเป็นทุกคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง พี่ชายผมสีเงินยวงจะมารอที่ศาลาหกเหลี่ยม นางจึงได้เดินหมากล้อมกับเขา นางจำไม่ได้ว่าตนเองเดินหมากกับพี่ชายท่านนี้นานเพียงใด วันคืนเคลื่อนผ่านจนนางไม่ได้นั่งตักของเขาแล้ว จนถึงวันที่นางชนะเขาได้เป็นครั้งแรก
“หนิงเหมย อีกประเดี๋ยวข้าก็ไม่ได้มาเดินหมากกับเจ้าแล้วนะ”
“พี่ชายจะไปที่ใด” นางถามน้ำเสียงเศร้า เรื่องที่นางหัดเดินหมากกับพี่ชายท่านนี้เป็นความลับ นางจึงไม่รู้ชื่อของพี่ชายผู้นี้ด้วย
“หนิงเหมยเด็กดี เจ้าไม่ต้องกลัวว่าจะต้องอยู่เพียงลำพัง” มือใหญ่ยื่นมาประคองใบหน้าเล็ก “หลับตา แล้วตั้งสมาธิ เปิดดวงจิตของเจ้า เจ้าจะได้ยินเสียงเหล่าพฤกษาพูดคุยกัน”
นางทำตามที่พี่ชายผู้นั้นบอก เดิมทีนางได้ยินเพียงเสียงใบไม้สั่นไหวยามลมพัดผ่าน แต่เมื่อตั้งใจฟัง นางได้ยินเหมือนเสียงพูดคุย บางครั้งเป็นเสียงหัวร่อต่อกระซิก เด็กหญิงลืมตา มองหน้าชายผู้นั้นแล้วยิ้มกว้าง
“เจ้าได้ยินหรือไม่”
นางรีบพยักหน้า ไม่กล้าส่งเสียงเพราะกลัวว่าเสียงของตนไปรบกวนการสนทนาของเหล่าต้นไม้ในสวนหย่อมนี้
“หนิงเหมยเด็กดี การที่เจ้ามองเห็นข้า ถือเป็นวาสนาต่อกัน ข้าคือเทพมังกรดิน”
“เทพ-มังกร-ดิน” นางเอ่ยแต่ละคำงุนงงและไม่คาดคิด พี่ชายผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเทพมังกรดิน
“มีมังกรเพลิงแตกแถวตนหนึ่งที่ข้าต้องไปจัดการมัน คงไม่มีเวลามาหาเจ้าอีก”
“ท่านจะไม่มาหาข้าแล้วเหรอ”
“ข้ามิอาจให้สัญญาใดกับเจ้าได้ แต่ข้าจะมอบพลังเล็กน้อยให้เจ้าเป็นการตอบแทนที่เจ้าเดินหมากเป็นเพื่อนข้า”
แรกๆ นางไม่เข้าใจว่าพลังเล็กน้อยที่เทพมังกรดินเอ่ยถึงคืออะไร นางไม่เห็นตัวเองมีอะไรแปลกประหลาด เสกข้าวของอะไรก็ไม่ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ไม่ได้ ไม่มีเวทมนตร์อะไรสักอย่าง นอกจากการได้ยินเสียงต้นไม้ดอกไม้พูดคุยกัน นางจึงเผลอพูดแทรกไป
“เอ๊ะ! เจ้าได้ยินที่เราคุยกัน”
“ก็สมควรแล้ว นางเป็นสหายของเทพมังกรดินเชียวนะ”
“นี่ๆ เทพมังกรดินเคยจับมือนางด้วยนะ”
“พวกท่านคุยอะไรกัน ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย”
ทุกครั้งที่นางพูดคุยกับเหล่าพฤกษา ต้องรอจังหวะที่ปลอดผู้คน ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นคนสติไม่ดี
“เจ้าไม่เข้าใจรึ ดินคือผู้ให้กำเนิดทุกสรรพสิ่ง มังกรดินถือว่าเป็นมังกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่มังกร ซึ่งมีมังกรดิน มังกรน้ำ มังกรเพลิงและมังกรลมอย่างไรเล่า เจ้าเองก็มีพลังในการให้ชีวิตเช่นกัน” ต้นท้ออธิบายกับนาง “นี่ๆ เจ้าลองเอาเม็ดของข้าไปวางในอุ้งมือของเจ้าดูสิ”
นางรีบทำตามที่ต้นท้อบอก หยิบมาแล้ววิ่งไปหามีดมาผ่าเพื่อเอาเม็ดข้างใน นางวางเม็ดไว้ในฝ่ามือตั้งสมาธิเหมือนที่พี่ชายผมสีเงินผู้นั้นเอ่ย ครั้งแรกนางไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ได้ยินเสียงเหล่าพฤกษาให้กำลังใจ นางลองทำอีกครั้ง เมื่อคลายฝ่ามือออกจึงเห็นเม็ดลูกท้อเมื่อครู่มียอดอ่อนโผล่ขึ้นมา
นี่นะหรือพลังเล็กน้อยที่เทพมังกรดินมอบให้นาง
นั่นคือความลับของนาง ผู้อื่นเรียกนางว่า ‘มือเย็น’ ปลูกต้นไม้อะไรก็งอกงาม แท้ที่จริงนางมีพลังเล็กน้อยของเทพมังกรดิน ด้วยเหตุนี้ต่อให้ต้นไม้ใกล้ตายอย่างไร นางก็ปลุกชีพให้ฟื้นได้ แต่นางกลัวความลับนี้จะเปิดเผยแล้วถูกมองว่าตนเองเป็นภูตผีปีศาจ นางจึงเก็บความลับนี้ไว้กับตนเอง
หลายปีมานี้ นางไม่พบเทพมังกรดินอีกเลย นางเดาว่ามังกรเพลิงแตกแถวที่เทพมังกรดินพูดถึงในคราวนั้นคือ มังกรเพลิงที่มอบพลังให้องค์ชายเฟยเทียน
นางหลับตาเอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ฟังเสียงต้นไม้พูดคุยความลับในวังหลวง นางได้ยินเหล่าพฤกษาพูดถึงองค์ชายเฟยเทียน แม่ทัพใหญ่คุมพลทหารนับแสน แต่ยินดีอยู่เมือง ‘ตุนหวง’ เมืองที่ไกลวังหลวงแห่งนี้ นางไม่เคยไปตุนหวง แต่รู้ว่าที่นั่นเป็นเมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยทะเลทราย
‘ฮ่องเต้เรียกองค์ชายเฟยเทียนกลับมา เห็นว่าจะประทานสมรสให้’
‘ใครกันหนอจะอายุสั้นได้เป็นพระชายาขององค์ชายเฟยเทียน’
ว่านหนิงเหมยขมวดคิ้ว เจ็บแปลบที่อกซ้าย องค์ชายจะแต่งงานหรือ? แต่...คนผู้นั้นก็อายุยี่สิบเจ็ด ควรแต่งงานมีครอบครัวแล้ว เป็นหญิงนางใดกันหนอ? เท่าที่รู้...มีแต่คนหวาดกลัวคนผู้นั้นเหลือเกิน
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจ นางไม่เคยหวาดกลัวเขา กลับเข้าใจ คนผู้นั้น เขาเป็นถึงองค์ชายและยังมีพลังของปีศาจ ปีศาจมังกรเพลิงตนนั้นใช้ร่างกายขององค์ชายเป็นที่หลบซ่อนเทพมังกรดิน ผู้คนหวาดกลัวเขา ต่างหาทางกำจัดเขาทิ้ง นางรู้ เรื่องพวกนี้แม้จะกระซิบไม่ให้ผู้อื่นได้ยิน แต่เหล่าพฤกษาต่างได้ยิน ส่งเสียงกระซิบมาเล่าให้นางรับรู้เสมอ นางทำได้เพียงแค่เห็นใจและเป็นห่วงชายผู้นั้น คนที่ยอมแบกรับความเกลียดชังไว้เพียงผู้เดียว
นางครุ่นคิดถึงชายผู้นั้น กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา
ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา
‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’
“ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น”
เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั้นชะงักแล้วแต่ปลายกิ่งแหลมนั่นไม่อาจหยุดได้ทัน จึงตวัดโดนแก้มของนาง
แม้แววตาจ้องมองนางอย่างประหลาดใจ แต่ไม่เอ่ยถามอะไร ยอมให้ผู้อื่นด่าประณามว่าเขาเป็นคนโหดร้าย รังแกเด็กอายุสิบสองอย่างนางได้
เสร็จธุระในวังแล้วจึงได้เวลากลับ นางให้ขันทีไปส่งแค่นอกประตูวัง นานๆ ได้ออกจากบ้านที นางมักเดินเที่ยวเล่นในตลาดก่อนกลับบ้านเสมอ หญิงสาวสวมหมวกสานมีผ้าโปร่งคลุมเพื่อซุกซ่อนใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น เบื้องหน้าใครต่อใครคิดว่านางเป็นคนหัวอ่อน ยอมคน ไม่มีปากเสียง แต่เมื่ออยู่นอกบ้าน เมื่อไม่มีใครรู้ว่านางเป็นใคร นางกลายเป็นหญิงสาวแสนซุกซนราวลิงน้อย ถ้าวันใดได้ออกจากวังหลวงเร็ว นางจะแวะไปโรงน้ำชาสุราแดง โรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ใช่โรงน้ำชาชั้นสูง แต่มีคุณชายหรือขุนนางแวะเวียนมาบ้างประปราย ที่นางแวะมาเพราะหาเพื่อนเล่นหมากล้อมสักกระดานเท่านั้น
“ไร้นามวันนี้แวะมาได้รึ”
“มารบกวนลุงถังแล้ว”
‘ลุงถัง’ ใครๆ ก็เรียกท่านลุงถังสั้นๆ เพียงแค่นี้ก็เข้าใจว่าเขาคือเถ้าแก่โรงน้ำชาสุราแดงแห่งนี้ เขาชื่นชอบการเล่นหมากล้อมนัก แรกทีเดียวนางรู้เพียงว่าที่นี่มีคนมาประลองหมากล้อม แต่เมื่อนางได้รู้จักเถ้าแก่ก็ได้รับความเอ็นดูให้มานั่งเล่นได้ เมื่อนางไม่เปิดเผยใบหน้าหรือชื่อแซ่ เถ้าแก่ก็เรียกนางว่า ‘ไร้นาม’ นางแค่เล่นสนุกๆ แต่บางครั้งเพื่อความสนุกย่อมต้องมีเดิมพัน ไม่เคยคิดว่าที่เทพมังกรดินสอนนางเล่นหมากล้อมในครั้งนั้น จะทำให้มีรายได้เล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้